และที่ท่านพ่อ ท่านแม่เอ่ยไว้ว่าจะพาเยว่ชิงไปให้หมอตรวจนั้น มิได้พูดหยอกเย้ากันเท่านั้น เพราะตอนนี้เยว่ชิงกำลังนั่งหน้างออยู่ในรถม้า ทั้งที่นางควรจะได้ไปตั้งร้าน เรียกลูกค้าช่วยพี่ชาย แต่นางกลับต้องมานั่งจุมปุกอยู่ในรถม้าเพื่อเดินทางไปหาหมอ
เห้ออออ ไม่น่าเอ่ยสิ่งที่โตเกินวัยออกไปเลย
“ถึงแล้ว พวกเราลงไปกันเถิด” ลู่หวังเหล่ยมองลอดออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าถึงเรือนของท่านหมอแล้ว จึงได้หันมาบอกกับภรรยาและบุตรสาว เยว่ชิงยื่นแขนให้บิดาอุ้มลงจากรถม้าทั้งที่ยังทำหน้าบูดบึ้ง เด็กน้อยยกมือขึ้นกอดอกอย่างขัดใจ ท่าทางของบุตรสาวทำเอาลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งถึงกับส่ายหน้า
“มาถึงแล้วหรือใต้เท้าลู่” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยทักใต้เท้าลู่ ดูจากท่าทางและการแต่งตัวแล้ว เยว่ชิงคิดว่าเป็นท่านหมอไม่ผิดแน่
“ขอรับท่านหมอ นี่ภรรยาและบุตรสาวข้าขอรับ” ซูเมิ่งและเยว่ชิงต่างก้มคำนับอย่างนอบน้อบ แม้เยว่ชิงจะแง่งอนท่านพ่อ ท่านแม่ แต่อย่างไรก็มิอาจทำให้สกุลลู่ขายหน้าได้
“คำนับท่านยุงหมอ”
“ฮ่าๆ นี่ข้ากลายเป็นยุงเสียแล้วหรือนี่ มาเถิดๆ ให้ยุงหมอดูหน่อยเถิดว่าเจ้าเจ็บป่วยที่ใดหรือไม่” ท่านลุงหมอเดินนำเยว่ชิง ลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งไปในห้องสำหรับตรวจผู้ป่วย เดิมทีลู่หวังเหล่ยได้นำเรื่องราวของเยว่ชิงมาปรึกษาหมอผู้นี้แล้ว แต่ท่านหมอเองก็มิอาจวินิจฉัยได้ว่าเยว่ชิงเป็นอันใด จึงขอให้ลู่หวังเหล่ยพาเยว่ชิงมาให้เขาตรวจด้วยตนเอง ท่านลุงหมอตรวจชีพจรตรงข้อมือของเยว่ชิงสักพักก็ปล่อยมือ
“เยว่ชิงใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” จะมาไม้ไหนนะ แล้วนางควรตอบอย่างตรงไปตรงมาหรือว่าจะแกล้งทำเป็นเด็กน้อยดี
“ท่านพ่อของเยว่ชิงเคยบอกลุงว่า เยว่ชิงพูดเก่งมากเลยหรือ”
“เก่งมาก เยว่ชิงพูดเก่ง คิดเก่ง อ่านอักษรต่างๆ เข้าใจ อ่านตำยาของพี่ใหญ่ก็เข้าใจด้วย”
“เช่นนั้นเยว่ชิงอ่านตำรานี้ให้ลุงหมอฟังจะได้หรือไม่” ท่านหมอยื่นตำราเกี่ยวกับศาสตร์การแพทย์ให้เยว่ชิงลองอ่าน เยว่ชิงเปิดตำรานั้นแล้วเริ่มอ่านและตีความมตามที่เข้าใจ เพราะตำรานี้หากเทียบกับในชีวิตก่อนก็เป็นเพียงความรู้วิชาชีววิทยาในระดับมัธยมปลายเท่านั้น
“โอ้โห เก่งกาจเสียจริง อ้อ…แล้วคำพูดต่างๆ เล่า เยว่ชิงไปเลียนแบบมาจากผู้ใดหรือ” ท่านลุงหมอผู้นี้ถามซอกถามแซกเกินไปแล้ว
“เอามาจากตำยา บางคำก็คิดเอง ว่าแต่ท่านยุงหมอรู้จักคำว่า อัจฉริยะ หยือไม่ เยว่ชิงเคยอ่านเจอในตำยา”
ต้องขออภัยท่านลุงหมอแล้ว เยว่ชิงขอชักนำคำวินิจฉัยของท่านลุงหมอเสียหน่อยนะเจ้าคะ
“อะ อัจฉริยะงั้นหรือ ใช่ผู้คนที่มีสติปัญญา ความสามารถเกินกว่าผู้คนทั่วไปหรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ แล้วท่านยุงหมอมิคิดว่าเยว่ชิงอาจจะเป็นเช่นนั้นหยือ” เยว่ชิงยกยิ้มกว้างให้ท่านลุงหมอ แต่ในใจกำลังเอ่ยขออภัยผู้ที่เป็นอัจฉริยะด้านต่างๆ เยว่ชิงรู้ดีว่าผู้ที่เป็นอัจฉริยะต้องมีความพยายามและเก่งกาจมากเพียงใด แต่นางในตอนนี้เพียงอาศัยความรู้เดิมจากชีวิตก่อน มิอาจเอ่ยได้ว่าตนเองนั้นเป็นอัจฉริยะ
ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ หากมิทำเช่นนี้ทุกคนก็จะมิหยุดสงสัย
“…” ท่านหมอถึงกับนิ่งอึ้งกับคำเยินยอตนเองของเด็กน้อยผู้นี้ แต่หากฟังจากคำพูดของใต้เท้าลู่และจากที่ได้พูดคุยกับเยว่ชิงแล้ว จะเอ่ยว่าเด็กผู้นี้เป็นอัจฉริยะก็ไม่แปลกเลยสักนิด ทั้งความสามารถด้านการอ่าน การทำความเข้าใจ และการพูด ถือว่าต่างจากเด็กในวัยสามหนาวลิบลับ
“หึๆ นั่นสินะ ใต้เท้าลู่ ฮูหยินลู่ ข้าคิดว่าพวกท่านคงมิต้องกังวลเรื่องของบุตรสาวท่านแล้ว นางมิได้มีความเจ็บป่วยทางกายหรือทางจิตใจแม้แต่น้อย นางเพียงเป็นผู้ที่มีสติปัญญา ความคิด ความอ่านมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันเท่านั้น ถือว่าพวกท่านโชคดีแล้ว ที่มีบุตรสาวที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้”
“ขอบพระคุณท่านยุงหมอที่เอ่ยชมเจ้าค่ะ” เยว่ชิงยกยิ้มให้ท่านลุงหมอของนางจนหน้าบาน เพียงเท่านี้ท่านพ่อท่านแม่และคนในครอบครัวของนางก็จะไม่แปลกใจในความสามารถที่เกินวัยของนางอีกต่อไป เท่ากับว่า…ต่อไปนางมิต้องระมัดระวังคำพูดแล้ว
เอ่อ ว่าแต่ที่ผ่านมานางได้ระวังคำพูดบ้างหรือไม่นะ? แหะๆ ดูจากที่ท่านพ่อพามาพบท่านลุงหมอแล้ว…คงไม่สินะ
หลังจากที่อยู่พูดคุยกับท่านลุงหมอแล้วเสร็จ ลู่หวังเหล่ยก็พาภรรยาและบุตรสาวกลับเรือนทันที แต่ดูท่าแล้วทั้งลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งจะพบกับปัญหาใหญ่เพราะตลอดทางบุตรสาวตัวน้อยนั่งกอดอกนิ่ง มิยอมเอ่ยสิ่งใดกับพวกเขาแม้แต่น้อย กว่าทั้งสามจะมาถึงเรือนก็ได้เวลาทานมื้อเย็น ทั้งเฉินกง หมิงยู่ และลี่อินต่างมานั่งรอที่ห้องโถงกันพร้อมหน้า
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านพ่อ ท่านหมอได้บอกหรือไม่ว่าน้องเป็นอันใด” เฉินกงที่เห็นบิดาเดินนำมารดาและน้องสาวมาจึงได้เอ่ยถามขึ้น
“เอ่อ ท่านหมอบอกว่าน้องของพวกเจ้าเป็นเด็กอัจฉริยะ เป็นพวกที่มีสติปัญญา ความสามารถเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน ถือเป็นโชคดีของครอบครัวเราที่มีน้องสาวฉลาดหลักแหลม” ลู่หวังเหล่ยนั่งลงประจำที่ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากทันที
“และท่านพ่อก็เสียเงินไปเปล่าประโยชน์ ค่าจ้างท่านยุงหมอเสียไปเกือบหนึ่งตำลึงเงินเชียวนะ” เยว่ชิงนั่งจ้องหน้าบิดาเขม็ง
“เอาเถิด เรามาทานข้าวกัน เยว่ชิงลองทานเนื้อตุ๋น แม่ให้แม่นมลี่ตุ๋นทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนกลางวัน เนื้อคงนุ่มน่าดู” ซูเมิ่งและทุกคนต่างพยายามง้องอนเยว่ชิงตัวน้อยให้หายโกรธเคืองพวกเขาที่รบเร้าให้เยว่ชิงลองไปพบท่านหมอ
“อืม ยสดีๆ หากเปิดเป็นเหลาอาหารคงได้เงินไม่น้อย” เยว่ชิงเปรยออกมาอย่างมิได้คิดสิ่งใด แต่ทว่าทุกคนกับชะงักกับคำพูดนั้น
“เหลาอาหาร!!!”
“เยว่ชิง เจ้านี่สมกับที่เป็นเด็กอัจฉริยะเสียจริง”
“…” เยว่ชิงนั่งอ้าปากหวอ นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ว่าตนได้พูดสิ่งใดออกไป แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเหล่าพี่ชายของนางนั้นคิดสิ่งใดอยู่
หากว่าเปิดเหลาอาหารที่มีการละเล่นต่างๆ ด้วย คงจะเป็นที่สนใจของผู้คนอยู่ไม่น้อย
“แท้จริงแล้วสกุลลู่ของเรามีที่ดินอยู่ท้ายตลาด ท่านทวดของพ่อปล่อยให้คนต่างเมืองเช่าไปทำโรงเตี๊ยม แต่ตอนนี้กิจการโรงเตี๊ยมของเขาค่อนข้างย่ำแย่และอีกสี่เดือนข้างหน้าจะหมดสัญญาแล้วด้วย หากว่าลูกๆ อยากทำเหลาอาหารพ่อจะให้คนไปบอกเขาก่อนว่าเราจะไม่ต่อสัญญาเช่า” เดิมทีที่ดินตรงนั้นมิได้ทำประโยชน์อันใด ท่านทวดจึงตัดสินใจให้ผู้อื่นเช่า อีกทั้งลู่หวังเหล่ยก็มิได้คิดจะทำการค้าการขาย จึงได้ปล่อยให้พวกเขาเช่าที่ดินต่อมาเรื่อยๆ
“ดีเจ้าค่ะ เอาๆ” เยว่ชิงที่มีภาพคาสิโนอยู่ในหัวเริ่มจินตนาการว่าหากมีร้านที่คล้ายกับคาสิโนคงจะเป็นที่สนใจของคนยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก แต่คงจะเน้นหนักเรื่องการพนันได้ไม่มากนัก
นางยังมิอยากถูกจับเข้าคุกหลวงหรอกนะ
“เช่นนั้นก็ดี แต่ว่า…หากว่าเยว่ชิงมิหายโกรธเคืองพ่อ พ่อคงมิมีเรี่ยวแรงไปเจรจากับเถ้าแก่ที่โรงเตี๊ยมเป็นแน่ เห้อออ เศร้าใจเสียจริง” ลู่หวังเหล่ยแสร้งตีหน้าเศร้าสร้อยอย่างกับมีเรื่องให้ทุกข์ใจหนักหนา ทั้งที่แท้จริงแล้วเขาเพียงเศร้าเพราะบุตรสาวโกรธเคืองเท่านั้น
“เยว่ชิงหายโกรธท่านพ่อเถิดนะ ท่านพ่อน่าสงสารถึงเพียงนี้” ลี่อินพยายามช่วยบิดาจนสุดความสามารถ แต่เยว่ชิงก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมลงให้ท่านพ่อเลยสักนิด จนกระทั่ง…
“เยว่ชิง เงิน เงิน เงินทั้งนั้น! เจ้าจะทิ้งโอกาสนี้หรือ” หมิงยู่กระซิบกระซาบข้างหูเยว่ชิง น้องสาวเขาทั้งคน เขาจะมิรู้จุดอ่อนของนางได้อย่างไรกัน
“ก็ได้ เยว่ชิงหายโกรธท่านพ่อ ท่านพ่อต้องไปพูดกับเจ้าของโรงเตี๊ยมให้พวกเยานะเจ้าคะ”
“แน่นอน มาๆ มาให้พ่อกอดเจ้าหน่อยเถิด ระหว่างทางเจ้าไม่พูดกับพ่อสักคำ ดวงใจน้อยๆ ของพ่อเจ็บปวดไปหมดแล้ว” เยว่ชิงลุกขึ้นไปนั่งบนตักบิดา เอนศีรษะน้อยๆ ซบอกแกร่งของบิดา เป็นภาพที่ผู้ใดเห็นก็ต้องยิ้มตาม
“น้องรอง เมื่อครู่เจ้าพูดสิ่งใดกับเยว่ชิงหรือ นางจึงได้ยอมหายโกรธท่านพ่อง่ายถึงเพียงนี้” เฉินกงหันไปถามหมิงยู่ด้วยความสงสัย เพราะน้องสาวของพวกเขาคนนี้เป็นเด็กที่มีเหตุผล มิได้โกรธเคืองผู้อื่นไปทั่ว แต่หากโกรธเคืองผู้ใดแล้ว จะมิยอมหายโกรธคนผู้นั้นง่ายๆ เป็นแน่ บางทีมิยอมสนทนาด้วยถึงสามวันสามคืน
“นั่นสิพี่รอง ข้าเองก็อยากรู้เช่นกัน” ลี่อินเองก็ยื่นหน้าเข้ามาพูดคุยกับเฉินกงและหมิงยู่ด้วยเช่นกัน
“ข้าก็เพียงพูดว่า เงิน! เงิน! เงิน!” เฉินกงกับลี่อินถึงกับหัวเราะร่าออกมา
หึ สมกับเป็นลู่เยว่ชิง เรื่องเงินต้องมาก่อนสินะ เฮ้อ!!!