CHAPTER 2
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
จริงอยู่ที่ว่าใบหน้าที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ก็อาศัยใบหน้าอย่างเดียวไม่ได้หรือเปล่า หากได้แต่งหน้าสักนิด แต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ สักหน่อยก็จะยิ่งเสริมให้ดูสวยขึ้นเป็นกอง เชื่อฉันสิ!
ฉันเข้ามาที่ร้านเชอซีน่าซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าแบรนด์โปรดของฉันเอง ราคาจับต้องได้ คุณภาพของเนื้อผ้าก็ดี การตัดเย็บก็เนี้ยบทีเดียว อีกทั้งแบบเสื้อผ้ายังซ่อนความเซ็กซี่เอาไว้ ซึ่งเป็นสไตล์การแต่งตัวของฉันเลยล่ะ
“สวัสดีค่าน้องมะปราง วันนี้อยากได้แบบไหนคะ” พนักงานของร้านเดินเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม มาบ่อยจนพี่ ๆ เขาจำฉันได้แล้ว และพูดคุยกันอย่างสนิทสนมด้วย
“วันศุกร์หน้าปรางมีนัดเลี้ยงสายรหัสที่ผับค่ะ ปรางอยากได้แซ่บ ๆ” ฉันหัวเราะเบา ๆ
“งั้นมาทางนี้เลยค่ะ”
ฉันเดินตามพี่พนักงานไปทางโซนด้านขวาของร้าน แบบชุดเยอะแยะมากมายที่แขวนเรียงรายกันให้เลือก ฉันเลื่อนไม้แขวนดูทีละชุด แต่ยังตัดสินใจไม่ได้จึงหันไปหาอีกราวแทน
“ไปงานกลางคืนแบบนี้เลือกเป็นโทนสีแดงดีไหมคะ มีกลิตเตอร์ในชุดเล่นไฟดีด้วยนะคะ” พนักงานช่วยแนะนำและหยิบชุดโทนสีแดงมาให้ดู
แววตาของฉันเป็นประกายด้วยความชื่นชอบ ยืนเลือกอยู่ตั้งนานทำไมไม่เห็นกันนะ ฉันรับชุดในมือมาลองทาบกับตัวแล้วส่องกระจกของร้าน
“ชุดนี้ขลับผิวด้วยนะคะ”
ฉันเห็นด้วย แม้ดีเทลของชุดจะไม่มากแต่ก็แฝงความเซ็กซี่ได้ดีทีเดียว ฉันว่าก็สวยเก๋แต่ก็ดูไม่เวอร์ดีด้วย
“ปรางเอาชุดนี้ค่ะ”
ฉันได้ชุดของตัวเองแล้วก็ไม่ลืมที่จะเลือกไปเผื่อเพื่อนรักของฉันด้วย รายนั้นน่ะไม่ค่อยแต่งตัวสักเท่าไหร่ ฉันเห็นว่าไปงานแบบนี้ทั้งทีก็ไม่อยากให้เพื่อนจม เลยช่วยเลือกมาอีกชุดแต่เป็นสีดำและเป็นเพียงเดรสที่มีสายคล้องคอซึ่งไม่ได้เซ็กซี่มากนัก เนื่องจากตันหยงไม่ชอบแต่งตัวเท่าไหร่ แค่ชุดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะยอมใส่ง่าย ๆ หรือเปล่า
ได้ชุดมาแล้วฉันก็ว่าจะซื้อข้าวกลับไปกินมื้อเย็นที่คอนโด เดินอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงร้านแล้วเลยก้มหยิบกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋า แต่นั่นก็ทำให้ไม่ได้มองทางและเดินชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง
ปึก!
อู้ยยยย ฉันลูบจมูกตัวเอง ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บ คนอะไรตัวแน่นขนาดนั้น
“ขอโทษครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลดังขึ้นมา
ฉันเลื่อนสายตาขึ้นมองเจ้าของเรือนร่างแน่นหนั่นของอีกฝ่าย ราวกับถูกสะกดให้หยุดนิ่ง และมองเขาตาค้างอยู่อย่างนั้น
“พอดีผมมัวแต่มองหาแม่ไม่ทันได้มองทาง ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ”
หล่อ หล่อมาก ดูดีมาก แถมยังมาเดินห้างกับแม่ อบอุ่นจังเลย…ฉันเพ้อฝันในห้วงความคิด ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ เรียกสติกลับคืนแล้วระบายยิ้มให้เขา
“ฉันก็มัวแต่ก้มหยิบเงิน ไม่ได้มองทางเหมือนกันค่ะ ขอโทษนะคะ” ฉันก้มศีรษะแล้วจะรีบเดินออกไป เพราะไม่กล้ายืนสบตากับเขานาน ๆ
คนอะไรมีเสน่ห์ชะมัด!
เขาดูโตกว่าฉันหลายปี ท่าทางสุขุมมาดนักธุรกิจดูดีมาก ๆ เลยล่ะ ฉันค้นพบสเปกของตัวเองเจอแล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่ทำให้ฉันรู้สึกใจสั่นได้แบบนี้เลย
แต่แม้ว่าจะถูกใจตัวเองมากแค่ไหนก็ต้องเก็บอาการไว้แล้วทำลายจินตนาการในหัวทิ้ง
เพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ดูดีขนาดนั้นยังไงก็ต้องมีแฟน
ฉันสะบัดศีรษะไล่ความคิดแล้วเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านสุกี้ชื่อดัง สั่งข้าวหน้าเป็ดมาหนึ่งกล่องระหว่างที่รอก็ไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าร้าน
“ว้ายคุณป้า” ฉันทิ้งถุงเสื้อผ้าในมือลงแล้วรีบประคองหญิงวัยกลางคนที่กำลังจะล้มลงตรงหน้า
“เป็นอะไรหรือเปล่าแม่” ผู้ชายคนนั้นวิ่งเข้ามา ฉันมองด้วยความตะลึงงันไม่คิดว่าจะบังเอิญได้ถึงขนาดนี้
“อยู่ ๆ แม่ก็เวียนหัวขึ้นมาเลยเซ”
“งั้นแม่นั่งพักก่อน” เขาประคองแม่ของเขามานั่งที่เก้าอี้หน้าร้าน ก่อนจะหันไปหาพนักงาน “ขอนั่งหน่อยนะครับ”
“ได้ค่ะ” พนักงานเองก็มีสีหน้าเป็นห่วงเพราะเธอก็เห็นว่าคุณป้าคนนี้มีอาการคล้ายจะเป็นลม
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยแม่ผมไว้” เขาหันมายิ้มให้ฉัน รอยยิ้มบาง ๆ แต่ทำใจสั่นได้เลยล่ะ
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ข้าวหน้าเป็ดได้แล้วค่า” ฉันรับถุงข้าวหน้าเป็ดมาแล้วหันไปก้มศีรษะให้กับสองแม่ลูกเป็นการบอกลา
“ขอบใจมากนะหนูที่ช่วยป้าไว้” คุณป้าระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน ท่านคว้ามือฉันไปจับไว้แล้วลูบหลังมืออย่างแผ่วเบา
“ค่ะคุณป้า หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“จ้ะ” คุณป้าจะปล่อยมือออกแต่กลับกลายเป็นว่ากระชับมือฉันไว้แทน “ว่าแต่กลับยังไง กลับกับป้าไหมเดี๋ยวป้าไปส่ง”
“หนูขับรถมาค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” แอบเสียดายที่ไม่ได้ไปกับพวกเขา หรือว่าฉันจะโกหกว่ารถเสียดีล่ะ?
ก็ได้แต่คิดขบขันอยู่คนเดียวในใจไม่ได้จะทำจริงหรอก
ฉันระบายยิ้มให้ทั้งสองแล้วเดินไปแวะซื้อขนมเค้กมาไว้กินเล่นระหว่างดูซีรีส์ในค่ำคืนนี้ ก่อนจะเดินออกมาที่ลานจอดรถแล้วขับกลับคอนโด