รถม้าคันหรูประทับตราจวนอ๋องมุ่งหน้าไปยังสกุลลู่ เยว่ชิงที่ถูกหลิวหยางพาขึ้นรถม้ามาก็มีสีหน้าสลดไม่น้อย ภายในรถม้าเงียบสงัดมิมีเสียงพูดคุยของผู้ใด จนเยว่ชิงมิอาจทนกับบรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ได้ นางจึงขยับกายหมายจะออกไปนั่งส่วนนอกของรถม้ากับเผิงจู แต่ยังมิทันได้ลุกจากที่นั่ง…
“นั่งลง…ข้าเตือนเจ้ากี่ครั้งแล้วลู่เยว่ชิง เหตุใดจึงไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นกับอู๋จางหมิ่นตามลำพัง” หลิวหยางที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง เขาเคยพูดเตือนนางหลายต่อหลายครั้งเกี่ยวกับการปฏิบัติตน แต่นางมิเคยจดจำเลยแม้แต่น้อย และวันนี้ยังไปอยู่ตามลำพังกับอู๋จางหมิ่นในที่ลับตาคน ทั้งร้านแห่งนั้นยังเป็นสถานที่ที่ทำสิ่งผิดกฎบ้านเมืองมากมาย หากว่าทางการเข้าล้อมจับวันนี้ นางคงมิอาจรอดพ้นคำนินทาของผู้คนไปได้
“หม่อมฉันมิได้ตั้งใจไปอยู่กับรองแม่ทัพอู๋เพียงลำพังนะเพคะ เพียงคะ-”
“เจ้าจะว่าเพียงบังเอิญพบกันงั้นหรือ แล้วผู้ใดจะเชื่อเจ้า อยู่กันลำพังสองคนในที่เช่นนั้น ผู้คนคงคิดว่าพวกเจ้านัดพบกันเป็นแน่!” หลิวหยางเอ่ยแทรกคำแก้ตัวของเยว่ชิงขึ้นมาทันที หากผู้ที่พบเห็นมิใช่เขา ป่านนี้เยว่ชิงคงเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว
“แต่หม่อมฉันมิได้นัดพบกับรองแม่ทัพอู๋จริงๆ นะเพคะ จะให้เอ่ยกี่ครั้งหม่อมฉันก็ยืนยันเช่นเดิม หากท่านอ๋องมิเชื่อหม่อมฉันก็เอ่ยถามกับเสี่ยวจูได้” เยว่ชิงพยายามอย่างหนักที่จะเอ่ยอธิบายความจริงให้กระจ่าง แต่หลิวหยางกลับไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อในสิ่งที่นางพูด สายตาคมยังคงมองมาที่นางด้วยแวดตาที่แข็งกร้าว ทั้งยังเอ่ยคำพูดเสียดแทงเยว่ชิงจนเจ็บแสบ
“เฮ้อ ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้งในฐานะพี่ชายที่เอ็นดูเจ้าดั่งน้องสาว อู๋จางหมิ่นเขามีทั้งฮูหยินเอก ฮูหยินรอง แล้วยังมีอนุอีกสอง เจ้าจะไปเป็นอนุคนที่สามของเขาหรือ จะลดค่าของตนเองไปเป็นอนุของชายผู้นั้นหรือ” เยว่ชิงที่ได้ยินคำพูดของหลิวหยางถึงกับสะอึก
อึก! สิ่งที่นางทำมาทั้งหมดไม่มีค่าเลยหรือ ที่นางแก้ไขทุกอย่างมิให้เรื่องเป็นไปตามนิยาย มันไร้ค่าจนนางมิอาจหลุดพ้นจากตำแหน่งอนุของอู๋จางหมิ่นได้เลยอย่างนั้นหรือ
“ข้ามิได้ทำอย่างที่ท่านว่าแม้แต่น้อย” เยว่ชิงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความโกรธา จนมิได้สนใจแม้แต่คำราชาศัพท์ที่ควรใช้พูดกับท่านอ๋อง ตากลมจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าคมของหลิวหยางอย่างไม่หลบสายตา
“จะทำหรือมิทำเจ้าก็ต้องฟังที่ข้าเตือน แม้เจ้าจะลุ่มหลงในรูปโฉมของเขาอย่างไร เจ้าก็ต้องหักห้ามใจ อู๋จางหมิ่นมิได้เหมือนข้า ที่เจ้าบอกว่าชมชอบแล้ว เขาจะปล่อยเจ้าไป เขาย่อม-”
“ท่านคิดว่าข้าลุ่มหลงในรูปโฉมของผู้คนไปทั่วงั้นหรือ จะดูแคลนกันเกินไปแล้ว คิดว่าข้าชมชอบท่านแล้วจะเอ่ยวาจาดูถูกกันอย่างไรก็ได้งั้นหรือ” ตากลมแดงก่ำ เคล้าคลอไปด้วยน้ำสีใส แต่นัยน์ตาคู่นั้นยังจดจ้องไปยังร่างสูงไม่ลดละ คนตัวเล็กพยายามอย่างหนักที่จะหยุดยั้ง มิให้น้ำในตาล่วงหล่นลงมา ยามบุรุษตรงหน้าเอ่ยวาจาดูถูกเหยียดหยามว่านางลุ่มหลงในรูปโฉมผู้อื่นไปทั่ว
เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ใดกันจึงกล้าเอ่ยเช่นนั้น
“ข้าตักเตือนเจ้าอยู่อย่าได้เอ่ยแทรกขึ้นมา ข้าอายุมากกว่าเจ้ากี่หนาว รู้จักเคารพกันเสียบ้าง หรือข้าใจดีกับเจ้ามากเกินไป” หลิวหยางพูดเสียงเบาลง เมื่อรู้สึกว่ารถม้าหยุดนิ่ง คงจะถึงเรือนสกุลลู่แล้ว หากว่าพูดคุยกันเสียงดังแล้วใต้เท้าลู่ได้ยินเข้า มิวายเยว่ชิงจะถูกทำโทษเอาได้ แต่ทว่าเยว่ชิงกลับมิเข้าใจเจตนาของเขาแม้แต่น้อย
“อายุมากกว่าแล้วอย่างไร! ถือสิทธิ์อันใดมาเอ่ยวาจาดูแคลนผู้อื่น ท่านมิยอมฟังเหตุผลของข้าแม้แต่น้อย กลับด่าว่าข้าเป็นหญิงใจง่ายเที่ยวลุ่มหลงรูปโฉมผู้อื่นไปทั่ว ฮึก!” เยว่ชิงยกแขนขึ้นปาดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสาย ตากลมยังคงแข็งกร้าวมิยอมหลบสายตาของหลิวหยางแม้แต่น้อย ในอกถูกอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งโกรธ ผิดหวัง และเสียใจ
“อีกอย่างนะ ฮึก ท่านใจดีกับข้างั้นหรือ…เฮอะ! ไม่เลยสักนิด!” เยว่ชิงเอ่ยเสร็จก็รีบก้าวลงจากรถม้าทันที ปล่อยให้หลิวหยางนิ่งอึ้งกับประโยคที่นางได้ทิ้งท้ายเอาไว้
นี่เขาใจร้ายกับนางอย่างนั้นหรือ
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ…” เมื่อไม่ได้ยินคำสั่งให้เคลื่อนรถม้า ทหารบังคับม้าจึงได้เอ่ยเรียกผู้เป็นนาย
“อืม เยว่ชิงเข้าเรือนไปแล้วหรือยัง”
“คุณหนูลู่และคนสนิทเข้าเรือนไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็กลับจวนเถิด” หลิวหยางทิ้งตัวพิงผนังของรถม้าอย่างหมดเรี่ยวแรง เขามิรู้ว่าความรู้สึกที่หนักอึ้งในใจตอนนี้คือสิ่งใด โกรธ เสียใจ หรือกลัว แต่สิ่งที่เขารู้ตอนนี้คือ…การร้องไห้มิเหมาะกับเยว่ชิงเลยสักนิด
.
.
ผ่านไปกว่าห้าวันแล้วที่หลิวหยางเอาแต่นึกถึงใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเยว่ชิง เขาลองมานั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นดูแล้ว ทุกอย่างเป็นดังที่เด็กสาวว่า เขามิได้เอ่ยถามเหตุผลจากนาง แต่กลับเอ่ยตักเตือนด้วยถ้อยคำรุนแรงเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะมิได้มีเจตนาดูถูกดูแคลนนาง ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นก็แปลความเป็นการดูแคลนอย่างที่เยว่ชิงคิดได้เช่นกัน
“เฮ้อ” หลิวหยางยกมือขึ้นกุมขมับ เขามิมีสมาธิจดจ่อกับม้วนกระดาษตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ความสับสนเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เขาควรไปขอโทษเยว่ชิงดีหรือไม่ หรือจะปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ นางจะได้ตัดใจจากเขาได้เสียที
นั่นสินะ ปล่อยให้นางตัดใจ คงจะเป็นผลดีกับตัวนางมากกว่า
ร่างสูงตัดสินใจดังนั้น จึงเอื้อมมือไปหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาอ่านต่อ แต่หูทั้งสองกลับได้ยินเสียงพูดคุยของขันทีและองครักษ์คนสนิทดังลอดเข้ามาจากด้านนอก
“องครักษ์เฉินกง เหตุใดช่วงนี้คุณหนูลู่มิมาเยี่ยมเยือนที่จวนอ๋องหรือ”
“เยว่ชิงหกล้มขอรับ ศีรษะไปฟาดกับขอบโต๊ะจนเลือดตกยางออก ข้าน้อยจึงรีบมาขออนุญาตท่านอ๋องไปดูอาการนางขอรับ”
“ไอหยา! เช่นนั้นท่านรีบไปเถิด มีสิ่งใดให้ข้าช่วยก็บอกมาได้ ข้าเองก็เอ็นดูคุณหนูลู่ไม่น้อย”
“ขอรับ”
หลิวหยางลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว ในใจนึกตำหนิเยว่ชิงที่มิระมัดระวังตัว จนเกิดอุบัติเหตุเลือดตกยางออกเช่นนี้ ร่างสูงรีบสาวเท้าออกจากห้องตำรา
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม-”
“อืม ไปเถิด หากใช้รถม้าคงมิทันการ ควบม้าไปน่าจะเร็วกว่า” ร่างสูงรีบเดินนำเฉินกงไปที่โรงเลี้ยงม้าในจวนทันที
“เอ่อ คือ…ท่านอ๋องจะไปที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็จะไปหาเยว่- เอ่อ ขะ ข้ามีกิจธุระจะพูดคุยกับใต้เท้าลู่พอดี จึงจะไปกับเจ้าด้วย” หลิวหยางเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ควบม้านำหน้าเฉินกงออกจากจวนทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ (7 นาที) หลิวหยางและเฉินกงก็มาถึงเรือนสกุลลู่ เฉินกงจึงรีบเดินนำท่านอ๋องไปที่ห้องพักของเยว่ชิงก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่หลิวหยางเดินตามหลังเฉินกงเข้ามา ทุกคนถึงกับต้องรีบลุกขึ้นคำนับต่อผู้สูงศักดิ์ เว้นแต่เยว่ชิงที่ทำเพียงปรายตามอง แล้วหันไปออดอ้อนพี่ใหญ่ของตนเท่านั้น
“คารวะท่านอ๋อง”
“มิต้องมากพิธี นั่งลงเถิด” หลิวหยางมองไปที่เยว่ชิง ก็พบว่าบนศีรษะเล็กมีผ้าสีขาวพันรอบ ทั้งบริเวณขมับด้านซ้ายยังมีคราบเลือดซึมติดผ้าสีขาว
คงจะเจ็บมิน้อย เหตุใดจึงมิระวังเอาเสียเลย
“เยว่ชิง เหตุใดมิคารวะท่านอ๋อง เด็กคงนี้ชักจะดื้อรั้นขึ้นทุกวัน” ใต้เท้าลู่เอ่ยตำหนิบุตรสาว เยว่ชิงที่ถูกดุ ประกอบกับยังขุ่นเคืองหลิวหยางอยู่ก็ก้มคารวะอย่างขอไปที
“เจ้าเด็กคนนี้!” ใต้เท้าลู่เอ่ยดุเยว่ชิงเสียงแข็ง
“ช่างเถิด ข้ามิได้ถือสาอันใด…ว่าแต่เกิดสิ่งใดขึ้น เหตุใดจึงได้บาดเจ็บเช่นนี้เล่า” หลิวหยางเอ่ยถามเยว่ชิงเสียงอ่อน ครอบครัวสกุลลู่เมื่อได้ยินน้ำเสียงของท่านอ๋องก็เบาใจลง อย่างน้อยท่านอ๋องก็มิได้ถือโทษเยว่ชิง
ซูเมิ่งเมื่อเห็นว่าบุตรสาวมิยอมเอ่ยตอบท่านอ๋อง นางจึงได้ยกแขนขึ้นสะกิดเบาๆ
“สะดุดล้มเพคะ ตรงนั้น” นิ้วเรียวยื่นออกไปชี้จุดเกิดเหตุให้ท่านอ๋องได้รับรู้ โดยมิได้สบตากับอ๋องหนุ่มเลยสักเสี้ยว
“เจ็บมากหรือไม่”
“ไม่เจ็บแล้ว”
“ท่านหมอได้ตรวจละเอียดแล้วหรือยัง ข้าให้หมอหลวงมาดูให้อีกทีดีหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนปนออดอ้อนของหลิวหยางทำเอาครอบครัวสกุลลูถึงกลับหันมองไปที่เฉินกง ราวกับต้องการคำตอบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับชินอ๋องแห่งแคว้นเฉิงกันแน่
“มิลำบากท่านอ๋องเพคะ ท่านหมอที่จ้างมาตรวจจให้อย่างละเอียดแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ…เฉินกง คืนนี้เจ้าพักที่เรือนเถิด จะได้ดูแลน้องสาวเจ้าด้วย”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หลิวหยางนั่งสนทนากับครอบครัวสกุลลู่พักใหญ่ จึงได้เอ่ยลาเพื่อกลับไปทำงานที่คั่งค้างไว้
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน” หลิวหยางลุกขึ้น ตาคมยังคงติดอยู่กับร่างบางที่เชิดหน้ามองไปทางอื่น
“เอ่อ แล้วเรื่องที่ท่านอ๋องจะปรึกษาท่านพ่อ…”
“ไว้วันหลังเถิด เยว่ชิงคงเสียขวัญไม่น้อย ควรได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว หากวันพรุ่งใต้เท้าลู่จะหยุดพักอยู่กับเยว่ชิงก็ให้คนไปแจ้งที่จวน ข้าจะเอ่ยกับเสนาบดีอู๋เอง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” หลิงหยางมองไปที่เยว่ชิงอีกครั้ง หากเป็นก่อนหน้านี้ นางคงส่งยิ้มหวานพร้อมกับโบกมือลาเขาแล้ว แต่มาบัดนี้ แม้แต่หน้าของเขา นางยังมิอยากมอง
โดนเกลียดเข้าแล้วสินะ ดีแล้วล่ะ…แต่เหตุใดภายในอกของเขาถึงได้หนักอึ้งเช่นนี้เล่า
“เกิดอันใดขึ้นระหว่างเจ้ากับท่านอ๋อง เหตุใดท่านอ๋องจึงดูใส่ใจเจ้าถึงเพียงนั้น” หลังจากที่บิดา มารดา และพี่ใหญ่ออกไปส่งท่านอ๋อง ภายในห้องจึงเหลือเพียงหมิงยู่ ลี่อิน เยว่ชิงและเผิงจูเท่านั้น หมิงยู่จึงใช้โอกาสนี้สืบความจากน้องสาวให้รู้แจ้ง
“เฮอะ! ใส่ใจอันใดกัน เขาคงจะมาเยาะเย้ยข้าเสียมากกว่า” เยว่ชิงเบะปากทำหน้าบึ้งตึง เมื่อนึกถึงคนปากเสียที่ดุด่านาง แม้ในใจลึกๆ จะรับรู้ว่าท่านอ๋องหวังดี แต่มันก็อดน้อยใจมิได้ มีคำพูดมากมายที่สามารถเอ่ยเตือนได้ มิจำเป็นต้องดูถูกเหยียดหยามนางถึงเพียงนั้น ทั้งท่านอ๋องยังมิเอ่ยคำขอโทษให้นางได้ยินสักคำ ดูก็รู้ว่าคงมิได้รู้สึกผิดสักนิด!
“พี่ว่าท่านอ๋องมิได้มาเพื่อเยาะเย้ยเยว่ชิงหรอกนะ เยว่ชิงต่างหากที่ทำตัวไม่น่ารักกับท่านอ๋อง” ลี่อินเอ่นออกมาตามที่เห็น
“จริงดังน้องสามว่า คำก็เยว่ชิง สองคำก็เยว่ชิง น้องข้าคงมิได้ชมชอบท่านอ๋องฝ่ายเดียวแล้วกระมัง” หมิงยู่หรี่ตามองน้องสาวที่บัดนี้ทำหน้ามู่ทู่
“ชมชอบอันใด ข้าจะมิชอบเขาแล้ว นิสัยไม่ดี ปากเสีย อีกอย่าง…พี่รองบอกเองมิใช่หรือว่าข้าควรเจียมตน เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้วข้าเองจะได้มิต้องถลำลึก” เยว่ชิงพูดประโยคสุดท้ายออกมาอย่างแผ่วเบา สีหน้าและแววตาที่ดูหม่นลงของน้องสาวทำให้หมิงยู่นั่งแทบไม่ติด
“ตะ ตอนนั้นข้าพูดให้เจ้าตัดใจ เพราะรู้ว่าอย่างไรก็มิมีหวัง แต่มาวันนี้ ท่าทีของท่านอ๋องทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าอาจจะมีโอกาส”
“ไม่หล่ะ พอๆ หยุดพูดเรื่องนี้เถิด ข้าอยากนอนแล้ว” เยว่ชิงล้มตัวลงนอน หมิงยู่และลี่อินจึงทำได้เพียงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
ผ่านไปหลายวันกว่าที่แผลบนศีรษะของเยว่ชิงจะหายดี แต่นางก็ยังถูกห้ามมิให้ออกจากเรือน เยว่ชิงจึงทำได้เพียงนั่งเล่นกับมูมู่และเผิงจูแก้เหงา เพราะทุกคนต่างออกไปทำงานกันหมดแล้ว พี่ใหญ่เองก็กลับไปพักที่จวนอ๋องแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ เย็นนี้ฮูหยินจะเข้าครัว จึงอยากให้คุณหนูไปช่วยเจ้าค่ะ”
“ไปสิ ข้าเบื่อๆ อยู่พอดี” เยว่ชิงเข้าไปช่วยมารดาเตรียมอาหารมื้อเย็น สองแม่ลูกและบ่าวในเรือนอีกสองสามคนช่วยกันคนละไม้ละมือ ไม่นานอาหารมื้อเย็นก็ถูกจัดวางไว้รอเพียงทุกคนกลับมาทานเท่านั้น ปกติแล้วหมิงยู่และลี่อินจะกลับมาก่อนลู่หวังเหล่ยเสมอ และวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น ซูเมิ่งและบุตรอีกสามคนต่างนั่งรอลู่หวังเหล่ยอยู่ห้องโถง
“ท่านพ่อมาแล้ว วันนี้เยว่ชิงเข้าครัวเอง อาหารจะต้องรสดี ถูกปากท่านแน่” เยว่ชิงเข้าไปกอดแขนบิดาของตนแน่น
“อึก! งะ งั้นหรือ”
“ท่านพ่อเป็นอันใดเจ้าคะ” เยว่ชิงที่เห็นท่าทีแปลกๆ ของบิดา จึงได้มองสำรวจร่างกายบิดาจนพบว่ามือและข้อมือซ้ายของบิดามีรอยช้ำและบวมแดง
“เมื่อเช้าพ่อตรวจดูของในท้องพระคลังหลวง แต่มิทันระวังจึงถูกหีบทับเอา” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยโกหกออกไป เพราะมิอยากให้ภรรยาและบุตรกังวล แท้จริงแล้วเขาถูกเสนาบดีอู๋สั่งลงโทษ ฐานทำหน้าที่ผิดพลาด ทั้งที่เขามั่นใจและได้ตรวจสอบบัญชีสิ่งของถึงสามรอบก่อนที่จะส่ง ก็มิพบสิ่งที่ผิดพลาด แต่เมื่อมาวันนี้เสนาบดีอู๋กลับตรวจพบจุดที่ผิดพลาดถึงสิบจุด
“แล้วท่านพ่อไปพบท่านหมอมาหรือยังขอรับ” ลี่อินเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“พ่อไปมาแล้ว อย่าได้กังวลเลย เราทานมื้อเย็นกันเถิด” ครอบครัวสกุลลู่ต่างนั่งลงทานอาหาร พูดคุยกันเล็กน้อยแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
แต่เยว่ชิงกลับมิอาจข่มตาหลับได้ นางคิดว่าท่านพ่อจะต้องถูกแกล้งมาอีกเป็นแน่ ร่างบางพลิกกายไปมาไม่นาน จึงตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเฉินกง เยว่ชิงลุกขึ้นมาสวมอาภรณ์สีดำที่ใช้ฝึกซ้อมการต่อสู้ รวบผมตึง แล้วจึงหยิบดาบไม้ไผ่ของตนเองติดตัวไปด้วย
ขาเรียวเดินย่องออกมาจากห้อง เพราะกลัวว่าเผิงจูจะตื่น เมื่อออกมาได้แล้วจึงจูงม้าออกจากเรือนและควบม้าตรงที่จวนอ๋องทันที ร่างบางนำม้าไปผูกไว้กับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างจากจวนอ๋องมาเล็กน้อย
นางเคยมาที่จวนอ๋องหลายครั้งจึงรู้การเปลี่ยนเวรยามเป็นอย่างดี ทั้งพี่ฟางเอ๋อร์ยังสอนการเร้นกายให้นาง ทำให้เยว่ชิงแอบเข้ามาในจวนได้อย่างง่ายดาย
ร่างบางเดินลัดเลาะไปที่ตำหนักใหญ่ของท่านอ๋อง แต่หูเล็กกลับได้ยินเสียงคึกโครมดังออกมาจากห้องบรรทมของชินอ๋อง
“ไปดูหน่อยแล้วกัน มิได้เป็นห่วงหรอกนะ กลัวว่าหากทำข้าวของตกแตก แล้วขันทีฟ่งหรานจะต้องมาเหนื่อยตามเก็บ” ร่างบางพูดราวกับต้องการอธิบายให้ผู้อื่นฟังถึงเหตุและผล ทั้งที่ตนเองมาที่นี่เพียงลำพัง
เยว่ชิงว่าแล้วก็รีบปีนขึ้นไปบริเวณที่มีหน้าต่าง มือบางค่อยๆ แง้มหน้าต่างที่ดูเหมือนว่าจะมิได้ปิดสนิทออก ตากลมมองลอดเข้าไปด้านในห้องอย่างใคร่รู้ ทว่า…สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้นางถึงกับเบิกตากว้าง ดวงตาสวยร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด
ภาพหญิงสาวเปลือยกายกกำลังนั่งทับอยู่บนหน้าท้องของชายที่เยว่ชิงคุ้นเคย…