พอกันที ครั้งที่ 10 : ปรับปรุงร้าน

2017 Words
“มูมู่ ข้าว่าเจ้าโตเร็วเกินไปแล้ว ดูสิ ฮึบ! ข้ายกเจ้าแทบจะมิขึ้นอยู่แล้ว” เยว่ชิงยกตัวมูมู่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเกือบเท่าตัวขึ้นมานอนด้วยบนเตียง หากให้วัดความสูง ตอนนี้มูมู่น่าจะสูงเกือบเท่าเอวของเยว่ชิงแล้ว ตลอดห้าเดือนที่ผ่านมานี้ เยว่ชิงยังคงออกไปช่วยพี่ชายเรียกลูกค้าเช่นเดิม เงินเก็บที่มีอยู่ตอนนี้ก็ราวๆ แปดตำลึงทอง บิดาและมารดาของนางมักจะเอ่ยว่าเงินเท่านี้ก็มากพอจะใช้กินอยู่เลี้ยงดูคนในครอบครัวได้ทั้งปี เพราะครอบครัวของนางมิได้ใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อ แต่เยว่ชิงเองก็ยังมิพอใจ มิใช่แค่มีพอใช้ แต่นางจะต้องมีเงินมากจนกระทั่งทุกคนในเรือนมิต้องออกไปทำงาน ก็ยังมีเงินทองไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ถึงวันนั้นนางจะนั่งๆ นอนๆ กระดิกนิ้วสั่ง ก็มิมีผู้ใดเอ่ยว่านางได้ “ฮื่อ! คื่อออ” มือเล็กๆ ของเยว่ชิงลูบหัวมูมู่ราวกับต้องการกล่อมเจ้าเสือตัวไม่น้อยให้นอน นางเองก็ต้องรีบเข้านอนเช่นกัน เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเยว่ชิง ท่านพ่อและท่านแม่จึงตั้งใจพาพวกเราสี่พี่น้องไปอารามแถบชานเมือง และแวะไปดูโรงเตี๊ยมที่พึ่งจะหมดสัญญาไปเมื่อเดือนก่อน นอนเล่นพูดคุยกับมูมู่ได้ไม่นานทั้งเยว่ชิงและมูมู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา “เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามบ่าวรับใช้ที่ขนของขึ้นรถม้า “บ่าวขนของขึ้นรถม้าหมดแล้วขอรับ” “ดี เช่นนั้นพวกเจ้าก็ขึ้นรถม้าเถิด ประเดี๋ยวเราจะไปสายเอาได้” ลู่หวังเหล่ยประคองภรรยาและบุตรขึ้นรถม้า แล้วจึงออกเดินทางทันที เดินทางได้ไม่นานก็มาถึงอารามใหญ่ ทุกคนช่วยกันขนของที่ตั้งใจจะนำมามอบให้กับอารามแห่งนี้ลง “อารามแห่งนี้ร่มรื่นดีนะเจ้าคะ ท่านพี่” “นั่นสิขอรับ สงบ เงียบ จนข้ารู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเสียแล้ว” หมิงยู่ทำท่าซวนเซโอนเอนไปมาดั่งคนที่ง่วงงุน “เกินไปหน่อยกระมัง พี่รอง” “หึ เจ้าตัวเล็ก! พอพูดชัดขึ้นมาก็พูดไม่หยุดเชียวนะ” หมิงยู่เอ่ยค่อนแคะเยว่ชิง ที่ตอนนี้พูดชัดขึ้นกว่าเดิมมาก ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเยว่ชิงฝึกฝนตนเองให้พูดได้ชัดเจน ออกเสียงให้ถูกต้องอยู่เสมอ และในที่สุดความพยายามของนางก็ไม่สูญเปล่า นางสามารถพูดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น “โถ่พี่รอง น้องเล็กของเราก็พูดมากเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ใช่พึ่งมาพูดมากเสียเมื่อไหร่ ท่านยังไม่ชินชาอีกหรือ” “เอ่อ…ขอบคุณพี่สามที่เอ่ยชมเจ้าค่ะ” แม้มันจะฟังดูแปลกๆ ก็เถอะนะ “พอๆ เราอยู่ในอาราม พวกเจ้าสงบปากสงบคำกันบ้างเถิด” เฉินกงรีบห้ามสามพี่น้องทันที เพราะกลัวว่าจะทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ขายหน้า “หึๆ ไปกันเถิด หลวงจีนคงจะอยู่ในห้องโถงด้านใน” เยว่ชิงและครอบครัวนำสิ่งของเครื่องใช้และเงินจำนวนหนึ่งมาถวายให้อาราม อยู่สนทนากับหลวงจีนเพียงชั่วครู่ก็ลากลับ แต่ก่อนที่จะกลับเรือน ลู่หวังเหล่ยพาภรรยาและบุตรไปแวะดูโรงเตี๊ยมที่พึ่งหมดสัญญาไป เดิมทีที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินเปล่า แต่มีพ่อค้าต่างเมืองมาขอเช่าไว้ทำโรงเตี๊ยมตั้งแต่รุ่นปู่ทวดย่าทวด โรงเตี๊ยมนี้จึงถือว่าเก่าและทรุดโทรมมากเลยทีเดียว “ที่นี่หรือเจ้าคะ ท่านพ่อ” เยว่ชิงเด็กหญิงวัยสี่หนาวเงยหน้ามองโรงเตี๊ยมไม้ที่ทรุดโทรมตรงหน้า หากจะเปิดเหลาอาหารคงจำเป็นจะต้องปรับปรุงกันเสียยกใหญ่ “ใช่ มันอาจดูทรุดโทรมไปบ้าง แต่หากปรับปรุงคงพอจะใช้เปิดเป็นเหลาอาหารได้” ลู่หวังเหล่ยใช้กุญแจเปิดประตูให้ทุกคนเข้ามาสำรวจภายในโรงเตี๊ยม “โอ้โห ว่าด้านนอกเก่าแล้ว ด้านในยิ่งทรุดโทรมกว่ามาก” “นั่นสิขอรับ เช่นนี้คงใช้เงินทองในการปรับปรุงมากทีเดียว” ทั้งเฉินกงและหมิงยู่ต่างหนักใจในข้อนี้ เงินทองที่เก็บออมมาได้คงจะลดลงไปมาก หากต้องปรับปรุงโรงเตี๊ยมนี้ “แต่เยว่ชิงชอบเจ้าค่ะ โรงเตี๊ยมที่นี่มีสองชั้น ทั้งยังมีชั้นลอยที่เป็นระเบียงยื่นออกมา ด้านล่างทำเป็นโต๊ะสำหรับลูกค้าทั่วไป ส่วนด้านบนดัดแปลงเป็นห้องส่วนตัว ภายในห้องส่วนตัวนั้นก็จัดให้มีเครื่องมือการละเล่นของเราไว้ด้วยคงน่าสนใจไม่น้อย” “พี่ว่าหากจะนำการละเล่นต่างๆ ไปจัดวางด้วย ห้องคงจะมีพื้นที่ไม่พอเป็นแน่” “เจ้าค่ะ เราอาจจะต้องรวมห้อง นำกำแพงกั้นตรงกลางออก” “อืม พ่อเองก็คิดเห็นเช่นนั้น” ลู่หวังเหล่ยพยักหน้าให้กับความคิดของบุตรชายและบุตรสาวของตน การปรับปรุงโรงเตี๊ยมเพื่อทำเป็นเหลาอาหารครานี้ เขาคิดจะนำเบี้ยหวัดที่สะสมได้มาช่วยเหลือบุตรของเขาก่อน ถือเป็นเงินทุนที่เขาจะให้บุตรนำไปช่วยกันตั้งตัว “ส่วนข้าคิดว่า…ข้าก็ยังไม่ชินกับคำพูดที่โตเกินวัยของเจ้าอยู่ดี!” แม้ที่ผ่านมาเยว่ชิงจะพูดเช่นนี้นับครั้งไม่ถ้วน แต่หมิงยู่ก็ยังมิชินชากับคำพูดของน้องสาวอัจฉริยะของเขาอยู่ดี “ข้าว่าอย่าไปสนใจเลยเจ้าค่ะ เรามาวางแผนกันเถิดว่าจะให้ช่างไม้มาปรับปรุงในส่วนใดบ้าง” ทุกคนต่างไม่สนใจหมิงยู่ แล้วช่วยกันออกความเห็นว่าจะให้ช่างไม้มาปรับปรุงในส่วนใด เยว่ชิงและครอบครัวใช้เวลากว่าสองชั่วยามในการปรึกษาหารือกันแล้วจึงไปพูดคุยกับช่างไม้ “หากจะปรับปรุงทั้งหมดนี้ ข้าคงต้องใช้เวลากว่าหกเดือน ด้วยคนงานของข้ามีอยู่ไม่มาก แต่รับรองว่าหากทำเสร็จสิ้นจะต้องงดงามดังแม่แบบที่พวกท่านนำมาให้ข้า” ลู่หวังเหล่ยได้ฟังดังนั้นก็หันไปขอความเห็นจากบุตร เพราะอย่างไรเรื่องเปิดเหลาอาหารก็เป็นความคิดของพวกเขา ลู่หวังเหล่ยจึงอยากให้บุตรตัดสินใจด้วยตนเอง ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าตอบรับว่าเอาตามที่ช่างไม้ว่า เพราะระหว่างนี้พวกเขาจะได้เก็บเงินทองมาจ่ายค่าปรับปรุงร้าน ทั้งยังต้องเตรียมหาเสี่ยวเอ้อ พ่อครัวแม่ครัว และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นอีกมากมาย “เสร็จธุระตรงนี้แล้ว พวกเจ้าอยากไปเดินตลาดหรือไม่” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยถามภรรยาและบุตร “เจ้าค่ะ ข้าอยากได้เครื่องครัว มื้อเย็นว่าจะทำอาหารดีๆ ให้เด็กๆ ได้ทานกัน” “ข้าเอาข้าวสองจานเลยขอรับท่านแม่” หมิงยู่หิวจนน้ำลายไหล “เช่นนั้น ท่านพ่อไปกับท่านแม่เถิดขอรับ ข้าจะดูแลน้องๆ ให้เอง” เฉินกงเอ่ยกับบิดาแล้วจึงพาน้องๆ ออกมาหาขนมกิน แต่ทว่าระหว่างที่เดินผ่านร้านเครื่องดนตรี เยว่ชิงกลับสังเกตเห็นว่าลี่อินเหลียวมองไปข้างในร้านอยู่นาน นางจึงคิดว่าพี่สามของนางอาจจะสนใจเกี่ยวกับเครื่องดนตรีพวกนั้น “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม เยว่ชิงอยากไปดูเครื่องดนตรีในร้านนั้น” มือเล็กของน้องสาวชี้เข้าไปในร้านและออกตัวเดินเข้าไปในร้านทันที พี่ชายทั้งสามจึงต้องรีบเดินตามน้องสาวไป เพราะกลัวว่าน้องจะหลงทาง “เยว่ชิงอยากได้อันใดหรือ” ลี่อินเอ่ยถามน้องสาวด้วยแววตาเป็นปะกาย เขาเคยอ่านแค่เพียงตำราเกี่ยวกับเครื่องดนตรีต่างๆ แต่มิเคยได้พบเห็นหรือสัมผัสของจริงสักครั้ง เมื่อเข้ามาเห็นเช่นนี้จึงดีใจไม่น้อย โดยเฉพาะกู่เจิงที่เขาเปิดอ่านตำราเกี่ยวกับการบรรเลงอยู่หลายรอบ “แล้วพี่สามเล่า สนใจเครื่องดนตรีใด” “พี่สนใจกู่เจิง เคยเปิดอ่านในตำราอยู่หลายครา พึ่งเคยเห็นกับตาก็ครานี้” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของลี่อิน ทำให้เยว่ชิงตัดสินใจเรียกคนขายเข้ามาช่วยเลือกกู่เจิงให้พี่ชาย “พี่ชาย พี่ชาย” “ขอรับคุณหนู ท่านมีสิ่งใดให้ข้าน้อยช่วยหรือไม่ขอรับ” “ช่วยพาพี่สามของข้าไปเลือกกู่เจิงได้หรือไม่ พวกข้ามิมีความรู้เรื่องนี้” เด็กหญิงวัยสี่หนาวหันมองหน้าพี่ใหญ่และพี่รองของตนเพื่อขอความเห็น ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่นางตัดสินใจไป “เยว่ชิง พี่ไม่เอาหรอกนะ ราคามันสูงเกินไป เรายังต้องใช้เงินทองในการปรับปรุงร้าน” “ไปเลือกเถิดน้องสาม เจ้าเองก็ช่วยหาเงินได้มาก สมควรได้รับรางวัล” “นั่นสิ ประเดี๋ยวข้า พี่ใหญ่และเยว่ชิงก็จะไปเลือกของที่ตนเองอยากได้เช่นกัน” หมิงยู่เอ่ยสำทับขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้องสามแววตาเปร่งประกายเช่นนี้ คงจะชื่นชอบมากเลยทีเดียว “แต่ว่า…” ลี่อินก้มหน้าคิดหนัก จริงอยู่ที่พี่น้องของเขาจะไปเลือกของที่อยากได้เช่นกัน แต่ว่ากู่เจิงที่เขาอยากได้มันมีราคาสูงมากทีเดียว “เยว่ชิงมิได้ให้พี่สามซื้อกู่เจิง เพื่อบรรเลงให้คนในเรือนฟังอย่างเดียวนะเจ้าคะ เยว่ชิงจะให้พี่สามฝึกซ้อมเพื่อขึ้นแสดงในร้านของเรา” “เยว่ชิง…” “เพราะฉะนั้นแล้ว นี่ถือเป็นการลงทุน ในช่วงแรกเราคงมิมีเงินทองมากพอไปจ้างผู้ใดมาบรรเลงดนตรี คงจะต้องรบกวนพี่สามให้ช่วยเรื่องนี้” ลี่อินได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกดีขึ้น ทั้งยังดีใจที่พี่น้องของตนเชื่อใจให้เขารับผิดชอบงานในส่วนนี้ “รบกวนอันใดกัน พี่เองก็อยากมีส่วนช่วย” “เช่นนั้นน้องสามก็รีบไปเลือกกู่เจิงเถิด พี่จะได้พาน้องรองกับน้องเล็กของเราไปเลือกซื้อของที่อยากได้บ้าง” ลี่อินได้ยินพี่ใหญ่ว่าดังนั้นจึงรีบตามคนขายไปดูกู่เจิงทันที “ได้มาแล้วขอรับ” ลี่อินยื่นกู่เจิงที่ตนเองเลือกมาให้พี่น้องดู “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด พวกเจ้าอยากได้สิ่งใด พี่จะพาไปดู” “ข้าจะไปดูน้องปลามาเลี้ยงไว้ที่เรือนเสียหน่อย” หมิงยู่ขอบิดาขุดสระเล็กๆ ไว้ จึงจะซื้อปลาไปเลี้ยงที่เรือน “เยว่ชิงจะไปดูดาบ” ได้เวลาที่เยว่ชิงจะต้องฝึกร่างกายแล้ว ในชีวิตก่อนเยว่ชิงถูกส่งไปเรียนการต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็ก และนางก็ชื่นชอบเค็นโด (ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น) เป็นที่สุด แม้ในเค็นโดจะใช้ดาบไม้ไผ่ในการฝึกซ้อม แต่ในยามที่นางทดสอบการต่อสู้กับคุณพ่อ นางจะต้องใช้ศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง ทั้งยังต้องใช้ดาบจริงในการต่อสู้ เพราะหากเป็นสถานการณ์ที่ถูกจ้องเอาชีวิต อย่างไรนางก็ต้องเลือกดาบจริงมากกว่าที่จะเป็นดาบไม้ ฉะนั้นแล้ววันนี้นางจะต้องได้ดาบจริงมาครอบครอง ฝึกตั้งแต่ยังเล็ก วันข้างหน้าจะได้มีกำลังและวิชาปกป้องครอบครัว “ห๊า! เจ้าจะเอาดาบมาทำอันใดกัน” ไม่ใช่แค่หมิงยู่ที่ตกใจ แต่เฉินกงและลี่อินเองก็ตกใจเช่นกัน เด็กสี่หนาวเขานิยมเล่นดาบกันหรอกหรือ เห้อออ น้องสาวของพวกเขามีเรื่องให้น่าแปลกใจเข้าไปทุกวัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD