ต่อให้คุณถือสัญชาติอื่นก็เถอะ ฉันไม่สนหรอก”
จบคำของเธอเสียงผิวปากก็ดังขึ้นรอบโต๊ะทันที แล้วเสียงจากคนที่ไม่ได้มองมาที่เธอเลยก็เอ่ยถามขึ้น
“เฟมินิสต์?”
ธาราทิพย์มองจ้องหน้าเขาแล้วเอ่ยตอบกลับไป “ใช่หรือไม่ใช่ ก็คงไม่มีใครเห็นด้วยกับการเอาคนมากักขังแบบนี้หรอกนะคุณ”
“ผมไม่ได้กักขังคุณ แค่อยากขอความร่วมมือให้ช่วยอยู่ที่นี่ไปสักพักก่อน จนกว่า…”
“จนกว่าจะพ้นวันที่สิบสี่เดือนหน้านี้ แบบนั้นใช่ไหม เวรเถอะ แบบนั้นเรียกว่ากักขังหน่วงเหนี่ยวค่ะ” ธาราทิพย์ระบายอารมณ์ทั้งยังสบถอย่างหมดความอดทนอดกลั้นในที่สุด คนที่เหลือได้แต่มองตามทั้งสองที่ส่งเสียงเถียงกันไปมาอย่างรอลุ้นว่าใครจะคว่ำใครลงได้ก่อนกัน
“ถ้ากักขัง เราคงไม่ให้คุณเดินลอยชายออกมากินข้าวที่ข้างนอกนี่หรอก”
“โอ้โห เป็นพระคุณมาก ๆ เลย” ธาราทิพย์ตบอกพร้อมพนมมือยกไหว้อย่างประชดประชัน จนสุดท้ายก็มีคนทนไม่ไหวร้องห้ามขึ้นก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายมากไปกว่านี้
“หยุดเถียงกันเถอะน่าร็อก”
“อ้อ ชื่อร็อก” เธอย้ำชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงจงใจก่อกวนอารมณ์ ที่เชื่อมั่นในตัวเองเสมอมาว่าเธอยืนหนึ่งในเรื่องทำให้คนหมั่นไส้และอารมณ์เสียได้ง่าย ๆ แล้วยืดหลังตั้งตรงพร้อมเอ่ยปากแนะนำตัวเองออกไปบ้าง
“ฉัน…”
แล้วชายที่ชื่อร็อกก็เอ่ยชื่อของเธอขึ้นมา “ธาราทิพย์ อมรเลิศไพศาลรัตนะนิรันดร์กาลสกุล”
“คุณรู้จักฉันได้ยังไง”
ธาราทิพย์ถามด้วยอาการตกใจที่ผู้ชายหน้าฝรั่งตาสีฟ้าอมเทาพูดชื่อและนามสกุลของเธอได้ชัด โดยเฉพาะนามสกุลที่เธอเพิ่งไปเปลี่ยนมา มันยาวขนาดนั้น เขาจำมันได้อย่างไร เธอเองยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ร็อกยักไหล่ ไม่ตอบอะไรให้มากไปกว่านั้นอีก แล้วผายมือให้เธอนั่งลง ธาราทิพย์มองไปยังเก้าอี้ว่างตัวที่อยู่ระหว่างชายแปลกหน้าทั้งสองแล้วลังเลว่าจะเอาอย่างไรดี ก็พอดีชายหนุ่มต่างชาติโพล่งขึ้นบ้าง อย่างต้องการแนะนำตัวเขาเอง
“สตีฟ”
ชายผู้รอคอยมานานถูมือก่อนยื่นออกคล้ายอยากทำความรู้จักกับเธอเต็มที ธาราทิพย์เลยยื่นมือออกไปสัมผัสอย่างพอรู้มารยาททางสากลดีพร้อมตอบรับ “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะสตีฟ”
อีกคนบนโต๊ะอาหารแนะนำตัวเองบ้าง และเธอก็คุ้นหน้าเขาอย่างบอกไม่ถูกแต่ไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ผมเจมี่นะ ส่วนนี่เดเนียลกับไมค์”
“ผมฮอลล์” ชายที่ดูคล้ายจะสัญชาติเดียวกับเธอแนะนำตัวเอง ธาราทิพย์ยิ้มรับและถามกลับด้วยสีหน้างุนงง “คุณทุกคนตรงนี้ก็ถูกลักพาตัว ถูกกักอิสรภาพเหมือนฉัน อย่างนั้นหรือคะ”
“เปล่าหรอกครับ พวกเรากับร็อกสนิทกันน่ะ”
สตีฟเป็นคนตอบ เธอได้ยินว่าทั้งหมดคือพรรคพวกเดียวกันกับนายฝรั่งที่ถอดร่างนายหัวออกมาแทบไม่ผิดเพี้ยน ก็กดมุมปากลงอย่างหมิ่นแคลน ตอบกลับไปว่า “ถ้าเป็นฉันนะ ฉันไม่คิดสั้นแบบคุณหรอกนะ นี่เปลี่ยนใจได้นะ เพื่อนสนิทน่ะไม่ต้องรีบมีก็ได้ แฟนก็เหมือนกันไม่จำเป็นก็ไม่ควรต้องมี”
สตีฟขำก๊ากในทันทีแล้วทำท่าทรงภูมิบอกสำนวนสุภาษิตไทยไปว่า “แบบเพื่อนเราเผาเรือนใช่ไหมครับ”
“เกี่ยวอะไรกับเพื่อนเราเผาเรือนวะตีฟ”
“ก็มันมีคำว่าเพื่อน ๆ เหมือนกันกูเลยคิดว่าน่าจะเข้ากันได้”
“มึงไม่ได้แตกฉานภาษา วัฒนธรรมของไทยขนาดนั้น มึงไม่ต้องพยายามหรอกตีฟ” ฮอลล์เหน็บเพื่อนอย่างเอือม ๆ สตีฟหน้าเหยเกเมื่อถูกบ่นก่อนหุบปากฉับลง
ธาราทิพย์ได้ยินสุภาษิตนั้นแล้วก็อดปวดใจนิด ๆ ไม่ได้ เพราะมันน่าจะเข้ากับชีวิตของเธอช่วงนี้มากกว่า
ส่วนร็อกก็กำลังคิดว่าการที่ใครสักคนหรือหลาย ๆ คนจะเข้ามาสนิทสนมกับเขามันคือการคิดสั้นอย่างนั้นหรือ แล้วมองนิ่งที่หญิงสาวคนเดียวกลางวงล้อมของพวกเขา
เจ้าหล่อนฟุบหน้าหมดสติเนื่องจากถูกคนที่รับหน้าที่เฝ้าบาร์เหล้าหยอดยานอนหลับ ส่วนเขาแพ้พนันสตีฟเลยรับหน้าที่อุ้มเจ้าหล่อนกลับมาที่บ้าน เพราะต้องการกักตัวไว้ไม่ให้เข้าร่วมพิธีแต่งงานที่จะจัดวันที่สิบสี่เดือนหน้านี้
หากว่าเธอไม่แสบ เธอไม่ใช่ตัวปัญหา แล้วจะถูกคนสั่งการให้ทำแบบนี้ไปทำไม คิดได้อย่างนั้นแล้วก็เลิกคิ้วก่อนลุกออกจากโต๊ะไปก่อนเป็นคนแรกโดยไม่แตะอาหารเช้าแม้แต่คำเดียว
“หาอะไรหรือครับเฌอรี่”
เพื่อนชายที่นอนกกกันมาทั้งคืนเอ่ยถามเฌอเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินรื้อค้นไปตามรีสอร์ต เดี๋ยวเปิดถังขยะ เดี๋ยวเปิดดูรถที่ขนของในรีสอร์ตของพนักงานที่ผ่านหน้าห้องไป ทำอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ตื่นขึ้นมาแล้วด้วย ไม่รู้ว่าอะไรที่หาย
เฌอพ่นลมหายใจออกจมูกแรง ๆ นึกเกลียดชื่อเฌอรี่ที่อีกฝ่ายเรียก แล้วตอบคำถามของเพื่อนชายไปว่า “เพื่อนเฌอน่ะสิ เพื่อนหาย หายไปไหนก็ไม่รู้ นังธารา ธารา”
เฌอบ่นไปแล้วก็ร้องเรียกหาแล้วก็บ่นต่อจากนั้น “ตายแล้วนังธาราหายไปไหนของมันเนี่ย เมื่อคืนก็มัวแต่เอาจนหลับ อุ๊ย ว้าย เมาหลับไป ไม่ได้ดูเพื่อนดูเชื้อเลย นังธารา ฮือ ไม่ใช่คิดสั้นตกน้ำตกท่าไปแล้วนะ”
เฌอโวยวายอยู่หน้าห้องพัก และตอนนั้นเองที่มีชายร่างกายหนาล่ำพอฟัดพอเหวี่ยงกับคู่ขาของเฌอเดินเข้ามาหาด้วยอาการนอบน้อม ถามเสียงสุภาพ
“ใช่คุณผู้หญิงคนเมื่อคืนที่ใส่เดรสลายดอกไม้ใช่ไหมครับ”
เฌอได้ยินก็นึกครู่เดียวแล้วพยักหน้าตอบรับ “ใช่ ๆ นั่นล่ะครับ”
“คุณผู้หญิงฝากกุญแจรถให้เพื่อนที่สนิทที่สุดน่ะครับ เห็นบอกว่าชื่อ...”
“ฉันเอง เฌอเองนี่แหละ เพื่อนซี้ของยายธารา เอามานี่ได้เลยครับ” เฌอรับของไปแล้วก็เปิดออกพบว่าของอยู่ครบถ้วนดีทุกชิ้น “แล้วแม่นั่นได้บอกไว้ไหมคะว่าจะไปไหน”
“เห็นนั่งเรือข้ามฟากไปที่เกาะนู้นแล้วครับ” คนนำข่าวมาบอกพร้อมหันไปมองยังจุดเล็ก ๆ ดำ ๆ ตรงขอบของท้องทะเลเบื้องหน้า เฌอมองตามนิ้วของอีกฝ่ายแล้วถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ตรงนั้นเลยหรือครับ”
“ครับ”