หลังจากถูกเคี่ยวกรำเกือบทั้งคืนจนแทบสลบไสล ลู่เหมยก็หลับลึกคล้ายสิ้นสติไปในอ้อมอกแข็งแรง
ฝ่ายเฟิงอี้ที่นอนแผ่ตัวเปลือยปล่อยกายเป็นหมอนให้ใครบางคนหนุนนอนจะได้หลับสบาย
เนิ่นนานแล้วก็เพียงลอบถอนหายใจเอือมระอา
หากลู่เหมยตื่นขึ้นมาก็คงกลายร่างเป็นนางมารอีก ปล่อยให้หลับไปเช่นนี้แหละจึงจะดี
จู่ๆ ภาพในห้วงฝันก็ผุดวาบ เฟิงอี้ยังจดจำฝันนั้นได้ ในห้วงฝัน ปรากฏภาพตนเองถูกเหยียบอยู่ใต้ร่างสตรีผู้หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นแม่นางน้อยรูปร่างอ้อนแอ้น แต่ดวงตากลับคมกริบฉายแววเฉลียวฉลาด วาจาแหลมคมยิ่งกว่าหอกดาบกำลังกำราบเขาไว้ได้ชะงัดด้วยคำสั่งสอน
และใช่! นางในฝันคือลู่เหมย
นางตามติดเขาทุกฝีก้าวกระทั่งในฝัน
นึกถึงตนเองที่น่าเกรงขามปานนี้ แต่ต้องกลายเป็นลูกศิษย์ของภรรยา ต้องยอมให้นางสั่งสอนเขียนอ่านเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆ ก็ให้รู้สึกชิงชังทบทวี
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเริ่มเคร่งเครียดหนักกว่าเก่า
เฟิงอี้นอนขบคิดสารพัดวิธีให้ตนเองได้รับอิสระ ปลดแอกจากภรรยาผู้ทำตัวเหมือนมารดาคนที่สองของตน
เพื่อทำให้พ้นจากอำนาจการกดขี่จากสตรีผู้ร้ายกาจ ชายหนุ่มอดทนนอนนิ่งๆ จนแขนข้างหนึ่งปวดร้าวไปหมด ตาคมเหลือบมองที่แขนข้างนั้น เห็นนางยังหลับอยู่ก็เบาใจ อย่างน้อยนางก็มิได้ลุกขึ้นมาไล่ตีเขาเหมือนในความฝัน
เฟิงอี้นอนครุ่นคิดต่อไป ควรทำอย่างไรลู่เหมยจึงจะหันเหความสนใจที่ตนทั้งหมดไปที่คนอื่น ทำอย่างไรนางถึงจะสนใจอย่างอื่นมากกว่าเขา
คิดไปคิดมา ท้ายที่สุดก็คิดได้วิธีหนึ่ง
นั่นก็คือยัดเด็กสักคนใส่ท้องนางซะ!
มุมปากบุรุษค่อยๆ ยกโค้ง เกิดเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาลุ่มลึกทอประกายร้ายกาจ
พอนางท้องก็จะไม่กล้าโวยวาย ไม่กล้าขยับเขยื้อนตามก่อกวนเขา เท่านี้เขาก็จะเป็นอิสระ!
แผนการเริ่มต้น ฝ่ามือร้อนผ่าวเริ่มซุกซนเอาแต่ใจ ลูบไล้ไปมาบนหน้าท้องแบนราบอย่างหมายมาด
“เหมยเอ๋อร์...”
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจกรุ่นร้อนใส่ริมหูขาวอมชมพู ปลุกเจ้าของร่างงามให้ตื่นลืมตาด้วยเรียวนิ้วรุกล้ำ
ครั้นลู่เหมยค่อยๆ สะลึมสะลือตื่นขึ้นมาทว่าเปลือกตาเพียงเปิดปรือยังไม่ทันคืนสติดีก็รู้สึกเพียงแผ่นฟ้าที่พลิกตลบ เรียวขาถูกยกขึ้นพาดบ่ากว้าง
“อ๊ะ! อาอี้...”
“ขึ้นมาร่วมรักกัน ข้าจะมอบของขวัญล้ำค่าให้เจ้า”
เฟิงอี้กระซิบกระซาบเสียงทุ้มพร่าขณะฝ่ามือไล้วนตรงหน้าท้องเรียบเนียน
นิ้วแกร่งขยับเชื่องช้า ทว่าสลับหนักเบาแบบเน้นๆ
“เอากี่คนดี”
เรียวนิ้วกล้ำกลายคล้ายปูไต่ลงไปที่กลีบบุปผาชุ่มฉ่ำ แหย่เข้าสุดแล้วดึงออกซ้ำๆ เน้นย้ำที่ยอดเนื้อคลึงวนหนักๆ จนได้ยินเสียงชื้นแฉะอันน่าอาย
ไม่นาน ลู่เหมยก็เริ่มบิดตัวอย่างเสียวซ่าน แต่ปากยังร้องห้าม “ไม่เอา พอแล้ว อย่าเข้ามา หยุดนะ”
เฟิงอี้ไหนเลยจะฟังคำนาง นิ้วกลางยังคงขยับลึกล้ำใส่ช่องทางคับแคบที่ยามนี้อุ่นชื้นรัดรึง “เจ้าร้อนเร็วปานนี้ อย่าเข้าหรืออย่าหยุดกันแน่”
พูดจบก็จับขานางที่พาดบ่าลงประคองด้วยแขนกำยำ ส่งสะโพกเข้ากลางหว่างขา ค่อยๆ สอดใส่ตัวตนแข็งขึงเข้ามา พลางก้มหน้าลงกดจูบกลีบปากที่บังอาจสั่งการให้เขาหยุด
“อื้อ...”
ลู่เหมยพูดสิ่งใดไม่ออก ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจถี่รัว รู้สึกถึงส่วนกลางกายที่เสียวซ่านกะทันหัน ยามชายเหนือร่างขยับเข้าขยับออกเนิบนาบ เอวคอดก็เริ่มขยับตาม
“อ่ะ อาอี้”
บุรุษก้มหน้าขบเม้มซอกคอหอม “หืม...”
ลู่เหมยเบี่ยงหน้าเม้มปากแน่นอย่างต้องการต่อต้าน กระทั่งอีกฝ่ายเคลื่อนไหวเร็วขึ้นดังใจ นางก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีก เพียงแหงนหน้าพริ้มตาครวญครางเสียงหวิว
ทว่าในสติที่เริ่มพร่าเลือนอีกครา นางคล้ายได้ยินว่าอะไรนะ เฟิงอี้จะมอบบุตรให้กระนั้นหรือ?
ดังนั้น พอริมฝีปากได้รับอิสระ ขณะที่เฟิงอี้กำลังเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ นางจึงกัดฟันสะกดกลั้นความเสียวสยิว เค้นวาจาทีละคำ
“ข...ข้า อื้อ...ย...ยังไม่อยากมีลูก”
ตราบใดที่สามียังไม่ได้ความ เขาย่อมไม่คู่ควรเป็นบิดา เด็กน้อยที่ต้องเกิดมาจะได้ไม่น้อยเนื้อต่ำใจที่มีบิดาทำตัวไร้ค่าน่าอับอาย นางอาจชอบเขาอย่างไร้เหตุผลแต่คนเป็นบุตรธิดาจะยัดเยียดความรักเชิดชูโดยปราศจากเหตุผลน่าเชื่อถือไม่ได้
ความคิดของภรรยา เฟิงอี้มีหรือไม่ล่วงรู้เท่าทัน แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ตัวว่าตนเองเป็นบุรุษเช่นใด เขากับนางต่อกรกันตั้งแต่เด็กมีหรือไม่กระจ่างแจ้งถึงจิตใจอันซับซ้อนนั่น
ชายหนุ่มเงยหน้าจากยอดถันสีชมพูชูชัน เอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องนี้เจ้าชนะข้าไม่ได้หรอก” กล่าวจบก็ก้มหน้าจัดการกับเนินอกอิ่มนุ่มที่แสนนุ่มหวานต่อ ยกเอวสอบขึ้นสุดกดลงสุด ขยับลึกล้ำจนไม่อาจมีสิ่งใดมาหยุดจังหวะวาบหวามชนิดนี้ได้
มาดูกันว่าน้ำพิสุทธิ์ของข้ากับยาห้ามครรภ์ของเจ้า ใครจะแน่กว่ากัน
หากมีบุตรถือกำเนิดเกิดมา เขานี่แหละจะเป็นบิดาที่ดี เป็นผู้นำสูงสุดของบ้าน ส่วนนางผู้เป็นภรรยาย่อมต้องหันเหความสนใจใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเคี่ยวเข็ญสอนสั่งบุตรธิดา หาใช่เขาไม่
หลังจากวันที่ตั้งปณิธาน สามีจึงเปิดศึกกับภรรยาอย่างดุเดือดเลือดพล่านมากกว่าเดิม
ฤดูหนาวที่อากาศเย็นเยียบ แต่เตียงตั่งในห้องหับกลับอุ่นชื้นร้อนระอุแทบมอดไหม้
เสียงครางเบาๆ ปนเสียงหอบหนักๆ ดังอยู่เป็นนาน ไม่เว้นสักราตรี
มีเพียงแค่ช่วงระดูของลู่เหมยมาเยือนเดือนละครา นางถึงได้สงบศึกจากสามีผู้หื่นกระหาย ได้พักร่างกายบ้าง
และเมื่อภรรยามีระดูมาตามปกติในรอบเดือน สามีอย่างเฟิงอี้ก็ให้รู้สึกพ่ายแพ้ยิ่งนัก
“ข้าขอพักผ่อนร่างกายด้วยแล้วกัน”
ได้ยินดังนั้นลู่เหมยก็กระหยิ่มยิ้มย่อง
น้ำแกงห้ามครรภ์ของนางแม้เบาบางแต่ได้ผลชะงัด ทำใครบางคนเริ่มท้อแล้วกระมัง
“ดีมากเจ้าค่ะ ท่านพี่ไม่ควรหักโหมเกินไป”
ทว่าไม่นานกลับเห็นเฟิงอี้หิ้วตะพาบ[1]เข้าเรือนมา สั่งคนนำไปตุ๋นทำน้ำแกงหม้อใหญ่
“...”
ศึกสามีภรรยา ช่างยาวนานเกินห้ามใจ
[1]“ตะพาบ” เป็นหนึ่งในอาหารยอดฮิตบนโต๊ะอาหารจีน เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่า เมื่อนำเนื้อและกระดองมาต้มเป็นซุปแล้ว จะมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลังและสมรรถภาพทางเพศได้