ในห้องหลอมโอสถ กลิ่นหอมของโอสถ เย็นชื่นใจหอมคล้ายมีคล้ายไม่มี นางเปิดฝาเตาหลอมออกมา มีไอความร้อนลอยแทรกออกมา ภายในเตามีเม็ดยากลมแดงเข็มอยู่สามเม็ด รอบข้างเป็นเศษสมุนไพรที่เสียหายมีควันลอยจางๆ ในที่สุดนางก็สามารถหลอมโอสถในระดับกลางได้สักที แต่ความสำเร็จก็ต่ำเตี้ย ได้เม็ดยาเพียงสามในสิบ
บนแผ่นดินนี้อาจารย์ที่ปรุงโอสถมีน้อยจนนับนิ้วได้ แถมเป็นโอสถระดับต้นทั้งนั้น หากข่าวแพร่ออกไปนางคงนั่งนับเงินจากการขายโอสถไม่ไหว นางไม่ได้งกนะ แต่นางเป็นสตรียุคสมัยนี้ก็จำเป็นต้องมีเงินแม้ว่าจะอยู่ในอารามฝึกฝนบำเพ็ญตนแต่การช่วยเหลือผู้คนหากมีเงินจะช่วยได้เกือบทุกสิ่งมิใช่หรือชาวบ้านยังจำเป็นต้องมีเงินใช้จ่ายหากมีเงินก็ไม่ขัดสนการช่วยเหลือ แต่ช่างเถอะนางควรพยายามฝึกฝนให้มากกว่านี้อีก ทั้งสูตรยานี้ก็ไม่ธรรมดานี่คือขั้นตอนการหลอมโอสถที่เสี่ยวไป๋ให้นางมาหลังจากทนมองดูนางเผาสมุนไพรไปเป็นจำนวนมาก
เจ้าเด็กแสบนี่ทำให้นางต้องโกหกเป็นครั้งแรกเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นเด็กที่พลัดหลงแล้วนางไปพบที่ลำธารด้วยความสงสารจึงนำกลับมาที่อารามและขออุปการะไว้ ในอารามนี้ล้วนเป็นสตรีนับว่าแปลกอยู่ที่จะให้เด็กชายอาศัยอยู่แต่ด้วยอายุเพียงสามปีและจิ่วเหมยฮวาจัดว่าเป็นศิษย์ที่ไม่ได้บวชเข้าอารามจึงงดเว้นกฎให้เด็กชายอยู่ข้างกายได้
หลายวันต่อมา อาจารย์ก็เรียกนางทั้งสองคนไปพบ ในห้องยังมีอาจารย์รองนั่งอยู่ด้วย หลังทำความเคารพก็ยืนรอให้ท่านทั้งสองสั่งสอน ท่านพูดคุยถึงการรบที่ชายแดนที่ยาวนานนับสองสามปีที่เริ่มมีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านที่เดือดร้อนเริ่มอพยพหนีตายหนีความลำบากออกจากชายแดนเหนือมาเป็นจำนวนมาก ตอนท้ายท่านทั้งสองก็บอกให้ออกไปเก็บข้าวของออกจากอารามไปช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากเพื่อสร้างกุศล (อยู่ดีๆก็ถูกไล่ออกจากอาราม) เก็บข้าวของที่น้อยจนน่าตกใจ ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพร อุปกรณ์ เตาหลอม ทั้งหมดเก็บไว้ในแหวนมิติ สมุนไพรที่เคยปลูกไว้ที่อารามก็เก็บมาพร้อมดินปลูกไว้ในแหวนอีกเช่นกัน การฝึกฝนนอกอารามจะเริ่มจากนี้ไป ไม่มีกำหนดสิ้นสุดหากไม่จำเป็นห้ามทั้งสองเหาะเหินหรือขี่กระบี่บินให้เดินเช่นชาวบ้านทั่วไป หากเลื่อนระดับขั้นปลายได้เมื่อใดก็ค่อยกลับมาอาราม
“เราเดินกันมาสองวันแล้วนะ ทำไมไม่พบผู้คนบ้างเลย”
“ข้างหน้าอาจพบ…”
“ต้นไม้ใบหญ้าแถบนี้ไม่เหมือนที่ป่าหลังอารามเลยนะ ช่างแห้งแล้ง ใบเป็นสีเหลืองแห้งเกือบหมดแล้ว”
“………”
“ท่านอาจารย์ ทำไมอยากให้พวกเราสองคนลงมาฝึกฝนนอกอารามกันนะ ปกติก็ไม่เห็นมีใครออกจากอารามเลย ข้าอยู่มาเป็นสิบปี แปลกจริง”
“ เจ้าอย่าปล่อยให้ข้าพูดคนเดียวสิ”
“เจ้าดู ….คนนี่ ท่านยายๆ ทำไมมานอนอยู่ริมศาลาแบบนี้ เจ้าหนู เจ้ามากับนางหรือเปล่า”
จิ่วเอ๋อร์ที่สังเกตเห็นคนที่ริมศาลาอยู่นางปราดเข้าไปดูหญิงชราที่นอนคู้อยู่ริมๆศาลาที่พัก ข้างๆมีเด็กชายน่าจะอายุหกหรือเจ็ดปี ทั้งสองเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง หน้าตาสกปรกผมเผ้ายุ่งรุงรัง เนื้อตัวมีกลิ่นเหม็นสาป นางเขย่าเรียกพร้อมกับหันไปถามเด็กที่จ้องมองเขม็งด้วยสายตาหวาดกลัวแต่ไม่ส่งเสียงตอบนาง
“เจ้าลองดูชีพจรนางเป็นอย่างไร”
“ฮวาเอ๋อร์ ชีพจรเบามาก ร่างกายอ่อนแอ คงต้องถามจากเจ้าเด็กคนนี้”
“หนุ่มน้อย ท่านยายไม่สบายเป็นอะไร”
“พวกข้า หิว ไม่มีอาหารมาหลายวันแล้ว ท่านย่าหมดแรง ท่านย่าจะตายไหม ฮือฮือ”
ได้ฟังคำตอบก็รู้สึกสงสาร นางค่อยๆประคองหญิงชราขึ้นมานั่งพิงเสาศาลา พยายามป้อนน้ำทีละน้อย ส่วนเด็กน้อยตอนนี้กำลังนั่งกินสาลี่ป่าขนาดเล็กที่จิ่วเหมยฮวาส่งให้สองสามลูก รอจนหญิงชราได้สติ
“ท่านย่า ท่านทานผลไม้นี้สักเล็กน้อยอย่าพึ่งทานมากกระเพาะจะรับไม่ไหว สักครู่ค่อยทานเพิ่ม”
จิ่วเอ๋อร์รับผลสาลีใบเล็กส่งให้หญิงชราทาน นางทานไปสะอื้นน้ำตาไหลไปด้วยเด็กน้อยขยับเข้ามากอดแขนไว้ ทั้งสองนั่งลงบนพื้นดินรออยู่ข้างๆ เมื่อหญิงชราหยุดร้องไห้จึงเริ่มพูดคุยกัน
“ท่านย่า ท่านพาหลานชายเดินทางมาจากไหน”
“พวกเรามาจากหมู่บ้านแถบชายแดนเหนือห่างออกไปเกือบร้อยลี้”
“ไกลขนาดนั้นเชียวทำไมต้องมา ลูกหลานหรือพ่อแม่เด็กไปไหน”
“สงครามเกิดขึ้นมานานหลายปี แต่ช่วงสามเดือนที่ผ่านมารุนแรงมาก พ่อเด็กไปเป็นทหารตายไปแล้ว แม่เด็กก็ทำงานหนักจนล้มป่วยพึ่งเสียชีวิต ข้าจำต้องพาเขาไปหาที่อยู่ใหม่ ไปตายเอาดาบหน้า”
“ทางการไม่ส่งทหารมาช่วยรบเพิ่มหรือท่านยาย”
“ระหว่างเดินทางมา มีข่าวว่าเมืองหลวงส่งชินอ๋องมาปราบศัตรู แต่คงอีกยาวนานชาวบ้านอย่างเราอยู่ไม่ไหว”
“ท่านย่า ท่านทานโอสถเม็ดนี้ ท่านจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
นางรับเม็ดโอสถไปไว้ในมือ น้ำตาหยดต่อเนื่อง ทั้งชีวิตยายเฒ่าเช่นนางนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น ได้สัมผัสเม็ดโอสถ ธรรมดาชาวบ้านทั่วไปเวลาเจ็บไข้ก็ไปหาหมอต้มยาสมุนไพรกินกันไป มีแต่น้ำขมๆ ไม่ต้องบอกว่าโอสถในมือนี้จะรักษาหรือช่วยนางได้หรือไม่ หญิงชราก็รู้ว่ามันมีค่ามหาศาล นางกลืนยาลงไปพร้อมน้ำตาที่ตื้นตันใจ ทั้งสองยกผลไม้อีกหลายผลที่เหลือและน้ำไว้ให้ทั้งสอง (พวกนางสามารถหาได้ง่ายยามต้องการกระโดดสองสามทีก็สามารถหาผลไม้มาทานได้แล้วและพวกนางก็ทานอาหารเพียงบางมื้อเท่านั้น)
“ขอบพระคุณท่านชายทั้งสอง ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร”
“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจท่านยายพวกข้าแค่ผ่านมา"
ฮวาเอ๋อร์และจิ่วเอ๋อร์จากมา ด้วยพลังทั้งสองเพียงชั่วพริบตาก็เดินหายไปจากสายตา เห็นดังนั้นหญิงชราคิดว่าตนโชคดีในป่าเขาที่ห่างไกลนางยังมีวาสนาได้เซียนมาช่วยชีวิตไว้บอกหลานชายให้ก้มกราบขอบคุณเทพเซียนที่ช่วยเหลือ
“ชาวบ้านเดือนร้อนกันมากเลยนะ ที่ผ่านมามีแต่คนเจ็บ คนไร้บ้าน”
นางทั้งสองกำลังเดินทางผ่านรั้วบ้านหลังขนาดเล็ก หรือควรจะเรียกว่ากระท่อมน่าจะเหมาะสมกว่ามีเสียงชายหนุ่มตะโกนดังลอดออกมา จิ่วเอ๋อร์ผลักประตูเข้าไปด้วยความสงสัยหากช่วยเสียงที่น่าสงสารนี้ได้นางก็อยากช่วย
“ท่านพ่อ ท่านฟื้นขึ้นมาสิ ข้ากลับมาแล้ว ท่านพ่อ..ฮือฮือฮือ ใครก็ได้โปรดช่วยที”
“พี่ชายท่านส่งเสียงขอความช่วยเหลือต้องการให้ช่วยสิ่งใด”
“ท่านพ่อข้า.. ท่านป่วย ท่านช่วยได้หรือไม่ ได้โปรดช่วยพ่อข้าด้วย”
จิ่วเหมยฮวาไล่ชายหนุ่มเบื้องหน้าให้หลีกทางนางนั่งลงไปบนโต๊ะไม้ที่ทำขึ้นอย่างหยาบๆข้างเตียงโดยไม่รังเกียจความสกปรกภายในเรือนเล็กๆนี้ ก่อนจะเริ่มถามอาการชายหนุ่มรีบบอกสิ่งที่เขารู้ทันที
“เจ้าถอยไปให้ข้าลองดู”
“ก่อนหน้านี้มีอาการอย่างไร”
“ปวดท้องด้านขวามาสองสามวันแล้วเมื่อวานเริ่มปวดอย่างรุนแรง ทานอาหารไม่ได้ อาเจียน”
นางรู้แล้วท่านลุงท่านนี้น่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ จำเป็นต้องผ่าตัด แต่ในมือนางไม่มีเครื่องมือที่สามารถผ่าตัดได้สักอย่างจะทำอย่างไรดี ได้แต่นำโอสถที่ทำไว้จากอารามให้บรรเทาอาการปวด หากไส้ติ่งแตกภายในช่องท้อง คนก็จะติดเชื้อและเสียชีวิตอยู่ดี ชายหนุ่มรับโอสถรีบป้อนให้บิดาตนเองทั้งยังร้องขอให้ทั้งสองช่วยอยู่ดูอาการ นางมองบ้านหลังน้อยด้วยความสงสารคนกตัญญูนางควรช่วยอย่างถึงที่สุดจึงออกปากจะมาดูอาการให้ทุกวัน เป็นดังที่นางคาดสุดท้ายสองวันถัดไปพ่อของชายหนุ่มก็จากไป นี่เป็นครั้งแรกในชาตินี้ที่คนป่วยของนางเสียชีวิตต่อหน้าทั้งที่นางวิเคราะห์หาสาเหตุการเจ็บป่วยได้แล้ว ขาดเพียงเครื่องมือเท่านั้น นางเสียใจมากจนน้ำตาซึมที่ไม่สามารถช่วยได้ นางรู้ว่าลูกชายของท่านลุงเป็นทหารด้วยพ่อป่วยหนักจึงขอลากลับมาดูแล หลังจากช่วยกันฝั่งศพเรียบร้อยชายหนุ่มต้องรีบเดินทางตามกองทัพที่ล่วงหน้าไปก่อน การตายครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกติดค้าง นางจึงมอบโอสถระดับกลางหนึ่งเม็ดให้กับชายหนุ่มไว้ทั้งบอกสรรพคุณที่ใช้รักษาได้ แล้วนางทั้งสองก็ออกเดินทางเพื่อการฝึกบำเพ็ญต่อไป