ตอนที่ 3 กลับบ้านเดิม

4849 Words
  ตอนที่ 3 กลับบ้านเดิม               เช้าวันรุ่งขึ้นอู๋ชิวอิ่งแทบลุกไม่ขึ้น นางรู้อยู่แล้วว่าสามีเป็นคนร้อนแรงและมีพลังมากล้นนัก เรื่องราวบนเตียงของเขาเปรียบแล้วดังม้าพยศก็ไม่ปาน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังสู้แรงเขาไม่ใคร่ได้ หากนางไม่ร่ำร้องว่าหมดแรงแล้วถึงกับน้ำตาไหล อ้อนวอนก็แล้ว ชมเชยที่เขามีพลังเหลือล้นเก่งกาจหาใดเทียมไหนเลยเขาจะยอมปล่อยนาง           นางกับเขาลงถังอาบน้ำชำระกายพร้อมกัน แต่ไม่ได้กระทำการใดให้เสียเวลา จากนั้นสาวใช้ก็ช่วยทั้งสองแต่งตัว และพากันไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่า บอกกล่าวกับผู้อาวุโสพร้อมทั้งรับอาหารเช้าพร้อมกันแล้วสามีภรรยาก็ออกมาหน้าจวน           ของขวัญตระเตรียมพร้อมแล้วยังรถม้าอีกคันหนึ่งกับสาวใช้ที่ติดตามไป สองสามีภรรยาออกจากจวนสกุลหลิวตรงไปยังจวนสกุลอู๋ที่ต้องใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วยาม อู๋ชิวอิ่งจึงใช้ยามว่างในรถเอนกายซุกอกสามีหลับตาพริ้มไปเสียเลย เขาก็อดสงสารนางไม่ได้ จึงกอดกระชับนางไว้ ยกมือขึ้นลูบผมข้างจอนหูให้อย่างเอาใจใส่และแตะจูบเบาๆ ที่หน้าผากมนเกลี้ยงเกลาด้วยความรักใคร่           คราแรกเขาก็ได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้วว่าคู่หมั้นของเขาเป็นสตรีขี้อายที่อยู่ในจวนไม่ค่อยย่างเท้าไปไหน แต่เมื่อมาเจอตัวจริงนางกลับเร่าร้อนจนแทบเผาเขาจนมอดไหม้ ไม่ต้องพูดถึงความงดงามเหนือสามัญและความอ่อนหวานเอาใจใส่ยินยอมให้เขาสารพัด การแต่งงานที่เขาไม่ได้คาดหวังนักกลับทำให้เขารู้สึกเหนือคาด ภรรยาเช่นนี้เขาจะหมางเมินได้อย่างไรเล่า นางช่างดียิ่ง เขากระชับอ้อมแขนแน่นจนกระทั่งเวลาผ่านไป รถม้าจอดสนิทดีแล้ว เขากระซิบเรียกนางแผ่วเบาอู๋ชิวอิ่งก็รู้สึกตัว จัดผมกับเสื้อผ้าเล็กน้อยก็พากันลงจากรถม้า           มาถึงสกุลอู๋คนที่รอรับสามีภรรยาอยู่หน้าจวนพร้อมรอยยิ้มละไมคือพี่ชายคนโตกับพี่ชายคนรองและพี่สะใภ้ทั้งสองของอู๋ชิวอิ่งนั่นเอง           “คำนับพี่ชายทั้งสอง พี่สะใภ้” หลิวเต๋อหมิงแม้จะมีตำแหน่งเจ้าเมือง แต่พี่ชายคนโตของอู๋ชิวอิ่งกลับมาตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ในกรมอากรแล้ว นับว่ามีตำแหน่งสูงกว่าเขา ซ้ำอีกฝ่ายยังอายุมากกว่า การที่น้องเขยอย่างเขาจะนอบน้อมให้พี่ภรรยาไม่ใช่เรื่องที่ไม่สมควร           “น้องเขย เข้าจวนเถอะ ท่านพ่อท่านแม่กำลังรออยู่” คุณชายใหญ่วัยยี่สิบห้า ท่าทางสุภาพแต่เคร่งขรึมเล็กน้อยตอบรับคารวะของน้องเขยแล้วเชิญกันเข้าจวน คุณชายรองก็เช่นกัน เขาไม่ได้ส่งเสียง แต่ยิ้มรับ ส่วนสะใภ้ทั้งสองยอบกายทักทายอีกฝ่ายเงียบๆ           อู๋ชิวอิ่งจำภาพนี้ได้ เมื่อชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้ พี่ชายทั้งสองรอต้อนรับนางกลับบ้านเดิมหลังแต่งงานที่หน้าประตูจวน คนทั้งหมดพากันเข้าจวนไปทางโถงใหญ่           เมื่อเห็นบุตรสาวหน้าตาสดใสยังงดงามแรกแย้มเช่นเดิมหม่าซื่อถึงกับต้องลอบซับน้ำตา ในบุตรพี่น้องทั้งสาม นางห่วงบุตรสาวคนเล็กมากที่สุด ยังไงก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวที่นางประคองไว้ในฝ่ามือมาตั้งแต่เล็ก ผิดกับบุตรชายทั้งสองที่ติดตามหลังสามีต้อยๆ ตั้งแต่สามขวบ นางลอบมองเสื้อผ้าและเครื่องประดับของบุตรสาว ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนไม่ใช่ของที่นางตระเตรียมไว้ให้ก่อนออกเรือน นั่นแสดงว่าต้องเป็นลูกเขยของนางแล้วที่จัดการได้อย่างรอบคอบและคิดถึงบุตรสาวนาง เห็นเช่นนี้นางจึงเบาใจได้เปลาะหนึ่ง           “คำนับท่านพ่อตา ท่านแม่ยาย” หลิวเต๋อหมิงเดินขึ้นหน้าไปคารวะพ่อตาแม่ยายด้วยท่าทางสุภาพแย้มยิ้ม           “แอ่ม อือ นั่งเถอะ” อู๋ฉงพยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนละสายตาจากบุตรเขยไปยังบุตรสาว เห็นนางยังแย้มยิ้มก็เบาใจ ใช่ว่าแค่ฮูหยินของเขาเสียที่ไหนที่เป็นห่วงบุตรสาว เขาเองก็ห่วงไม่ต่างกัน ซ้ำนางก็ต้องแต่งงานไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไหนเลยคนเป็นพ่อจะวางใจลงได้           “ท่านแม่คงมีอะไรจะพูดกับอาชิว ท่านพ่อเองก็อยากชวนน้องเขยไปเดินหมากด้วยกันไม่ใช่หรือ” อู๋ติ้งเกาหรือคุณชายใหญ่เอ่ยขึ้น           “ไปเถอะ ข้าได้สุราดอกท้อสิบปีมาด้วย นับว่าใช้วันนี้เป็นฤกษ์ดีเปิดมันดื่มก็แล้วกัน” อู๋ลี่คุน คุณชายรองก็เอ่ยขึ้นมาอีกคน           “งั้นก็ไปห้องหนังสือเถอะ” ว่าแล้วอู๋ฉงก็ลุกขึ้น ยังไม่วายหันมองบุตรสาวครั้งหนึ่ง เห็นแก้มนวลเนียนนั้นแดงเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลก็ยกเท้าเดินจากไปพร้อมบุตรชายและบุตรเขย           เมื่อถึงห้องหนังสือทั้งสี่คนนั่งลงที่ตั่งข้างหน้าต่าง บิดาและพี่ชายใหญ่นั่งฝั่งตรงข้าม หลิวเต๋อหมิงกับพี่ชายคนรองของภรรยาก็นั่งฝั่งเดียวกับเขา แต่ทั้งสามล้วนทำเหมือนกันคือจ้องหน้าเขาเขม็ง           “ท่านพ่อตา พี่ชายทั้งสอง ให้เต๋อหมิงใช้ชานี้คารวะพวกท่านสักจอกเถอะ” เขารินชาใส่จอกเล็ก ยกขึ้นและดื่มมันลงไปรวดเร็ว           “บุตรสาวข้าถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เล็กจนโต อย่าทำให้นางขุ่นเคืองใจเล่า ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ฮึ” หากเป็นคนอื่นพูดเช่นนี้เขาก็ว่าไม่ใคร่เหมาะ แต่เขาอู๋ฉงห่วงบุตรสาวนี่ ยังไงก็ต้องข่มบุตรเขยไว้ก่อนถึงจะดี           “ที่ท่านพ่อตาเป็นกังวลข้าเข้าใจ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะดูแลนางให้ดี ไม่ทอดทิ้งแน่นอน”           “มาๆ ดื่มกันเถอะ” เห็นเช่นนั้นแล้วอู๋ลี่คุนจึงรีบเปิดจุกไหสุราและหงายจอกขึ้นสี่ใบ ริมสุราลงไป กลิ่นหอมอวลไปทั้งห้อง หลิวเต๋อหมิงยังยิ้ม เขารับสุรามาสูดดม “ขอใช้สุราจอกนี้ให้สัตย์สาบาน ข้าหลิวเต๋อหมิงจะดูและชิวอิ่งเป็นอย่างดี วันใดวันหนึ่งหากข้าละเลย ขอไร้ความสุขสงบไปชั่วชีวิต ยามอยู่คนหมางเมิน ยามตายไร้ดินกลบหน้า” กล่าวด้วยถ้อยคำหนักแน่นแล้วก็ยกสุราขึ้นดื่ม           พ่อลูกสกุลอู๋ทั้งสามเห็นเช่นนี้ก็พากันรีบยกสุราดื่มตามรวดเดียวจบ           “ท่านพ่ออยากเดินหมากกับน้องเขยมาตลอดมิใช่หรือ” อู๋ติ้งเกาเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งพยักหน้าเรียกสาวใช้ยกหมากกระดานมา พวกสาวใช้มาส่งของว่างก็วางมันลงยังโต๊ะ           อู๋ติ้งเกาคิดถึงเมื่อสามสี่ปีก่อนไม่มีใครไม่รู้ถึงผลการแข่งขันศาสตร์ทั้งเก้าของสำนักศึกษาหลวงว่าศาสตร์หมากล้อมนั้นหลิวเต๋อหมิงชิงป้ายผู้ชนะเลิศไปได้ ครั้งนั้นหลิวเต๋อหมิงยังศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาหลวง และปีนั้นเขาก็สอบผ่านซิ่วไฉได้อันดับที่หนึ่งด้วยและเข้าแข่งขันศาสตร์ทั้งเก้าครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายในฐานะศิษย์ของสำนักศึกษาหลวงเพราะปีต่อมาเขาเตรียมตัวสอบจวี่เหริน ที่จะมีการจัดขึ้นสามปีครั้ง แล้วเขาก็สอบผ่านในระดับต้นๆ มีใครไม่รู้จักหลิวเต๋อหมิงผู้นี้บ้าง เสียดายก็แต่เขาออกจากเมืองหลวงไปรับตำแหน่งเจ้าเมืองเสียนหยางสองปีแล้ว ได้กลับมาเมืองหลวงน้อยครั้ง ผู้คนจึงค่อยๆ ลืมหนุ่มหน้าหยกผู้มากความสามารถอย่างเขาไป และเพราะความสามารถที่โดดเด่นเช่นนี้อย่างไรเล่าที่ทำให้ท่านพ่อและท่านลุงถึงเห็นดีเห็นงามจะยกน้องสาวของเขาให้อีกฝ่ายไป อีกอย่างนายท่านผู้เฒ่าหลิวกับนายท่านผู้เฒ่าอู๋ยามยังมีชีวิตก็เป็นสหายกัน ตอนที่อู๋ฉงเปรยๆ กับผู้ใต้บัญชาหลังเลิกประชุมขุนนางหลิวเซิงหรือท่านลุงใหญ่ของหลิวเต๋อหมิงก็บอกว่าตัวเองก็กำลังมองหาหลานสะใภ้ด้วยเช่นกัน สุดท้ายจึงนำมาซึ่งการเกี่ยวดองกันระหว่างอู๋หลิวสองสกุล           พ่อตากับลูกเขยเริ่มดวลหมากกระดานกันเงียบๆ พี่น้องสกุลอู๋ก็ดื่มสุรากินถั่วคั่วแทะเม็ดแตงมองไปเพลินๆ ผลสุดท้ายท่านพ่อตาที่จัดว่าเป็นมือดีด้านหมากล้อมยังแพ้ให้บุตรเขย เมื่อเขาร่ำร้องจะเล่นอีก รอบที่สองหลิวเต๋อหมิงอ่อนข้อให้อย่างเห็นกันชัดๆ แต่ไม่มีใครพูด พ่อตาอย่างอู๋ฉงจึงชนะไปอย่างขาดลอย           พี่น้องสกุลอู๋เห็นท่านพ่อหัวเราะเพราะได้รับชัยชนะก็ได้แต่อมยิ้มรินสุราให้อย่างเอาใจ จนกระทั่งสาวใช้มาบอกว่าสำรับมื้อเที่ยงพร้อมแล้ว ทั้งสี่คนจึงพากันไปที่โถงข้าง           อู๋ชิวอิ่งเห็นสามีเดินตามท่านพ่อและพี่ๆ มาด้วยใบหน้าอมยิ้ม เมื่อมองท่านพ่อเห็นอีกฝ่ายแก้มแดงเพราะดื่มสุราก็ไม่อยากพูดอะไรอีก เชื้อเชิญให้สามีนั่งและนางก็นั่งลงด้านข้าง โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะกลมตัวใหญ่ สมาชิกทุกคนนั่งกันพร้อมหน้ายกเว้นเด็กๆ ทั้งสามที่กำเนิดจากอู๋ติ้งเกา หญิงชายคู่หนึ่ง บุตรของอู๋ลี่คุน ชายหนึ่ง ทั้งสามถูกพาไปกินมื้อเที่ยงตั้งนานแล้ว           หลิวเต๋อหมิงรับน้ำแกงหวานจากสาวใช้ส่งให้อู๋ชิวอิ่งก่อน ยามกินข้าวก็คอยคีบกับข้าวให้ เขาไม่ได้ทำให้ใครดู แต่ทำเพราะอยากทำ ตั้งแต่นางแต่งเข้ามาเขาก็ทำเช่นนี้ เขาคิดว่าการได้เอาใจใส่นางคือสิ่งที่เขาสมควรทำในฐานะสามี           อู๋ชิวอิ่งกินข้าวเงียบๆ สามีคีบอาหารอะไรมาวางในชามข้าวให้ก็กิน เพิ่มน้ำแกงให้ก็ดื่ม นางรับการเอาใจของสามีเต็มที่ แต่สำหรับนางคือการทำให้ท่านแม่ดูเพราะท่านแม่ห่วงนางมาก กลัวสามีจะเอาเปรียบและไม่ดีกับนาง ตอนนี้ก็ให้ท่านแม่ดูลูกเขยเอาใจนางไปมากๆ ก่อนเถอะ หวังว่าท่านแม่จะวางใจลงได้บ้าง           หลังมื้อเที่ยงอู๋ชิวอิ่งพาหลิวเต๋อหมิงไปพักผ่อนยังเรือนที่นางเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต เดินผ่านประตูวงพระจันทร์เข้าไปเจอสวนและทางเดินเล็กๆ ในสวนล้วนแต่ปลูกไม้ดอกไว้มากมาย แม้ยามนี้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ยังมีดอกไม้หลายกระถางให้ชม ครั้งเดินเข้าไปในเรือนก็ตรงไปยังห้องนอนส่วนใน           หลิวเต๋อหมิงเดินไปนั่งที่ตั่งริมหน้าต่าง บนตั่งตัวใหญ่นั้นวางโต๊ะเล็กไว้อีกตัว เขาดึงนางให้มานั่งบนตัก หันใบหน้ามองออกไปยังสวน เห็นต้นเฟิง[1]ไม่ใหญ่มากนักต้นหนึ่งข้างภูเขาจำลอง ใบเฟิงกำลังปลิดปลิวร่วงหล่นสีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง สีน้ำตาลบ้าง ล้วนแล้วแต่น่ามองและทำให้รู้สึกถึงความเงียบสงบ           “คิดว่าช่วงนี้ของฤดูเจ้าคงมานั่งเล่นที่ตั่งตัวนี้บ่อยๆ”           “ก็ไม่บ่อยเท่าไร หากวันอากาศดีข้าจะออกไปนั่งที่ซุ้มชิงช้าตรงนั้นมากกว่า” นางชะโงกหน้าไปชี้ให้เขาดูซุ้มชิงช้าใต้ระแนงต้นจื่อเถิงหลัว[2]ไม่ไกลจากภูเขาจำลองนัก ยังมีดอกสีม่วงอ่อนดกหนาห้อยระย้าลงมาน่ามองมาก           หลิวเต๋อหมิงชะโงกหน้าออกไปจนเห็นซุ้มระแนงนั้นแล้ว “กลับไปข้าจะสั่งช่างมาทำซุ้มจื่อเถิงหลัวในเรือนของเราบ้าง” ว่าแล้วเขาก็หันมองไปทางประตู เห็นพวกสาวใช้ถอยห่างไปพร้อมกับงับประตูปิดให้เรียบร้อย เขาจึงมือไม้อยู่ไม่สุข เริ่มลูบไล้เนื้ออวบอิ่มสองก้อนที่เห็นแล้วทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้เลย หน้าอกนางช่างงดงามตระการตาทีเดียว เสื้อผ้าที่เขาเตรียมไว้ให้ก็พอเหมาะพอเจาะกับนางยิ่ง ชุดรัดเอวนี้ยิ่งขับเน้นเอวอ้อนแอ้นให้ชวนมองมาก           อู๋ชิวอิ่งดื่มชาอยู่ก็แทบสำลัก เพียงแต่นางไม่ได้ห้ามปรามเขา วันนี้นางใส่ชุดสีม่วงอมแดงทั้งชุด ผ้าคาดเอวบางดูอ้อนแอ้นชวนมอง เสื้อผ้าถูกรมกลิ่นหอมดอกกล้วยไม้ เรือนผมถูกเกล้าเก็บอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้ว เครื่องประดับผมเป็นเครื่องประดับชุดใหม่ที่หลิงเต๋อหมิงเตรียมไว้ให้นางอย่างใส่ใจเข้าคู่กับชุดนี้ คล้ายเขาจะชมชอบมองนางแต่งตัวงดงามสมวัย นางเองก็เพิ่งเห็นด้านนี้ของเขาเหมือนกัน คิดแล้วก็ให้สะท้อนใจนักที่ชาติก่อนนางเหมือนจะละเลยเรื่องบางอย่างไปหรือไม่ ถึงทำให้ไม่ค่อยรู้ความชมชอบของสามีมากนัก ขณะที่อู๋ชิวอิ่งใจลอย มือหนึ่งของหลิวเต๋อหมิงก็ลูบที่ข้างเอวนาง ลูบอยู่พักใหญ่คล้ายชมชอบ ลมหายใจเขาร้อนลวกอยู่ข้างใบหูนาง ใบหน้าเขาฝังลงยังซอกคอนาง ขบเม้มเบาๆ           “ตรงนี้ได้หรือไม่” เสียงถามแหบพร่า อู๋ชิวอิ่งมีหรือจะไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร มือที่ลูบไล้เนินอกนางเริ่มสอดเข้าไปในสาบเสื้อสองชั้นบีบเคล้นเนินอกผ่านเสื้อเอี๊ยมสีกลีบบัว ปลายนิ้วสะกิดยอดอกจนมันชูชันแข็งตั้งอย่างไม่อาจหักห้ามไว้           ก่อนหน้านี้เขาดื่มสุราไปหลายจอก ตอนที่กินมื้อเที่ยงก็ถูกพี่ชายทั้งสองของภรรยาชวนดื่มไปอีกนับห้าหกจอก นับว่าไม่น้อยเพราะสุราดอกท้อไหนั้นหอมหวานแต่กลับทำให้มึนเมาเร็วมาก ตอนนี้ก็เหมือนสุราออกฤทธิ์พาให้ในกายปั่นป่วนร้อนรุ่ม           อู๋ชิวอิ่งรู้สึกเหมือนมีบางอย่างทิ่มอยู่ที่สะโพก นางชะงักไป แต่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งนั้นคืออะไร แม้จะรู้สึกอ่อนใจอยู่บ้างแต่นางก็วางจอกชาลง หันกลับไปมองใบหน้าแดงเรื่อของสามี ยกสองแขนขึ้นคล้องคอเขา ลมหายใจเป่ารดกันและกัน นางยังได้กลิ่นสุราดอกท้ออวลออกมาจากลมหายใจของเขา           สายตาเขาเลื่อนลงไปจับที่ริมฝีปากแดงเรื่อที่แต้มชาดมาบางเบา ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มนี้เขาบดเบียดมันมาหลายครั้ง แต่ถึงกระนั้นเขายังรู้สึกว่ามันยังไม่พอ เขาค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้าหานาง ประทับริมฝีปากลงไป บดเบียดแลบลิ้นเลียความอ่อนนุ่มและหอมหวาน นางก็ตอบสนองเขาด้วยการเปิดปากบดเคล้าแลกลิ้นกัน มือหนึ่งตรึงอยู่ที่ท้ายทอยนาง ทั้งสองจึงจุมพิตกันแนบชิด ดูดกลืนความหอมหวานจากปากกันและกัน           มือหนึ่งเคล้นคลึงหน้าอกอวบอิ่มผ่านเสื้อผ้า เสียงครางแผ่วดังขึ้นในลำคออู๋ชิวอิ่ง นางผละจากริมฝีปากบางที่ตามติดไม่เลิกราด้วยการซุกหน้ากับซอกคอเขาเสียเลย ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงขบเม้มใบหูและลำคอนาง มือเขาเลื่อนต่ำลงไปแล้ว ลงไปหาเป้าหมายกลางกาย เขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้านาง แต่เลิกกระโปรงขึ้น สอดมือเข้าไปภายในกางเกงตัวในและผ่านผ้าปิดอายชิ้นน้อยๆ เข้าไปหาเนินเนื้อกระสัน ปลายนิ้วลูบผ่านกลีบเนื้ออ่อนนุ่มสัมผัสได้ว่ามันมีหยดน้ำหวานอาบชโลมจนเปียกชื้นแล้ว           “เปียกขนาดนี้แล้วหรือ?”           “แล้วท่านเล่า ตั้งเป็นกระโจมอีกแล้ว” นางไม่พูดเปล่าแต่พยายามรั้งชุดตัวยาวของเขาขึ้น ดึงกางเกงของเขาออก เขาก็ให้ความร่วมมือโดยยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย แม้นางไม่ได้ถอดกางเกงเขา แต่ก็พอให้นางกับเขาได้ประสานกายกันแล้ว           มือนางกอบกุมท่อนเนื้ออวบใหญ่นั้นแทบไม่มิด นางรู้สึกประหลาดใจไม่หายกับความแข็งที่น่าเหลือเชื่อ แต่ถึงกระนั้นก็น่าอายพอกัน นางแทบไม่มองหน้าเขาเลย แต่เริ่มขยับมือรูดปลอกเนื้อขึ้นลงแล้ว           “ซี้ด อา” หลิวเต๋อหมิงสูดปากด้วยความพอใจ ใบหน้ายังฝังอยู่ที่ซอกคอนาง อีกมือหนึ่งเลื่อนเข้าไปฝังตัวในช่องทางคับแคบและเปียกชื้นแล้ว นิ้วมือขยับ           “อะ ท่านพี่ อย่า” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเพราะหลิวเต๋อหมิงทำท่าจะสอดอีกนิ้วเข้าไปในช่องคับแคบของนาง แค่นิ้วเดียวนางก็คับตึงพอแล้ว หรือว่านิ้วเขาแข็งและสากเกินไปถึงทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตรงนั้นนัก           “ยังเจ็บหรือ... อือ ถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้ก็เพิ่งจะเคยสัมผัส” เขาพูดเองและละความตั้งใจเสียเอง ด้วยการถอนนิ้วออกมาดูความเหนียวลื่นที่ติดปลายนิ้วออกมาด้วย เห็นว่านิ้วเขาถูกความเปียกฉ่ำเคลือบนิ้วจนวาววับ เขายิ้มมุมปาก จัดท่าทางโอบอุ้มสะโพกนางไว้ ให้นางนั่งคร่อมตักตนหันหน้าเข้าหากัน           “ข้าจะเข้าไปแล้ว” ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆ ยกสะโพกนางให้ตรงกับท่อนเนื้อแข็งขึงชี้ฟ้าท้าดินท่อนนั้น จากนั้นปล่อยสะโพกนางลงให้สอดสิ่งที่แตกต่างกันยิ่งเข้าประสาน           “อา อือ ข้า... อะ!” อู๋ชิวอิ่งรู้สึกคับแน่นเล็กน้อย คิดจะให้เขาค่อยๆ เข้าไปกลับไม่ทันแล้ว ไม่ทันเข้าไปจนสุดเขาก็ถอยออกและกระแทกเข้าไปรุนแรงและรวดเร็วยิ่ง ทำเอานางหน้าหงายกายสั่นไปทีเดียว           เห็นนางกายสั่นเขาก็กอดกระชับไว้ปลอบประโลมด้วยเสียงแหบพร่า ลมหายใจเริ่มหอบกระชั้นถี่เร็ว เขาเองก็ทานทนไม่ไหว จนต้องประคองสองโพกนางด้วยสองมือ จับมันยกขึ้นปล่อยลงให้สอดรับกับสะโพกของเขาที่ขยับไปพร้อมกัน           เสียงดังจากด้านล่างของสองร่างในห้องที่เงียบสงบทำให้หนุ่มสาวเริ่มเกิดอารมณ์กระสันอย่างรวดเร็ว แม้จะอยู่กันข้างหน้าต่าง แต่สวนในส่วนนี้สาวใช้ไม่ค่อยเดินเข้ามา อู๋ชิวอิ่งรู้ดีจึงยอมให้สามีกระทำกับตนอยู่ตรงนี้           นางเริ่มเป็นฝ่ายขยับเอง สองแขนวางอยู่ที่บ่ากว้างของเขา ยันสองขายกสะโพกขึ้นลง กระแทกท่อนเนื้ออวบใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกเสียวซ่านจนภายในบีบรัดกระตุกเป็นระยะ น้ำรักหลั่งไหลอาบย้อมท่อนลำแข็งขึงจนเปียกแฉะทั้งลำ แต่ไม่มีใครสนใจ ยังช่วยกันขยับกระแทกอย่างไม่ลืมหูลืมตัว จังหวะเริ่มเร่าร้อนรัวเร็วขึ้นตามลำดับ ใบหน้าชายหนุ่มฝังอยู่กลางหน้าอกอิ่มที่ถูกแหวกสาบเสื้อออกไปข้างหนึ่ง จากนั้นเขาก็คลายสายรัดเสื้อเอี๊ยมของนาง และแหวกมันให้พ้นทาง อกอวบอิ่มยอดอกสีชมพูระเรื่อตั้งเด่นเป็นเม็ดเล็กๆ ยวนตาคล้ายล่อลวงให้เขาเข้าไปหา เขาเองก็เหมือนต้องมนต์สะกด ขยับใบหน้าเข้าไป อ้าปากดูดเลียทันที เสียดูดกลืนดังจ๊วบจ๊าบอยู่ตลอด บางทีก็ดูดแรงจนหญิงสาวครางเสียงสั่นเขาถึงได้ปล่อยให้นางพักและเริ่มทำใหม่           อู๋ชิวอิ่งหายใจหอบเหนื่อย ไรผมเริ่มมีเม็ดเหงื่อเล็กๆ แล้ว แต่นางก็ยังคงขยับสะโพกตอกอัดลงไป ทั้งยังแอ่นอกให้เขาได้ดูดเลียอย่างใจชอบ           “อือ ท่านพี่ เลียอีก เลีย” นางถึงขณะครางเสียงหวานเรียกร้องให้เขาเลียยอดอกอย่างที่นางก็เริ่มชมชอบมันมาก           หลิวเต๋อหมิงรู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร ครั้งก่อนที่เขาลากลิ้นรัวเร็ว รัวปลายลิ้นกับปลายยอดอกของนางเน้นๆ นางถึงกับดิ้นพล่าน เขารู้ว่าทำเช่นนั้นก็เหมือนกระตุ้นอารมณ์กำหนัดของนางให้ไต่ทะยานสูงขึ้นได้           “อา!” หญิงสาวชอบมาก ใบหน้าแหงนหงายไปด้านหลัง สองตาพริ้มหลับ แอ่นอกให้เขาทำอีกซ้ำๆ สะโพกก็ยังขยับขึ้นสุดลงสุดไม่มีเหน็ดเหนื่อย หรือไม่นางก็ลืมเหนื่อยไปชั่วขณะ           “หันหลังหรือไม่ อา” เขาปล่อยยอดอกนางและกระซิบถาม           อู๋ชิวอิ่งหยุดขยับและยกสะโพกถอนกายไปทันที นางหันหลังให้เขา เกยร่างส่วนบนอยู่บนโต๊ะเล็ก สะโพกลอยเด่นอยู่ต่อหน้าต่อตาชายหนุ่ม เขาเองก็ลุกขึ้นคุกเข่าอยู่ด้านหลัง ถลกกระโปรงนางจนพ้นสะโพกขาวผ่อง ดึงกางเกงตัวในและผ้าปิดอายไปพ้นทาง จากนั้นก็ลูบไล้บุปผางามแดงฉ่ำด้วยความหลงใหล เพราะนางไม่ได้ถอดกางเกง นางจึงไม่ได้แยกขาให้กว้าง บุปผาดอกน้อยแต่แน่นเนื้อจึงถูกเบียดอยู่ระหว่างขา เป็นภาพที่งดงามมาก           เขาอดใจไม่ได้ถึงกับก้มลงไปจูบสะโพกขาวผ่องของนางครั้งหนึ่งและแลบลิ้นเลียบุปผาน้อยดอกนั้นสองสามครั้ง รสชาติของนางถูกปากเขามาก ถึงกับก้มลงไปดูดกลืนอีกครั้งและถึงจับท่อนเนื้อจดจ่อและสอดประสานเข้าไปจนถึงส่วนที่ลึกที่สุด           อู๋ชิวอิ่งครางเสียงแผ่ว นางกุมสองมือเข้าไว้ด้วยกัน รอรับแรงกระแทกกระทั้นจากเขาอย่างตั้งใจและรอคอย จากนั้นร่างทั้งร่างก็โยกไหวอย่างหนัก โต๊ะเล็กเคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุดจนนางต้องจับยึดเอาไว้มั่น กาน้ำชาก็สั่นไหวไปด้วย           ตับๆ ตับๆ ตับๆ เสียงกระแทกดังรัวเร็ว ถี่กระชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ หลิวเต๋อหมิงเองก็รู้ว่าทำเรื่องเช่นนี้ในวันพาภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านเดิมหลังแต่งงานมันไม่เหมาะ แต่เขาหักห้ามใจไม่ไหว ถึงกระนั้นก็ต้องเร่งรีบปลดปล่อยให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้ใครมารับรู้และตำหนิได้           เขาจึงเร่งโจนจ้วงสะโพกเข้าไปอย่างแรง ภายในของนางช่างอุ่นและเปียกแฉะ แต่เขาชอบมาก เสียงท่อนเนื้อทิ่มตำเข้าไปในร่องลึกที่มีน้ำหลากฟังแล้วก็กระสันเสียวจนเขามวนท้องเสียววาบๆ ที่หลังเอวหลายต่อหลายครั้ง           “น้องหญิง ดีหรือไม่ หืม เจ้ารัดแน่นเหลือเกิน อา” เขาเร่งเร้าอย่างหนักเสียงดังลั่นห้อง           อู๋ชิวอิ่งมัวเมากับรสสวาทจนแทบไม่ได้ยินเสียงเขาแล้ว นางรู้สึกเหมือนกำลังลอยขึ้นที่สูง รู้สึกวูบวาบจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้แล้ว สะโพกขยับวนเบาๆ รับจังหวะกระแทกของเขาไปด้วย           “เร็วๆ ข้าใกล้แล้ว อา อือ” อู๋ชิวอิ่งคล้ายละเมอ นางแหงนหน้าร้องขอด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้ม           “ได้เลย โอว อา” หลิวเต๋อหมิงเองก็เช่นกัน ทนไม่ไหวแล้วจึงเร่งสะโพกเสยท่อนเนื้อเข้าใส่บุปผาจนน้ำรักหลั่งรินเปื้อนต้นขานางไปแล้ว จังหวะสุดท้ายคล้ายเกิดพายุโหมกระหน่ำมาเร็วและแรงก่อนจะค่อยๆ สงบลงด้วยการทิ้งหยาดน้ำฝนมากมายไว้ น้ำกามขาวขุ่นที่เขาปลดปล่อยถึงกับหยดลงบนตั่งที่แข็งแรงกว่าที่คิดเพราะมันส่งเสียงแผ่วเบาเท่านั้นยามเขาขยับรุนแรง           หลิวเต๋อหมิงดึงนางให้ลงมานั่งอยู่บนต้นขาตน ให้นางเอนหลังพิงอกเขา สองคนเหนื่อยหอบ เหงื่อชื้นเสื้อผ้าไปหมด แต่เพราะนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่มีลมพัดมาตลอด เสื้อผ้าจึงแห้งด้วยความรวดเร็ว เขากอดซ้อนหลังนางอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเขาปลดปล่อยน้ำกามเข้าไปในกายนางจนไม่เหลือแล้วถึงได้ก้มลงมองใบหน้างาม สองข้างแก้มของนางแดงเรื่อ ใบหน้าเปล่งปลั่งชวนมอง นางยังหลับตาพริ้ม ริมฝีปากอ่อนนุ่มบวมเจ่อเล็กน้อย เขามองแล้วก็อดก้มลงไปจูบมันไม่ได้           “ให้ข้าพักหน่อย” นางคิดว่าเขาจะทำอีกจึงรีบเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วส่งเสียงออกมาพร้อมส่ายหน้า           “ได้” เขาหัวเราะเสียงต่ำ แล้วขยับกายถอนตัวออกจากกายนาง ให้นางนั่งลงบนตั่ง เขาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วอุ้มนางไปยังเตียงนอน วางนางลงแล้วดึงผ้าห่มมาปิดเนื้ออก จากนั้นไปเรียกหาอ่างน้ำร้อนจากสาวใช้ ไม่นานก็กลับมาพร้อมอ่างน้ำและผ้าสะอาด เขานั่งลงข้างเตียง ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก เช็ดหน้าเช็ดตัวให้นางและตัวเอง จากนั้นค่อยเช็ดความเหนอะหนะด้านล่างให้นางอย่างเอาใจ เสร็จแล้วก็โยนผ้าทิ้งในอ่าง และถอดเสื้อนอกก้าวขึ้นเตียงมานอนกอดนางไว้ ตั้งใจให้นางได้นอนพักเอาแรงสักหนึ่งชั่วยามค่อยกลับสกุลหลิว ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมาก แม้จะปิดเปลือกตาแต่ก็นอนไม่หลับ ใจยังร้อนรุ่มกระชุ่มกระชวยไม่หาย             หนึ่งชั่วยามผ่านไป สาวใช้เห็นทั้งสองยังไม่ออกมาเลยไปเรียก เพราะหากยังไม่กลับสกุลหลิวอีกจะไม่เป็นมงคลเพราะถือกันว่าวันที่พาภรรยากลับมาเยี่ยมบ้านหลังแต่งงานสามวันนั้นต้องกลับออกมาก่อนฟ้ามืด ตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้วด้วย             ขากลับจวนสกุลหลิวตอนเย็นอู๋ชิวอิ่งพาสาวใช้อีกสี่คนกับบ่าวชายสองคนและพ่อครัวหนึ่งคนติดตามกลับสกุลหลิวด้วย นางแค่บอกท่านแม่ สาวใช้และบ่าวชายรวมถึงพ่อครัวก็เก็บของเสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว คนพวกนี้เดิมทีท่านแม่ของนางตระเตรียมไว้ให้ติดตามนางออกเรือนนานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านั้นนางบอกปัดไป ตอนนี้นางต้องการขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่จัดการง่ายยิ่ง ท่านแม่เองก็พอใจมากที่นางยอมพาสาวใช้ไปเพิ่ม ซึ่งชาติก่อนนับว่านางทำผิดถนัด มาชาตินี้นางจะพาพวกเขาไปด้วย สาวใช้ทั้งสี่กับบ่าวชายอีกสองล้วนเป็นวรยุทธ์ เป็นคนที่พี่ใหญ่กับพี่รองเลือกมาให้นางอีกที หกคนนี้หากไม่บอกก็ย่อมไม่มีใครคิดถึงเพราะทั้งหกคนแต่งกายเรียบง่าย หน้าตาธรรมดายิ่งเหมือนสาวใช้บ่าวชายทำงานหยาบธรรมดา             เมื่อทั้งสองกลับถึงสกุลหลิวก็แวะไปทักทายฮูหยินผู้เฒ่าก่อนแล้วค่อยกลับเรือน อู๋ชิวอิ่งอยากพักผ่อนเต็มที นางอ่อนระโหยโรยแรงจนแทบยกขาเดินไม่ขึ้นแล้ว เมื่อผ่านประตูเข้าลานเรือนมาก็รู้สึกตัวเบาหวิวเพราะถูกหลิวเต๋อหมิงอุ้ม             “หมดแรงแล้วหรือ?”             “วันนี้เปลืองแรงยิ่ง” นางอดจะค้อนใส่เขาไม่ได้             “วันนี้จะให้พักก่อนเพราะรุ่งเช้าต้องออกเดินทางไปเสียนหยางกันแล้ว หากคืนนี้ยังทำเรื่องเสียแรงกันอีก เกรงว่าน้องหญิงคงต้องนอนไปในรถม้าแล้ว”             ยามเขาหยอกเย้านางหรือยามเขาพูดเล่นกับนางหรือแม้กระทั่งตอนที่ทำเรื่องแนบชิดกัน เขามักจะเรียกนางว่าน้องหญิง ฟังแล้วคล้ายถูกบุรุษเจ้าชู้กรุ้มกริ่มกำลังเกี้ยวพาอยู่ก็ไม่ปาน แต่จะว่าไปแล้วลึกๆ บุรุษทุกคนย่อมมีความเจ้าชู้อยู่บ้าง เพียงแต่ใครจะเก็บไว้หรือใครจะเปิดเผยก็เท่านั้น สำหรับหลิวเต๋อหมิงแล้วเขาเจ้าชู้จริงๆ แต่อู๋ชิวอิ่งคิดว่าตัวเองสามารถทำให้เขายอมจำนนกับนางได้เพราะนางค้นพบจุดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชาติก่อนได้หลายจุด อย่างเช่นเรื่องบนเตียง นางต้องตามใจเขา ต้องร่วมมือกับเขาให้มาก เขาชอบให้นางชมว่าเก่ง แรงมาก ยิ่งเขาเห็นน้ำตานางยามร่วมรัก ยิ่งนางส่งเสียงครางอ้อนให้เขาปล่อยให้นางพักผ่อนเขาจะยิ่งเป็นวัวบ้า ต้องแกล้งนางต่อจนพอใจถึงจะยอมเลิกรา ทั้งยังมีเรื่องที่ชอบให้นางแต่งตัว ชอบเห็นเครื่องประดับสวยๆ อยู่บนศีรษะนาง ชอบแอบลูบเอวนางก็หลายครั้ง เอาเป็นว่าเรื่องทั้งหมดนี้อยู่ที่ว่าเขาล้วนลุ่มหลงในหน้าตาและร่างกายของนาง เพราะฉะนั้นนางจึงต้องใช้ความงามนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุดแล้ว [1] ต้นเฟิง หมายถึง ต้นเมเปิล [2] ‘จื่อเถิง’ (**) หรือ ต้นวิสทีเรีย (Wisteria อาจเรียกกันว่า จื่อเถิงหลัว (***) ก็ได้ ซึ่งคำว่า **(หลัว) แปลว่าเถานั่นเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD