แค่สบตาพาให้ม้วยระทวยใจ
เธอรู้ไหมหัวใจฉันมันไหวหวั่น
แค่เธอหรี่ตามองเหลือบเล็งกัน
เพียงแค่นั้นโลกของฉันก็ชมพู
จ้าวจันทร์นั่งยิ้มกริ่มกับกลอนที่เพิ่งแต่งขึ้นสดๆ ร้อนๆ อ่านไปอ่านมาแล้วก็มาเขินเองคิดเองเออเอง คนอะไรขี้มโนได้เป็นตุเป็นตะ มันนานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้แต่งกลอน อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากเป็นสาวเจ้าบทเจ้ากลอนซึ้นมาซะอย่างนั้น
ปึก!
เสียงที่ดังขึ้นข้างๆ ทำเอาสะดุ้ง จินตนาการเลิศหรูพลันกระเจิดกระเจิง พอหันไปมองก็เห็นว่าเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันได้วันนี้เป็นวันที่สองหันมามองและพยักหน้าให้เธอ เขาคืออคิน หรือขุนศึกนั่นเอง
วันนี้จ้าวจันทร์ต้องนั่งเรียนอยู่กับขุนศึกแค่คนเดียว เพราะสมาชิกห้าแสบอีกสามคนอย่างพอร์ช เบสต์ และเวย์ นั้นพร้อมใจกันโดดเรียนและแจ้งมาในไลน์กลุ่มแล้วเรียบร้อย
“ทำไร”
พอเขาเอ่ยถามขึ้นมาอย่างนั้น จ้าวจันทร์ก็รีบปิดสมุดหน้าที่มีกลอนแล้วกระวีกระวาดเอาหนังสือของรายวิชาที่จะเรียนขึ้นมาวางแทน
“ไม่ได้ทำไรค่า” อ้อมแอ้มบอกเขาเสียงเบา
“สามคนนั้นไม่มานะ”
“ค่ะ”
ตอบกลับเขาแผ่วเบาเช่นเคย เอาจริงๆ ก็อยากคุยด้วยเยอะๆ นะ แต่ยังไม่กล้าและไม่รู้ว่าเขาจะรำคาญเธอไหม เพิ่งรู้จักกันยังไม่สนิทเท่าไร แต่ในใจก็อยากสนิทไวๆ และมากๆ แหละ ก็เธออยากมีเพื่อนนี่นะ
“เมื่อวานถึงบ้านกี่โมง”
ขุนศึกเอ่ยถาม ด้วยว่าเมื่อวานหลังจากส่งเธอหน้าป้ายรถเมล์แล้วก็ต่างคนต่างกลับทางใครทางมัน
“ประมาณห้าโมงกว่าๆ จ้า”
“อ่อ...”
ว่าแค่นั้นก็หันไปนั่งนิ่งๆ ไม่ได้สนใจอะไรเธออีก และหลังจากนั้นราวๆ ห้านาทีอาจารย์ก็เข้ามาในห้อง จ้าวจันทร์เลยต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านและตั้งใจเรียน...
เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง
“ไปกินข้าวกัน”
ขุนศึกหันมาชวนคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างเขามาตั้งแต่คาบเช้า ดูเจ้าหล่อนตั้งใจเรียนสุดๆ แต่เขาแอบสังเกตเห็นนะว่าเธอเหมือนเกร็งๆ และยุกยิกๆ คล้ายกับว่านั่งไม่ถนัดหรืออยากพูดอยากคุยอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้า
เขาก็ไม่ชวนคุยหรอก ปล่อยให้ไม่กล้าแบบนั้นแหละ ไว้กล้าเมื่อไหร่ค่อยคุยกันก็ได้
คนสองคนที่เป็นคนแปลกหน้าแต่ตอนนี้เหมือนต้องกลายมาเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยายเดินเคียงคู่กันมาที่โรงอาหาร แต่พอมาถึงแล้วก็ต้องชะงักเมื่อตอนนี้ที่นั่งในโรงอาหารเหมือนจะไม่มีเหลือเลย
“ทำไมคนเยอะจัง” ขุนศึกเปรยขึ้นมา พอหันไปดูคนที่มาด้วยก็เห็นเธอชะเง้อชะแง้คล้ายกำลังแลหาที่นั่งว่างๆ
“ไปกินร้านข้างนอกมั้ย ในนี้น่าจะไม่มีที่นั่ง คนเยอะเกิน”
“ค่ะ” จ้าวจันทร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย
จากนั้นก็เดินตามเขาต้อยๆ ออกไปยังร้านค้าข้างนอกซึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก
หลังจากเดินๆ อยู่ราวสามนาที ขุนศึกก็พาเพื่อนตัวจิ๋วเดินเข้าไปในร้านอาหารที่เป็นกึ่งๆ คาเฟ่ ที่บรรยากาศดี คนไม่พลุกพล่าน และมีอาหารขายพร้อมกับกาแฟ ราคาก็ไม่ได้แพงจนเกินไปนัก
“กินไรดี เลือกเลยนะ”
รู้สึกว่าเขาจะเป็นคนเริ่มบทสนทนาเสียส่วนใหญ่นะเนี่ย ปกติไม่ค่อยคุยกับใครก่อนสักเท่าไรนะ
“จ้าวเอากะเพราทะเลรวมมิตร”
“อือ เอาด้วย” เขาว่าแค่นั้น แล้วหันไปบอกกับพนักงานในร้านที่มารอรับออร์เดอร์
“กะเพราทะเลรวมมิตรราดข้าวสองที่ครับ แล้วก็เลมอนที เอ่อ ชามะนาว...เอาน้ำไร” หันมาถามเธอ
จ้าวจันทร์เลยรีบตอบ
“มะพร้าวปั่นก็ได้ค่ะ”
พอรับออร์เดอร์เสร็จพนักงานก็เดินจากไป สองคนอย่างขุนศึกกับจ้าวจันทร์ก็นั่งนิ่งรออาหารวนไป และเหมือนว่าจ้าวจันทร์จะไม่สามารถทนความเงียบต่อไปได้อีกแล้ว เธอเลยละความเกร็งทุกอย่างไว้ แล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา
“คินชอบกินชามะนาวเหรอคะ”
“กินได้หมดแหละ แต่กลัวง่วงคาบบ่ายเลยอยากดื่มไรเปรี้ยวๆ”
“จริงด้วย...จ้าวจะหลับไหมเนี่ยกินมะพร้าวปั่น”
“ถ้าคนมันจะหลับกินอะไรก็หลับ”
ได้ยินเขาว่าแบบนั้นจ้าวจันทร์ก็อดขำไม่ได้ เลยหัวเราะออกมาเบาๆ ฝ่ายขุนศึกก็ได้แต่พยักหน้าและยักคิ้วให้เธอพร้อมกับกระตุกยิ้มน้อยๆ เหมือนขำเธอเช่นกัน
“นิสัยจริงๆ ของคินเป็นยังไงเหรอ”
แม้จะอยากถามกลับไปว่าเธอมองเขาว่าเป็นคนนิสัยยังไงล่ะ แต่สุดท้ายก็ตอบออกไปแทนที่จะถามกลับเหมือนอย่างใจคิด
“ก็ตรงไปตรงมา คูลๆ”
“ไม่ค่อยพูดมั้ยอะคะ เห็นตอนอยู่กับพอร์ชไม่ค่อยพูดกันทั้งสองคนเลย”
“ก็พูดบ้างแหละ แล้วแต่สถานการณ์”
จ้าวจันทร์พยักหน้า ก่อนจะคุยต่อเจื้อยแจ้วราวนกแก้วนกขุนทอง
“ตอนแรกเค้านึกว่าคินหยิ่งซะอีก” เธอยังจำใบหน้านิ่งๆ ราวกับมีรังสีอำมหิตของเขาตอนที่เจอกันวันแรกได้นะ
“แล้วตอนนี้?
“ก็หยิ่งแหละ”
“อ้าว...”
“ไม่ๆ หมายถึงว่าดูมีมาดแต่ไม่ได้เก๊กน่ะ ดูเหมือนจะเงียบขรึม แต่ก็แอบมีมุมฮาและอารมณ์ดี แต่บางทีก็นิ่ง”
อันนี้วิเคราะห์จากการที่ได้แอบสังเกตพฤติกรรมของเขาจากการที่เขามีน้ำใจไปส่งที่ป้ายรถเมล์เมื่อวาน กับอีกครึ่งวันที่ได้นั่งเรียนด้วยกัน แม้เขาจะไม่ค่อยพูด แต่กับเพื่อนๆ ผู้ชายคนอื่นในชั้นเรียน เขาก็ดูเฟรนด์ลี่ดีอยู่นะ