2
ขุนศึก
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ สมาชิกสี่คนที่มารวมตัวกันเพราะบุญหรือบาปชักพาก็ไม่อาจรู้ได้ก็ยังคงไม่ลุกออกไปไหน แต่นั่งคุยสัพเพเหระกันอยู่ที่ม้านั่งในโรงอาหารนั่นแหละ
“สรุปว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน แล้วก็มาเรียนด้วยกัน?”
ขุนศึกเอ่ยขึ้นหลังจากฟังเรื่องราวของทั้งสามคนจบแล้วได้ความคร่าวๆ ว่าฝนทิพย์กับจักรดุลย์เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถม ส่วนอธิปัตย์รู้จักกับจักรดุลย์อยู่แล้ว ฝนทิพย์เลยได้รู้จักและพลอยสนิทสนมไปด้วย เพราะช่วงปิดเทอมอธิปัตย์ที่เป็นคนกาญจนบุรีมักจะเดินทางมาที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมพ่อและแม่ของจักรดุลย์ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาเสมอ
“ไอ้เวย์กับไอ้พอร์ชเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ส่วนฉันเนี่ยเป็นเพื่อนบ้าน...บ้านใกล้เรือนเคียง”
“พ่อไอ้เวย์เป็นเพื่อนพ่อกู ส่วนแม่ไอ้เวย์ก็เป็นน้องสาวของพ่อกู” อธิปัตย์เอ่ย
“แต่พ่อไอ้พอร์ชเป็นลุงของกู ส่วนแม่ไอ้พอร์ชก็เป็นเพื่อนรุ่นน้องของพ่อกู แล้วก็เป็นแฟนเก่าของเพื่อนพ่อกูกับพ่อไอ้พอร์ชด้วย” จักรดุลย์ขยายความ
ส่วนฝนทิพย์นั้นกลับมางงอีกแล้ว เธอใช้เวลาตั้งนานกว่าจะทำความเข้าใจในสายญาติของไอ้สองคนนี้ วันนี้พวกมันมาทำให้เธองงอีกแล้ว!
“สรุป...พ่อไอ้พอร์ชกับแม่ไอ้เวย์เป็นพี่น้องกัน แล้วพ่อของพวกมึงก็เป็นเพื่อนกันด้วย แล้วแม่ไอ้พอร์ชก็เคยเป็นแฟนเก่ากับเพื่อนอีกคนของพ่อพวกมึง”
“เฮ้ย! สุดยอด”
ฝนทิพย์ยกนิ้วให้กับการเรียบเรียงที่เข้าใจง่ายขึ้นนั้น
“เออ ประมาณนั้นแหละ” อธิปัตย์ว่าจบก็ส่ายหัว พูดเรื่องนับญาติกันทีไรเป็นงงทุกที นี่ยังไม่รวมบ้านลุงริวป้ามนและพี่ๆ น้องๆ ของแต่ละบ้านนะ
“แล้วเธอล่ะเบสต์” ขุนศึกหันมาถามเพื่อนสาวหนึ่งเดียวบ้าง
“ฉันก็อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับบ้านไอ้เวย์อะ ตอนแรกไม่ได้รู้จักกันหรอก แต่พ่อกับแม่เวย์ชอบมากินอาหารที่ร้าน เป็นลูกค้าประจำ พอได้พูดคุยกันพ่อกับแม่พวกเราก็สนิทกันไปเลย ยิ่งพอมารู้ว่าบ้านอยู่ติดกันยิ่งซี้ไปกันใหญ่ โครงการฝากลูกกับเพื่อนบ้านก็มา”
ฝนทิพย์เอ่ยอย่างติดตลกเมื่อนึกถึงความหลังครั้งเยาว์วัย ก็ใครจะไปคิดว่าเธอที่อายุเพียงหกขวบตอนนั้นจะต้องมานั่งปลอบใจเพื่อนวัยเดียวกันที่เป็นผู้ชาย เพียงเพราะเจ้าตัวคิดถึงแม่ที่ไปทำธุระที่ต่างจังหวัดและโดนพ่อเอามาปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านของเธอ เนื่องจากพ่อของจักรดุลย์ต้องพาลูกสาวอีกคนไปทำธุระเรื่องเรียนพิเศษอะไรสักอย่าง
“ที่บ้านทำร้านอาหารเหรอ ร้านไหน” ขุนศึกถามต่ออย่างใคร่รู้
“ร้านอิ่มทิพย์น่ะ”
อันที่จริงตอนแรกแม่ตั้งชื่อร้านว่ากินทิพย์ด้วยซ้ำ แต่พ่อไม่ยอม พ่อบอกว่า...ผมกินทิพย์ได้คนเดียว
ลองจินตนาการตามนะ ความอดีตบอดี้การ์ดหน้านิ่งที่ขึงขังจริงจังแม้กระทั่งตอนหึงหวงอะเนอะ ดูกร้าวใจสุดๆ
“อ๋อ รู้จักๆ เคยไปกินสองสามครั้ง”
ขุนศึกจำได้ว่าอาเล็กเคยบอกว่าร้านนี้เป็นร้านโปรดของอาเชอรี่ ทำให้เวลาที่อาเล็กเรียกรวมพลหนุ่มๆ สาวๆ ลูกหลานเดอะแก๊งจึงมักจะเรียกมากินอาหารกันที่ร้านนี้ แต่เพราะเขาไปเรียนต่อไฮสคูลที่อังกฤษหลายปี เลยได้ไปร่วมวงไม่กี่ครั้ง และหลังจากกลับมาส่วนใหญ่ก็นัดรวมพลกันที่บ้านของใครคนใดคนหนึ่งมากกว่าจะออกไปข้างนอก
“แต่ก่อนที่ตรงนั้นไม่ใช่ร้านอาหารนะ เป็นคลับอะไรสักอย่างนี่ล่ะ แต่ลุงหินยกให้พ่อฉันเปิดร้านน่ะ”
ลุงหิน? ขุนศึกรู้สึกคุ้นชื่อนี้
“ลุงหินเหรอ”
“อืม ลุงหิน คุณศิลาเจ้าของเบสต์ชูส์น่ะ แต่ก่อนพ่อเคยเป็นบอดี้การ์ดให้ ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ละ”
“อ๋อ” ขุนศึกครางรับในลำคอแต่ไม่เอ่ยอะไรต่อ ค่อนข้างมั่นใจว่าลุงหินที่อีกฝ่ายพูดถึงคือลุงหินที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับอาเชอรี่เมียของอาเล็กแน่นอน
“ไม่เห็นเหมือนคนที่แย่งเก้าอี้กันเมื่อวันก่อนเลย”
จักรดุลย์เอ่ยพลางยกแก้วโค้กขึ้นดูดไปพลาง
“สงบศึกชั่วคราว ไว้ค่อยหาเรื่องกันใหม่”
ขุนศึกยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินฝนทิพย์เอ่ยเช่นนั้น ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าอธิปัตย์กำลังนั่งมองอะไรอยู่โดยไม่สนใจต่อบทสนทนากับพรรคพวก
“ไอ้พอร์ช”
“เออ”
“ดูไรอยู่วะ”
ช่วยไม่ได้ที่เวลาขุนศึกและอธิปัตย์อยู่ด้วยกันบทสนทนามันจะหดเหลือสั้นๆ แต่เข้าใจกันยาวๆ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ คงเพราะเหตุการณ์เมื่อวานในผับที่เขาช่วยให้อีกฝ่ายไม่โดนกระทืบจากพวกที่เมาแล้วพาลกระมัง รู้จักกันวันเดียวก็เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนซี้กันซะแล้ว
“นู่น” พยักพเยิดหน้าไปแล้วก็หันกลับมาหาเพื่อนสาวที่ยังคุยจ้อๆ กับจักรดุลย์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
“ไอ้เบสต์”
“อะไรไอ้พอร์ช กูกำลังเมาท์”
“นู่น! เพื่อนมึง”
ฝนทิพย์หันไปทางที่เพื่อนบุ้ยใบ้ ก่อนจะเห็นหญิงสาวตัวเล็กๆ กำลังเดินแกมวิ่งตรงมาทางโรงอาหาร นี่ก็ใกล้ได้เวลาเรียนคาบบ่ายแล้ว แต่เธอคนนั้นเพิ่งจะมาหาข้าวกินเนี่ยนะ
“จ้าว! จ้าวจันทร์!”
ตะโกนเรียกพร้อมกับโบกไม้โบกมือ ไม่สนใจว่าคนที่นั่งอยู่ประปรายในโรงอาหารจะหันมามองอย่างสนอกสนใจ เพราะคนอย่างฝนทิพย์ไม่ค่อยอายกับอะไรอยู่แล้ว