“ขอบคุณคุณชายทั้งสองที่กรุณาท่านพ่อและข้าเป็นอย่างยิ่ง หากมีโอกาสคงได้พบกันใหม่”
“ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย ขออภัยที่ข้ามิสามารถช่วยบิดาของท่านไว้ได้”
“ไม่เป็นไรขอรับ เดิมทีท่านพ่อข้าก็ทำงานหนักและร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว อย่างไรก็ขอบคุณมากนะขอรับ ข้าขอลาไปก่อน หวังว่าท่านทั้งสองจะปลอดภัยตลอดการเดินทาง”
ชายหนุ่มมองส่งบุรุษทั้งสองที่มีน้ำใจสูงส่งดุจเทพเซียน บ้านของเขาซ่อมซ่อแทบจะพังลงมาได้แต่เมื่อได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือทั้งสองก็เข้ามาช่วยโดยไม่แสดงอาการรังเกียจแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาก่อนจะตัดใจหันหลังเดินทางไปร่วมทัพอย่างรีบเร่ง
กระโจมใหญ่กลางกองทัพ
หลังจากไหวเซิงตัดสินใจครั้งสำคัญโดยไม่ฟังคำทัดทานจากใครในกระโจมชินอ๋อง ให้หมอทหารนำโอสถในขวดกระเบื้องใบเล็กป้อนให้ชินอ๋อง นั่นทำให้สามารถยื้อชีวิตของท่านอ๋องไว้ได้ชั่วคราวทำให้ทุกคนพากันเบาใจได้ชั่วคราว หมอทหารแอบลอบปาดเหงื่อจากใบหน้าทันทีที่มีโอกาสครั้งนี้เกือบเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้วโชคดีมีเจ้าหนุ่มนั่น
“ท่านรองแม่ทัพ ข้ารับรองได้ว่าที่ข้าพูดมานี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมดขอรับ โอสถในขวดกระเบื้องนี้เป็นท่านเซียนทั้งสองให้ข้ามา ข้าเก็บติดตัวไว้ตั้งแต่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อน ข้าหวังว่ามันจะสามารถช่วยท่านอ๋องได้ขอรับ”
“เซียนมีจริงด้วยหรือ”
ไหวเซิงหลุบตามองขวดกระเบื้องในมือไม่มีใครคาดเดาความคิดของรองแม่ทัพคนสนิทของชินอ๋องว่ายามนี้คิดอย่างไรจะเชื่อคำพูดของพลทหารคนนี้หรือไม่ และหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป
เสียงไก่ขันดังแว่วมาจากนอกหน้าต่างเป็นสัญญาณให้รู้ว่าฟ้าใกล้สว่างแล้ว ในบ้านร้างที่เจ้าของทิ้งไว้แม้ไร้ข้าวของแต่พออยู่อาศัยได้ชั่วคราว เพราะเป็นเส้นทางผ่านไปชายแดนชาวบ้านที่เจ็บป่วยจำนวนมาก ชายหนุ่มสองคนคือจิ่วเหมยฮวาและจิ่วเอ๋อร์ จึงหยุดเดินทางและช่วยเหลือชาวบ้านที่นี่เพื่อความสงบจึงเสาะหาที่พักเมื่อได้พบบ้านหลังนี้เข้าจึงพักอยู่หลายคืนแล้ว
ทั้งสองลืมตาจากการนั่งบำเพ็ญเพียร จิ่วเอ๋อร์ยามนี้นางคือบุรุษที่มีรูปลักษณ์สุภาพเรียบง่ายในชุดน้ำเงิน จิ่วเหมยฮวาในชุดขาวล้วน นางลุกเดินไปเปิดหน้าต่างมองออกไปภายนอก ผ้าม่านพลิ้วไหวลมพัดไอน้ำค้างที่สดชื่นจากด้านนอก มีพัดกระดาษลวดลายเมฆาที่นางใช้พู่กันวาดขึ้นอยู่ในมือ
“วันนี้พวกเราพักสักวันเถอะนะ”
“ดีเหมือนกัน ข้าคิดว่าจะไปเก็บสมุนไพรบนเขามาเพิ่มตอนนี้เราเหลือไม่มากแล้ว”
สองคนต่างเงียบเสียงเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตนเอง ช่วงที่ผ่านมากลางวันพวกนางช่วยเหลือรักษาผู้คน หรือไม่ก็หาสมุนไพรจัดชุดยาสำหรับคนป่วย ยามค่ำคืนก็นั่งสมาธิบำเพ็ญทั้งสองต่างไม่เคยละเลยสิ่งที่เคยปฏิบัติประจำวันลงเขาครั้งนี้เพื่อฝึกฝนและสะสมบุญกุศล
กลางวันช่วยเหลือคนไปไม่น้อย แต่บางครั้งคนป่วยอาการสาหัสจนช่วยไม่ได้แล้วทำให้มีคนป่วยบางส่วนต้องตายพวกนางรู้สึกเสียใจ จิตวิญญาณควบคุมความรู้สึกได้ไม่ดีพอยังไม่ถึงขั้นปล่อยวางกับทุกสิ่งได้ เข้าใจทันทีว่าเหตุใดอาจารย์ต้องการให้ลงจากเขาอาจเป็นเพราะเห็นการฝึกฝนยังไม่ก้าวหน้าเพียงพอที่จะทำให้จิตใจสงบนิ่งได้นั่นเอง
คัมภีร์ปรุงโอสถที่อ่านค้างไว้นางมองมันนอนนิ่งอยู่บนเตียง นางมีความรู้ มีสมุนไพร มีโอสถ ถึงจะไม่เก่งกาจระดับหมอเทวดาที่เลื่องลือแต่การขาดเครื่องมือในฐานะหมอนางยินยอมไม่ได้ แค่มีดผ่าตัดเป็นอุปสรรคที่แก้ไขได้ง่าย ขอเพียงหาช่างตีเหล็กที่มีฝีมือดีทำมันขึ้นมาแม้จะไม่ใช่วัสดุที่มีคุณภาพเท่าเทียมกันแต่ก็สามารถใช้งานได้
จิ่วเอ๋อร์มองดูจิ่วเหมวยฮวาที่ก้มหน้าก้มตาวาดภาพ ตะวันขึ้นนานแล้วเหมือนอีกฝ่ายยังคงไม่ออกไปไหนแต่นางไม่ต้องการเก็บสมุนไพรในช่วงที่ร้อนจัด
“ศิษย์น้องวันนี้เจ้าไม่ไปไหนหรือ”
“ข้าจะออกไปหาร้านตีเหล็ก”
“พวกเราไม่ต้องการอาวุธสักหน่อย ทำไมต้องไปที่นั่น เจ้าต้องการสิ่งใดในร้านขายเหล็ก”
“มีด”
จิ่วเหมยฮวายกภาพวาดที่เกือบเสร็จแล้วให้จิ่วเอ๋อร์ดู เป็นรูปแบบมีดหลายแบบที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนอดที่จะสนใจไม่ได้
“มีดพวกนี้ รูปแบบแปลกตามาก เจ้าต้องการมันไปเพื่อสิ่งใด”
“นี่เป็นมีดผ่าตัด ข้าเอาไว้สำหรับทำแผลหรือพูดง่ายๆ ก็คือเอาไว้ใช้รักษาผู้คนอีกหน่อยพอมีพวกมันสักชุดข้าก็จะสามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้มากขึ้น เพราะขาดพวกมันทำให้หลายวันที่ผ่านมาข้าต้องมองคนป่วยเสียชีวิตไปด้วยความเศร้าใจ”
“มีดผ่าตัดหรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เอาเถอะถ้ามีพวกมันแล้วสามารถช่วยรักษาชีวิตชาวบ้านไว้ได้เช่นนั้น เมื่อเจ้ามีเวลาก็สอนข้าบ้างแล้วกัน ข้าออกไปที่ป่านอกเมืองก่อนนะ”
“ระวังตัวด้วยหล่ะ”
นางเขียนรายละเอียดที่พอเข้าใจได้กำกับไว้เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือคือการเสาะหาช่างตีเหล็กที่มีความสามารถพอที่จะทำมันขึ้นมาได้เท่านั้น เงินค่าจ้างก็พอมีหากช่างไม่เรียกร้องราคาจนสูงมากเกินไป
เมื่อวานนางสอบถามจากชาวบ้านที่มาให้นางรักษาต่างบอกให้ลองเข้าไปในเมือง เดินไปทางทิศใต้ผ่านย่านคนรวยไปหาดูพื้นที่คนยากจนจะมีร้านตีเหล็กอยู่หลายร้านนางจะต้องไปถามหาที่นั่น นางแวะเพิงขายน้ำชาสั่งน้ำชาหนึ่งกาเพื่อสอบถามเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน
“น้องชาย ข้าต้องการหาร้านตีเหล็กที่มีฝีมือไม่ทราบว่าควรไปที่ใด”
“คุณชาย ท่านต้องการอาวุธ เช่นกระบี่ ดาบ หรือขอรับ ทุกร้านที่ตีเหล็กสินค้าและราคาก็เหมือนๆกัน ไม่ต่างกันเท่าไหร่ขอรับ”
“ข้าต้องการช่างมีฝีมือมาก งานที่ต้องการไม่ใช่มีด หรือของใช้ทั่วไป เจ้าดูเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่แถบนี้พอจะช่วยแนะนำข้าได้หรือไม่”
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณชายถามถูกคนแล้วขอรับ ข้าหวังฉายเป็นคนที่รู้ทุกเรื่องในเขตนี้ คนที่ท่านต้องการในเมืองนี้เกรงว่าทั้งเมืองมีเพียงคนเดียวแต่ท่านต้องระวังตัวหน่อยนะ ฝีมือตีดาบคมกริบไม่มีใครสู้แต่อารมณ์ดุดันร้ายกาจ ท่านจะลองไปดูก็ได้ หน้าร้านของต้าเหย๋าจะดูสกปรกมากสักหน่อย เวลาท่านเดินเข้าไปก็ส่งเสียงดังๆ หน้าร้านมักไม่มีคนเฝ้าอยู่ รับรองได้เรื่องฝีมือ แต่ท่านจะสามารถว่าจ้างต้าเหย๋าได้หรือไม่ ท่านต้องไปลองเสี่ยงดูหากโชคดีเขาก็จะรับงานของท่าน"
“รบกวนเจ้าบอกทางข้าด้วย”
“ท่านต้องเดินลัดเลาะไปในทางแคบ เลี้ยวขวาสุดทางเจอศาลเจ้าเล็กๆ เลยไปนิดจะมีซอยอยู่ท่านเดินเข้าไปสุดซอยนะขอรับ ขอให้คุณชายโชคดี”
เมื่อไปถึงเป็นเขตชนชั้นแรงงาน บ้านเรือนหนาแน่น ชาวบ้านร้องขายของแย่งกันเรียกลูกค้า เสียงต่อรองราคา เสียงด่าทอหยาบคายในบ้านเรือน เด็กน้อยวิ่งเล่นไล่จับกันไปมา บางก็เดินกับมารดากำลังกินน้ำตาลปั้น มีฝุ่นและใบไม้ปลิวลม นี่เป็นบรรยากาศที่ยังดีกว่าพื้นที่อื่นที่นางได้ยิน ดินแดนที่ยิ่งใกล้ชายแดนก็ยิ่งลำบาก ชาวบ้านที่นี่ยังคงมีความสุขพอสมควร
จิ่วเหมยฮวาเดินไปจนถึงแถบร้านตีเหล็ก สภาพไม่ใกล้เคียงกับคำบอกเล่าสักเท่าใด หลังคาแทบจะพังหล่นลงมา สิ่งของแขวนและวางไว้ระเกะระกะมีฝุ่นและหยากไย่เกาะจะหนาแน่น เมื่อก้าวเท้าเข้าไปไม่มีแสงสว่างจากภายนอกสลัวทางเดินก็แทบไม่มี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพวกเครื่องมือเครื่องใช้ ดาบ กระบี่ มีด สิ่งต่างๆล้วนทำขึ้นมาจากเหล็กแต่ทุกชิ้นล้วนปกคลุมไปด้วยฝุ่น
“เถ้าแก่ มีใครอยู่ไหม”
“…….."
“มีใครอยู่ไหม! ข้าต้องการสินค้า”
“เลือกเอา! ได้ของแล้ววางเงินเอาไว้”
มีเสียงห้วนๆ ดังตอบรับออกมาจากด้านใน ไร้เงาเจ้าของเสียงออกมาต้อนรับ ร้านค้านี้ค้าขายอย่างไรกันแน่ให้ลูกค้าเลือกและจ่ายเงินเอง แต่นางมิได้ต้องการสินค้าที่วางอยู่จึงส่งเสียงเรียกอีกครั้ง
“เถ้าแก่ รบกวนช่วยออกมาหน่อยได้ไหม ข้าต้องการให้ท่านช่วยดูว่างานที่ข้างต้องการท่านสามารถทำขึ้นมาได้หรือไม่ ข้าใช้เวลาอธิบายไม่นาน”
ด้านในมีเสียงเครื่องกระเบื้องตกแตก (เพล้ง!) ตามมาด้วยเสียงเดินที่ไม่ปกติค่อยๆ เข้ามาในที่สุดชายอายุประมาณสี่สิบปีรูปร่างสูงใหญ่ แขนและหน้าอกมีแต่มัดกล้ามเนื้อ ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าปะชุนเก่าและสกปรกเอื้อมมือเปิดผ้าม่านเก่าๆ เดินออกมาด้วยขาที่ไม่ปกติข้างหนึ่ง พลางเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่มีเพียงตัวเดียวในห้อง สายตาเหลือบมองชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าท่าทางเย็นชาด้วยสายตาประเมินค่าตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า (ฮี! ก็แค่คนมีเงินมาที่ร้านข้าทำไม)