ใครกันนะ!
“...”
“แล้วอย่างไรต่อหรือ” เสียงทวงถามทำให้ชิงหรูหันมาทำมาหากินต่อ ดูแล้วจากนี้นางคงต้องใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แก้ปัญหาไปวันๆ ก็แล้วกัน เพราะยิ่งคิดก็ดูเหมือนจะยิ่งปวดหัวและกังวล
ชีวิตในตอนนี้ราวกับโดนหมอดูทักเรื่องร้ายๆ ไม่มีผิด เฮ้อ
“เจ้าค่ะ ข้าจะเล่าต่อแล้ว”
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม้จะเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่ก็สอดแทรกปมการเมือง การแย่งชิงอำนาจกันอย่างเชือดเฉือน ตั้งแต่ต้นจนจบ
แปะๆ แปะๆ เสียงปรบมือของผู้คนที่มาฟัง ต่างก็ชื่นชมและได้รับความสุขไปเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะคุณหนูในห้องหอที่ยิ้มแก้มปริกับตอนจบของเรื่องที่แสนจะสุขใจ
“ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะ”
“ข้าชอบเรื่องที่เจ้าเล่ามาก วันพรุ่งยังจะมาอยู่หรือไม่” คุณหนูสองนางพากันนำเงินมาเป็นสินน้ำใจ ก่อนจะไถ่ถามถึงวันพรุ่งนี้
“มาเจ้าค่ะ แต่วันพรุ่งจะมีเรื่องสงครามมาเล่า คุณชายทั้งหลายจะได้ไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป”
“ดีๆ เช่นนั้นวันพรุ่งข้าก็จะมาอีก” บรรดาบุรุษที่มาดูพากันพยักหน้าพอใจ ก่อนจะนำสินน้ำใจมามอบให้
กว่าจะพูดคุยกับคนที่มาฟังนิทานหมด เสี่ยวฉีก็คอพับนั่งหลับพิงต้นไม้ แต่จะว่าไปยามนี้ก็เข้ายามซวีแล้ว (19:00 -21:00 น.)
“เสี่ยวฉี ตื่นเถิด กลับบ้านกัน”
“พวกเขากลับแล้วหรือขอรับ”
“กลับแล้ว ไปกัน” เกาชิงหรูเดินจูงมือเด็กชายไปส่งถึงหน้าเรือน เดินกันไปก็พูดคุยกันไป แม้จะไม่ได้ดึกมาก แต่นางก็เข้าใจว่าเด็กชายคงเหนื่อยล้า ทั้งเวลานี้ก็ใกล้จะถึงเวลานอนของเด็กชายแล้ว วันหลังคงต้องถามความสมัครใจของเสี่ยวฉี และมารดาของเขาก่อนว่าจะยังให้เสี่ยวฉีมากับนางอยู่หรือไม่
“วันนี้เราได้มาตั้งสิบตำลึงเงินเลยนะ ข้าแบ่งให้เจ้าสี่ตำลึง”
“ยะ เยอะเกินไปขอรับ ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย” เสี่ยวฉีโบกมือไม่ยอมรับเงินที่พี่สาวให้
“ไม่เยอะไป เจ้าต้องอดหลับอดนอนรอข้า เอาไปเถิด”
“...เช่นนั้นข้าเอาสองตำลึงพอขอรับ ให้ท่านแม่ไว้ใช้หนึ่งตำลึง แล้วอีกหนึ่งตำลึงข้าจะเก็บออมไว้”
“เก่งมาก ขอบใจเจ้าที่ไปช่วยข้า” ชิงหรูลูบหัวเด็กน้อย ก่อนจะบอกให้เข้าบ้านไป ส่วนนางก็เดินกลับจวนอ๋อง
อันที่จริงหากจะให้นางทำเองก็พอจะทำได้ แต่พอได้รู้จักครอบครัวสกุลผินก็รู้สึกสงสาร บิดาของเสี่ยวฉีตายไปตั้งแต่เขายังเป็นทารก มารดาต้องหาเงินเลี้ยงดูลูกเอง นางจึงอยากช่วยให้ครอบครัวนี้มีรายได้ด้วย
“แปดตำลึงเงิน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี” หญิงสาวพูดให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะเดินกลับจวน
เสียงพูดกับปากต่อปากว่ามีนักเล่านิทานหญิง เล่าเรื่องได้สนุกสนานครบรส ผู้คนที่เข้ามาฟังชิงหรูก็มากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าต้องมาพร้อมกับเงินทองและความเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน
“พี่ชิงชิง ไหวหรือไม่ขอรับ พรุ่งนี้เราหยุดพักดีหรือไม่”
“อืม คงต้องอย่างนั้น เสียงข้าไม่มีแล้ว” ชิงหรูนั่งเล่าเรื่องติดกันกว่าชั่วยาม (2ชั่วโมง) ติดกันมาหลายสิบวันไม่ได้หยุดพัก เพราะเรื่องเงินที่บีบรัดตัว
“เช่นนั้นท่านก็พักให้มากนะขอรับ”
“เจ้าเองก็ต้องพัก นี่ของเจ้า”
“ขอบพระคุณขอรับ อ่ะ ท่านแม่น่าจะออกมารับข้าแล้ว” เสี่ยวฉีรับเงินไป ก่อนจะโบกมือลาพี่สาว ชิงหรูเองก็เอ่ยทักทายท่านน้าผินแล้วรีบกลับจวน กะว่าไปถึงจะซุกตัวในผ้าห่ม นอนข้ามวันข้ามคืนเสียหน่อย
“เฮ้อ เหนื่อย~” ยอมไปนอนกับตาบ้านั่นสักคืนคงไม่เหนื่อยเท่านี้
คิก! คิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากพักได้เต็มอิ่ม เกาชิงหรูก็ตื่นขึ้นมาทำกับข้ากับปลาทานเอง เพราะกว่านางจะตื่นก็สายมากแล้วและไม่อยากไปขอข้าวที่โรงครัวกินราวกับขอทาน เมื่อมีเงินพอจะซื้อกินเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องง้อ
“พระชายา มาหาท่านอ๋องหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“...” เกาชิงหรูเพียงพยักหน้าตอบรับ แม้ขันทีหูตู๋จะตงิดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เดินเข้าไปรายงานเรื่องนี้กับนายเหนือหัว ไม่นานนักขันทีเฒ่าก็เดินกลับมา
“ท่านอ๋องอยู่ในห้องอักษร เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
เกาชิงหรูพยักหน้าตอบรับและเดินตามเข้าไปในเรือน ขันทีหูตู๋ส่งแค่หน้าห้อง ก่อนจะถอยกลับไป ชิงหรูจึงต้องเคาะประตูแล้วเดินเข้าไปด้วยตัวเอง
ตุบ! ถุงเงินวางต่อหน้าคนที่กำลังเขียนอักษรอยู่
“...”
“อันใดของเจ้า” เฉิงจื่อหานเงยหน้ามองชายาชังที่ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปนาน
“...” มือเล็กชี้ไปที่ถุงเงิน พร้อมกับทำท่าให้อีกฝ่ายเปิดดู
“เป็นใบ้หรือไร”
“ข้าหามาคืนให้แล้ว ไม่ขาดไม่เกิน” เสียงแหบแห้งว่าออกมา แล้วสะบัดผมกลับทันที
ในเมื่อเงินก็คืนแล้วเหตุใดนางจะต้องอยู่อีก เห็นหน้าแล้วอยากทุบให้หายหมั่นไส้ หงุดหงิดๆ เห็นทีวันนี้คงต้องออกไปเที่ยวให้สบายอารมณ์
“ขันทีหู ข้าจะออกไปตลาดนะ”
“เสียงพระชายา?” ขันทีหูเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“ไม่ต้องสนใจข้า”
“เอ่อ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปแจ้งท่านอ๋อง”
“ไม่ต้องๆ ข้าแจ้งท่านอ๋องแล้ว เขาให้ข้าไป แล้วให้ไปคนเดียวด้วย”
“แต่-”
“ไม่ต้องห่วง ข้าปิดหน้า ไม่มีใครจำข้าได้” พูดเพียงเท่านั้น เกาชิงหรูก็ไม่รอฟังขันทีเฒ่า รีบสาวเท้าออกจากเรือนตะวันออกทันที กลัวว่าความจะแตก
ใช้เวลาไม่นานนักชิงหรูก็เดินมาถึงตลาด ก่อนจะจ้างรถม้าไปเที่ยวทะเลสาบที่เคยได้ยินว่าสวยงามมาก นางเตรียมขนมและหนังสือนิยายประโลมโลกมาด้วยหนึ่งเล่ม กะว่าจะนั่งปิกนิกเสียหน่อย คึๆ
ใช้เวลาไม่นานนัก ก็เดินทางมาถึงทะเลสาบ ที่นี่มีผู้คนมาเที่ยวกันอยู่พอควร แต่ชิงหรูก็เลือกหาที่หลบมุมมาปูผ้าและนอนเล่นอ่านหนังสือไปพลาง หยิบขนมทานไปพลาง
เสียงหัวเราะดังขึ้นเนืองๆ พร้อมกับรอยยิ้ม ขณะที่ตาก็ไล่เรียงอ่านตัวอักษร ที่บอกเล่าเรื่องราวแสนสนุก ทว่าความสุขสงบเหล่าก็มลายหายไป เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาทักทาย
“พี่สะใภ้? ใช่ท่านจริงๆ”
“อะ องค์ชายรอง” ร่างเล็กเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ยังไม่ทันได้ยืนคำนับก็ถูกอีกฝ่ายห้ามไว้เสียก่อน
“ท่านตามสบายเถิด มิต้องมากพิธี ข้าเพียงมาเที่ยวเล่น มิได้มีขันทีกำนัลมาด้วย”
“มากับพระชายาหรือเพคะ” ใบหน้างามชะโงกดูรอบๆ แต่ก็ไม่พบนางเอกของเรื่อง
“มิได้ ข้ามาคนเดียว...แล้วท่านเล่า พี่ใหญ่ไม่ได้มาด้วยหรือ”
“หม่อมฉันมาพักผ่อนคนเดียวเพคะ”
“เช่นนั้นหากข้าจะขอนั่งด้วย...”
“เชิญๆ เพคะ” ร่างเล็กขยับให้อีกฝ่ายได้นั่ง อ่า...สถานการณ์ตอนนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมแหะ
“เรื่องวันนั้น พี่ใหญ่ได้ทำร้ายท่านหรือไม่”
“ไม่เพคะ”
“ท่านบอกข้าตามตรงเถิด ถ้าพี่ใหญ่ทำร้ายท่าน ข้าจะไปบอกเขาว่าคืนนั้นมิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น...ข้ารู้ดีว่าพี่ชายของข้าเป็นอย่างไร เขาเอาแต่ใจ ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ต้องชนะข้า โดยไม่เลือกวิธี”
“...” เกาชิงหรูนิ่งเงียบ ทว่าคิ้วสวยกลับขยับเข้าหากันเรื่อยๆ เฉิงเยว่เทียนมีมุมนี้ด้วยหรือ คำพูดตำหนิพี่ชายเช่นนี้ ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากพระเอกของเรื่อง
“เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก มาหนักข้อขึ้นก็ตอนที่ข้าแต่งกับหลี่เอ๋อร์ คืนวันนั้นเขาคงไม่อยากให้ข้าอยู่ใกล้ท่าน”
“รู้อยู่แล้ว...แต่ยังนัดกันมาที่นี่น่ะหรือ!”