ช่วงเช้าของวันนั้น เมื่อจัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว ติรณาก็ใช้วิลแชร์ที่ทางโรงบาลบริจาคมาให้ พาแม่ออกมาเดินเล่นข้างนอก ไม่ไกลจากห้องแถวที่เธอพักอาศัยอยู่ เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ในหมู่บ้านนั้นมีสวนสุขภาพให้บุคคลทั่วไปได้มาพักผ่อน มีเครื่องเล่นออกกำลังกาย ของเล่นเด็กจำนวนหนึ่งติดตั้งให้ด้วย เธอมักพาแม่ไปที่นั่น เพื่อให้ท่านได้เปิดหูเปิดตาบ้าง
อาทิตย์ทั้งอาทิตย์ก็อุดอู้อยู่แต่ในห้อง ถ้าช่วงไหนเธอไม่ว่างติดกันนานๆ นั่น ก็เท่ากับว่าแม่จะไม่ได้ออกมาสัมผัสกับโลกภายนอกเลย โชคยังดีที่มีเพียงพิมพ์คอยอยู่เป็นเพื่อน แม้คนป่วยจะจำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตาม
“น้องหงส์...จะไปไหน” นางแหงนคอถามลูกสาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล พร้อมกับมองไปรอบๆ อย่างหวาดๆ
“ไปสวนสุขภาพจ้ะแม่ ไม่ต้องกลัวนะ...หงส์อยู่ด้วย ไม่มีใครทำร้ายแม่หรอก” เธอยิ้มและบอก เพื่อให้แม่รู้สึกผ่อนคลาย
“กลับบ้านเถอะ...พ่อเราคงรอแย่แล้ว” เสียงบ่นพึมพำอย่างไม่มั่นใจในตัวเองกล่าวขึ้น แล้วก้มหน้ามองมือตัวเองที่กุมกันวางอยู่บนตัก
จิตสำนึกที่ไม่เคยเลือนหาย คือสามีกับลูก ในโลกนี้ดวงดาวอาจจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หัวใจของเธอไม่เคยลืมคนสำคัญในชีวิต...
“...” ติรณาไม่ได้ตอบ เธอกะพริบตาปล่อยหยาดน้ำไหลอาบแก้ม แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นเช็ดหยาบๆ แม่ของเธอยังจดจำคนคนนั้นอยู่ทำไมกัน คนที่ทิ้งภาระทุกอย่างไว้ให้รับผิดชอบ คนที่ทำให้แม่ต้องพิการแล้วหนีไปอยู่กับเมียใหม่ ไม่เคยเหลียวแลไยดีด้วยซ้ำว่าเธอกับแม่จะต้องเผชิญชะตากรรมอะไรบ้าง
“น้องหงส์...”
“แม่คะ...เราไปเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้วค่ะ หงส์จะซื้อไอติมให้แม่ด้วยนะ ไอติมที่แม่ชอบกินไง ดีไหมคะ” เธอกล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้ในใจ แล้วเอ่ยกับแม่ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“จริงเหรอ ไอติมรสช็อกโกแลตใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ไปดูปลาด้วย ไปให้อาหารปลากันนะคะ” แม่ของเธอไม่ต่างจากเด็กน้อย ที่บัดนี้อาศัยอยู่ในร่างผู้ใหญ่ ท่านยิ้มร่าด้วยความดีใจเมื่อเธอรับปากเช่นนั้น นึกเอ็นดูว่า...ครั้งเมื่อเธอยังเล็ก แม่ก็เอาใจใส่เธอแบบนี้เหมือนกัน
ติรณาไม่เคยเสียใจที่ได้ดูแลแม่ ไม่ว่าแม่จะเป็นอย่างไรก็ตาม ความรักความผูกพัน การเสียสละของแม่ที่ผ่านมานั้นยิ่งใหญ่นัก ขออย่างเดียวอย่าให้เธอจากไปก่อนแม่เท่านั้น เพราะกลัวว่าท่านอยู่ข้างหลังจะต้องโดดเดี่ยวไร้คนเอาใจใส่
“น้องหงส์...ซื้อไปให้พ่อด้วยนะลูก” คนป่วยหันไปจับมือลูกสาวด้านหลังอย่างลกๆ ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“ค่ะ...แม่...” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขอแค่เห็นรอยยิ้มของแม่ อะไรก็ได้ทั้งนั้น...
ภายในสวนสุขภาพไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่ก็มีคนในและนอกหมู่บ้านมาเดินเล่น นั่งเล่น บ้างก็มาออกกำลังกาย ตามแต่จุดประสงค์ มีรถเข็นขายผลไม้และขนมอยู่เป็นระยะ ตามจุดต่างๆ แต่ก็เป็นระเบียบ ไม่ได้เกะกะรกหูรกตา เธอเข็นรถของแม่ไปซื้อไอศกรีมแล้วพาไปนั่งดูนกพิราบที่กำลังโบกบินลงจิกอาหารบนพื้น เพราะมีคนโปรยโยนให้
แม่ดูมีความสุข ดวงตาสดไสเหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา ท่านค่อยๆ กินไอศกรีมด้วยการดูเธอเป็นตัวอย่าง พอเธอกินหมดก็ส่งของตัวเองให้ ติรณารีบปฏิเสธ เพราะเธอไม่ได้อยากกินตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่รู้ว่าหากซื้ออันเดียวแม่คงไม่เอา ท่านจะเป็นกังวลกลัวลูกไม่มีเหมือนคนอื่นเขา
“ปากเลอะ...น้องหงส์เมื่อไหร่จะโต” แม่ว่า พลางยกทิชชูในมือเช็ดปากให้ลูก ยิ้มพลางส่ายหน้าเหมือนอีกฝ่ายยังตัวเล็กนัก
เพราะภาพจำของนางยังคงเป็นเช่นนั้นเสมอมา...
“แม่ไม่ต้องห่วงหงส์หรอก เดี๋ยวหงส์จะพาไปดูปลานะ” เธอลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินอ้อมไปด้านหลัง เพื่อเข็นรถไปยังบึงน้ำใกล้ๆ สมัยเธอยังเด็กแม่ชอบพามาที่นี่ เพราะใกล้บ้าน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะแยะ เว้นเสียมีการซื้อขนมนมเนยบ้างไม่กี่บาท จนถึงตอนนี้ เธอเป็นฝ่ายพาแม่มาเที่ยวได้แล้ว น่าเสียดายตรงที่...ไม่อาจไปได้ไกลมากกว่าเมื่อก่อน
หญิงสาวซื้ออาหารปลาถุงละสิบบาท แกะหนังยางแล้วส่งให้แม่ ท่านก็กำอาหารนั้นแล้วโปรยลงในสระน้ำ ที่มีบรรดาปลาเล็กปลาน้อยมากมายมาตอดกิน แม่ดูสนุกสนานและมีความสุขมาก ไม่หน้ามุ่ยเหม่อเหมือนตอนที่อยู่แต่ในห้อง
สักพักเมื่ออาหารหมด ท่านก็นั่งมองฝูงปลาเหล่านั้นที่ยังคงว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่าง ขอบสระปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ พวกมันก็ไล่เล่นน้ำอยู่บริเวณกันเป็นพรวนด้วยความเคยชิน ว่าจะต้องมีคนมาให้ของกินบ่อยๆ
“น้องหงส์...พ่อรอแย่แล้ว เรากลับบ้านกันเถอะ สายแล้วพ่อยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ” เหมือนจะนึกบางอย่างได้ ดวงดาวก็ดึงแขนเสื้อลูกแล้วบอก
“ก็ได้ค่ะ นี่ก็เริ่มสายแล้ว แม่คงเหนื่อย เรากลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่าเนอะ” หญิงสาวเลี่ยงที่จะพูดถึงใครคนนั้น อยากจะลืมๆ ไปเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะได้ยินมารดาเอ่ยถึงอยู่ทุกวัน ความทรงจำอันเลวร้ายที่คอยหลอกหลอนมานับสิบปี จึงยังคงวนเวียนอยู่อย่างนั้น...
ติรณาพาแม่กลับบ้าน เปลี่ยนผ้าอ้อมใหม่ นำอาหารที่แช่แข็งไว้ในตู้เย็นมาอุ่น แล้วเอาให้ท่านรับประทาน เมื่อแม่หลับไปแล้วเธอก็จัดการเอาโต๊ะญี่ปุ่นกับโน๊ตบุ๊คออกมาเขียนนิยายที่ค้างไว้ พอสมองเริ่มตันก็เก็บอุปกรณ์ทำมาหากินเข้าที่แล้วรีบทำงานบ้าน จนถึงห้าโมงเย็นเธอก็โทร.ไปบอกเพียงพิมพ์ว่าตนเองต้องไปทำงานแล้ว...
ที่ร้านอาหาร หน้าที่ของเธอคือล้างจานชาม อุปกรณ์ทำครัวทุกอย่าง นอกจากค่าจ้างแล้ว เธอจะได้อาหารที่ทางร้านขายไม่หมดในคืนนั้นกลับบ้านไปด้วย ซึ่งก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะมากๆ เพราะเธอแทบจะไม่ต้องซื้อกับข้าวเลย และเจ้าของร้านที่นี่ก็ใจดี เพราะเธอทำงานกับพวกเขามานานนับสิบปีแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กน้อย
เพราะได้รับความสงสารเวทนาจากคนรอบข้างนี่แหละ เธอกับแม่ถึงได้มีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
“กับข้าวป้าใส่ถุงไว้ให้แล้วนะหงส์ เก็บกวาดเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านล่ะ” มารศรีซึ่งเป็นเจ้าของร้าน วางกุญแจล็อกร้านไว้ให้พร้อมกับถุงข้าวและแกง พลางยกมือขึ้นนวดไปตามเนื้อตามตัวด้วยความเมื่อยขบ
“ค่ะป้าศร ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานขนาดใหญ่ กำลังปฏิบัติงานอย่างแข็งขันตอบกลับไป ร้านปิดแล้ว...ทุกคนเลิกงานหมดยกเว้นเธอที่ต้องทำความสะอาดในครัวให้เสร็จ ปิดร้าน แล้วจึงจะได้กลับ
“กลับถึงบ้านแล้วก็โทร.บอกด้วยนะ”
“ค่ะ...” คราวนี้เธอหันไปพยักหน้ารับปาก มองมารศรีที่เดินออกจากห้องครัวไปแล้วถอนหายใจแรงๆ งานของเธอยังเหลืออีกเยอะเลย ทั้งถ้วยถังกะละมังหม้อ หลายครั้งที่ท้อ...แต่ก็นั่นแหละ คนอย่างเธอมันไม่มีสิทธิ์คิดอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว
แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ติรณาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ใจก็กลัวจะเป็นคิมหันต์โทร.มากวนประสาทเล่นอีก แต่ก็เป็นไปได้ว่า...อาจเป็นใครอีกคนที่เธอกำลังเฝ้ารอสายจากเขาอยู่
หญิงสาวจึงล้างมือที่ติดฟองน้ำยาล้างจานออก เช็ดมือลวกๆ ให้พอหมาดแล้วจึงไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าที่แขวนอยู่ตรงชั้นวางอุปกรณ์เครื่องครัว เมื่อหน้าจอโชว์สายที่โทร.เข้า รอยยิ้มอ่อนๆ ก็ปรากฏขึ้น
เธอรีบสไลม์รับทันที...