ตอนที่ 7 ไม่สบายใจ
อี้เยว่ฉีพาภรรยามาที่โรงหมูเป็นครั้งแรก ทันทีที่เดินเข้ามาหลี่เจินถึงกับย่นจมูกเพราะกลิ่นคาวเลือดมันคละคลุ้งซะจนนางแทบอาเจียน อี้เยว่ฉีเห็นภรรยาอาการไม่ค่อยดีจึงรีบพานางเดินมายังพื้นที่ด้านข้างโรงหมู ซึ่งตรงนี้ร่มรื่นเหมาะแก่การผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง หลี่เจินมีสีหน้าดีขึ้น แม้นางจะไม่เห็นกับตาว่าหมูเหล่านั้นถูกเชือดเช่นไร แต่เสียงร้องของพวกมันก็ทำให้นางรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก
“ข้าจำเป็นต้องมาหากิน หากข้าเลิกกิจการ คนงานอีกหลายคนก็ต้องอดตาย”
คล้ายกับเขารู้ความคิดของหญิงสาว ถึงได้เอ่ยขึ้นเช่นนี้ หมูพวกนั้นเกิดมาเพื่อเป็นอาหาร มันเป็นเรื่องที่ไม่อาจฝืนได้ เขาเองก็ใช่ว่าจะสบายใจนักที่ได้ยินเสียงพวกมัน เขากำลังหาวิธีที่จะทำให้พวกมันไม่ต้องทรมาน แต่ยามนี้เขายังหาวิธีเช่นนั้นไม่ได้ จึงจำต้องใช้วิธีเดิมๆไปก่อน
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ “
นางเศร้าใจแต่ก็เข้าใจว่ามันคือสิ่งที่สร้างรายได้ให้กับสามี หญิงสาวถอนหายใจก่อนมองไปรอบๆ โรงหมูสร้างจากไม้ยกหลังคาสูง ด้านหน้าจะมีพ่อค้าแม่ค้ามารับเนื้อหมูไปขาย ส่วนด้านหลังจะเป็นที่เชือดหมู ส่วนด้านนอกนั้นจะมีคอกหมูขนาดใหญ่ที่สร้างจากไม้เช่นกัน
“เจ้านั่งพักตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะให้หูหลี่ไปนำน้ำมาให้เจ้า”
หญิงชราตามมาด้วยเพื่อดูแลฮูหยินของนายท่าน ทันทีที่ได้รับคำสั่งนางก็รีบไปเตรียมทันที หลี่เจินรู้สึกดีขึ้น อาการพะอืดพะอมเมื่อครู่ก็หายไปแล้ว หญิงสาวสังเกตเห็นว่าที่นี่ช่างร่มรื่นและเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น บรรยากาศแตกต่างจากด้านในอย่างสิ้นเชิง
“ข้าใช้เป็นที่พักผ่อน เรือนเล็กๆตรงนั้นคือส่วนของข้า”
เข้าชี้ไปยังเรือนหลังเล็กริมบ่อน้ำใหญ่ หลี่เจินรู้สึกว่าที่นี่ช่างใหญ่โตนัก นางสงสัยเหลือเกินว่าสามีนางนั้นร่ำรวยจากการขายหมูเพียงอย่างเดียวจริงหรือ เหตุใดทรัพย์สินของเขามันช่างมากมายเช่นนี้ เรือนที่นางอาศัยอยู่ก็ใหญ่โต โรงหมูแห่งนี้ก็กว้างขวางทั้งยังมีกำแพงสูงล้อมรอบไม่ต่างจากวังหลวง ไหนจะตึกสามชั้นที่สามีซื้อเพื่อเปิดร้านขายอาภรณ์ให้นางอีก
“สมัยก่อนข้าก็เคยเชือดหมูเอง แต่ตอนนี้ข้าวางมือแล้ว”
เขานึกถึงยามที่เริ่มตั้งตัวหลังท่านตาตายจากไป หมูตัวแรกที่เขาเลี้ยงและเชือดเองกับมือ แม้เขาจะรู้สึกผูกพันกับมันมาก แต่เพื่อปากท้องเขาจำเป็นต้องทำ ไม่เช่นนั้นตัวเขานั่นแหละที่จะอดตาย แต่การเสียสละชีวิตของหมูตัวนั้นก็ทำให้เขามีเงินก้อนแรกและเป็นเงินที่ทำให้เขาตั้งตัวได้จนถึงทุกวันนี้
หลังจากนั้นเขาก็ซื้อหมูมาเลี้ยงและเชือดเองตลอด เริ่มจากซื้อลูกหมูมาเลี้ยงจนโต ภายหลังเมื่อมีเงินมากขึ้นจึงซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาเลี้ยง เมื่อจำนวนหมูมากขึ้นเขาก็มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงเริ่มขยับขยายซื้อที่ดินและสร้างคอกหมูเพื่อรองรับจำนวนลูกหมูที่เกิดขึ้นมา เขาเริ่มต้นจากจุดเล็กๆและเริ่มสร้างให้มันยิ่งใหญ่
และเขาจะไม่หยุด เขาจะต้องร่ำรวยมากกว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่า
“กว่าท่านจะร่ำรวยเช่นนี้คงเหนื่อยมามาก”
ยามที่สามีมอบของมีค่าให้ นางจะตระหนักเสมอว่านี่คือสิ่งที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของเขา นางถึงได้หวงแหนสมบัติทุกชิ้นที่สามีให้แก่นาง นางไม่ได้ร่วมสร้างแต่เขากับเลี้ยงดูนางเป็นอย่างดี ในบางครั้งนางก็ละอายใจยิ่งนัก นางรู้สึกว่าตัวนางเป็นเพียงภาระที่ไร้ประโยชน์
นางโง่เขลาเกินกว่าจะช่วยเหลือสามีได้
บางทีนางควรเรียนรู้อะไรให้มากกว่านี้ นางควรช่วยแบ่งเบาภาระของอี้เยว่ฉีบ้าง
ตัวนางแต่งเข้าบ้านสามี สมบัติเก่าติดตัวก็ไม่ได้เอามาด้วยสักชิ้น มีแต่บิดานางที่รีดไถเขาทั้งเงินทั้งทอง หาทางเอาเปรียบเขาทุกวิถีทาง ดีหน่อยที่สามีนางไม่หลงเล่ห์กล กลับกลายเป็นบิดานางที่กำลังเสียเปรียบเขาอยู่ต่างหาก
“ข้าเหนื่อย แต่ผลลัพธ์มันคุ้มค่า”
ท่านตามักพูดเสมอว่าเหนื่อยในวันนี้จะได้สบายในวันหน้า แต่ช่างน่าเสียดายที่ตลอดชีวิตท่านตานั้นไม่เคยได้สบายแม้แต่ครั้งเดียว
มื้อกลางวัน บนโต๊ะอาหารมีหมูตุ๋นสมุนไพรอาหารโปรดของนาง แต่ในยามนี้นางกลับรู้สึกไม่อยากกิน กลิ่นที่เคยหอมก็ดันเหม็นขึ้นมา แต่หาใช่เพราะอาการแพ้ไม่
“เจ้าอย่าคิดมากเจินเอ๋อร์ คิดเสียว่านี่คืออาหาร”
อี้เยว่ฉีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของภรรยาที่มีต่ออาหารบนโต๊ะ เขาไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้งนาง แต่ที่นี่คือโรงหมูย่อมต้องมีแต่เนื้อหมู และเขาต้องการให้นางปลงกับสิ่งที่นางเห็น อย่างไรเสียนางก็เป็นฮูหยินของเขา เป็นฮูหยินเจ้าขอโรงหมู นางควรทำใจให้ชินเพราะเขาต้องการที่จะพานางมาที่นี่ให้บ่อยขึ้น
“ข้าป้อน”
ชายหนุ่มคีบเนื้อหมูที่ถูกตุ๋นจนยุ่ยขึ้นมาก่อนจะจ่อที่ปากภรรยา หลี่เจินเม้มปากเน้น นางยังทำใจไม่ได้ นางยังไม่พร้อมที่จะกินหมูในยามนี้ เหตุใดสามีต้องยัดเยียดมันให้แก่นางด้วย นางไม่เข้าใจ หญิงสาวน้ำตารื้นแต่สุดท้ายเมื่อเจอสายตาดุของสามีก็ต้องยอมกินแต่โดยดี
“อร่อยใช่หรือไม่ พ่อครัวคนนี้ข้าเลือกมาเอง”
หลี่เจินเมื่อได้ลิ้มรสอาหาร นางก็เปิดใจอีกครั้ง แก้มสองข้างเคี้ยวตุ่ยจนอี้เยว่ฉีอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มขาวๆด้วยความเอ็นดู การกระทำนั้นทำให้หลี่เจินใบหน้าแดงก่ำ
ภาพสองสามีภรรยาหยอกล้อกันช่างเป็นภาพที่บาดตามู่ชิงเซียนยิ่งนัก เมื่อได้ยินว่านายท่านอี้อยู่ที่สวนข้างโรงหมูนางก็รีบร้อนออกจากบ้านมาทันที ด้วยหวังว่าจะได้เจอและพูดคุยกับชายหนุ่ม แต่ทว่ากลับต้องมาพบเจอเขาหยอกล้ออยู่กับฮูหยินน่าตายผู้นั้น
ช่างน่าโมโหยิ่งนัก
มู่ชิงเซียนเจ็บแค้นใจ ยิ่งเห็นสีหน้าท่าทางมีความสุขของหลี่เจิน ใจนางก็ร้อนรุ่ม หญิงสาวเปลี่ยนเส้นทางตรงไปยังโรงเชือดเพื่อพบกับบิดา ทันทีที่เจอหน้านางก็ระบายอารมณ์ใส่เขาทันที
“ท่านพ่อ นังจิ้งจอกนั่นมาที่นี่ได้อย่างไรกัน!”
มู่อวิ้นรีบใช้มือปิดปากบุตรสาวที่โพล่งวาจาหยาบคายขึ้น เขาพานางออกมาด้านนอกห่างไกลสายตาผู้คน ก่อนจะปล่อยนางเป็นอิสระ
“อย่าพูดจาเช่นนั้นเซียนเอ๋อร์! หากนายท่านได้ยิน เจ้าจะเดือดร้อน”
มู่อวิ้นระแวงกลัวว่าผู้อื่นจะมาได้ยินเข้า มู่ชิงเซียนคิ้วขมวด ใบหน้างามยุ่งเหยิง เหตุใดสิ่งที่นางต้องการ นางถึงไม่ได้ตามปรารถนาเสียที เห็นทีนางคงหวังพึ่งท่านพ่อไม่ได้เสียแล้ว หญิงครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าจะหาทางของข้าเอง ท่านพ่อไม่ต้องมาช่วยข้าแล้ว”
“เจ้าอย่าคิดทำอะไรไม่ดีนะเซียนเอ๋อร์”
หากพลาดพลั้งทำให้นายท่านกับฮูหยินไม่พอใจ ชีวิตเขาและบุตรสาวจะเป็นเช่นไร นายท่านให้งาน ให้ที่ซุกหัวนอน หากสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป ชีวิตเขาและบุตรสาวคงไม่พ้นต้องไปเร่รอนเหมือนแต่ก่อนเป็นแน่ แต่ครั้นจะให้ห้ามปรามบุตรสาวดื้อรั้น เขาก็จนปัญญาเหลือเกิน
“ในเมื่อท่านพ่อชักช้า ข้าก็รอไม่ไหวแล้ว”
บุตรสาวเขาร้อนใจเช่นนี้ มู่อวิ้นก็พอเดาได้ว่านางคงไปพบเจอนายท่านกับฮูหยินมาเป็นแน่ เขาหนักใจนัก คราแรกก็คิดจะไปเจรจากับนายท่านเรื่องบุตรสาว แต่เมื่อเห็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองสามีภรรยา เขาก็ละอายใจเกินกว่าจะยัดเยียดบุตรสาวไปให้นายท่าน อีกทั้งนายท่านก็ไม่ได้มีความสนใจในตัวมู่ชิงเซียน คงยากที่นายท่านจะยอมรับนางเป็นภรรยาอีกคน
ครั้งนี้คงไม่อาจตามใจบุตรสาวได้
“เจ้าล้มเลิกความคิดนั่นเสียเถิดเซียนเอ๋อร์”
มู่ชิงเซียนไม่พอใจที่บิดาคิดขัดขวาง นางปาตะกร้าที่อยู่ในมือจนข้าวของกระจัดกระจาย อาหารมากมายที่นางตั้งใจเตรียมให้อี้เยว่ฉีเกลื่อนกลาดเต็มพื้น มู่อวิ้นถอนหายใจยาวก่อนเดินหนีเข้าไปในโรงเชือด ทิ้งให้บุตรสาวยืนระบายอารมณ์อยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
มู่ชิงเซียนรู้แล้วว่าบิดาคงไม่คิดช่วยเหลือนางอีกต่อไป หญิงสาวเดินตรงไปยังสวนข้างโรงหมูก่อนจะยืนมองสามีภรรยาที่ยังคงนั่งเคียงข้างกันไม่ห่าง ความริษยาล้นอกจนนางทนทานไม่ไหว หญิงสาวเดินเข้าไปหาคนทั้งสองก่อนย่อกายคำนับด้วยท่าทางอ่อนหวาน
“เซียนเอ๋อร์คารวะนายท่านและฮูหยินเจ้าค่ะ”
อี้เยว่ฉีพยักหน้านิ่งๆแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด จะมีก็เพียงหลี่เจินที่ส่งยิ้มให้หญิงสาวด้วยความอ่อนโยน แม้จะไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครก็ตาม มู่ชิงเซียนไม่แม้แต่จะมองฝ่ายภรรยา สายตานางหวานเชื่อมมองตรงไปยังผู้เป็นสามีไม่ละไปไหน หลี่เจินชะงักรู้สึกไม่สบายใจ ด้วยรู้สึกถึงความผิดปกติในท่าทางของหญิงสาวตรงหน้า
“มีอะไรก็พูดมา ข้ากับฮูหยินกำลังกินอาหาร ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมายืนมองเช่นนี้”
มู่ชิงเซียนหน้าชา เหตุใดนายท่านถึงไร้เยื่อใยเช่นนี้ นางมั่นใจว่านางก็งดงามไม่แพ้ฮูหยิน อีกทั้งวันนี้นางยังเลือกสวมชุดที่งามที่สุดและมีราคาที่สุด แต่มันช่างไร้ประโยชน์
กลับไปบ้านเมื่อใด นางจะเผาอาภรณ์ชุดนี้ทิ้งเสีย
“ขออภัยนายท่านที่เซียนเอ๋อร์เสียมารยาท แต่เซียนเอ๋อร์มีเรื่องจะขอความช่วยเหลือ”
“ว่ามา”
อี้เยว่ฉีรำคาญเต็มทน เขากำลังผ่อนคลายอยู่กับภรรยา ไม่ปรารถนาให้ผู้ใดเขามาขัดความสุขในเวลานี้ มู่ชิงเซียนอยากจะกรีดร้องเมื่อเห็นท่าทางของชายหนุ่มที่มีต่อนาง แต่นางไม่อาจยอมแพ้จึงได้กล่าวต่อ
“เซียนเอ๋อร์อยากช่วยท่านพ่อหาเงิน เซียนเอ๋อร์จึงอยากขอความเมตตา ให้นายท่านช่วยรับเซียนเอ๋อร์ไปเป็นบ่าวอีกสักคนได้หรือไม่เจ้าคะ”
ขอให้เข้าไปอยู่ที่เรือนนายท่านให้ได้ก็พอ หลังจากนั้นนางค่อยหาโอกาสเข้าหานายท่าน บุรุษอย่างไรเสียก็ไม่อาจต้านทางเสน่ห์ของสตรีได้ ถ้านายท่านได้ใกล้ชิดนางมีหรือจะอดใจได้
“บ่าวในเรือนข้ามีมากมาย”
อี้เยว่ฉีกล่าวขึ้นส่วนหลี่เจินนั่งเงียบ นางรู้สึกว่ามู่ชิงเซียนผู้นี้มีเจตนาไม่ดี คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“เซียนเอ๋อร์ทำได้ทุกอย่างนะเจ้าคะ จะให้เซียนเอ๋อร์ซักล้างหรือเป็นแม่ครัวก็ได้”
มู่ชิงเซียนต่อรองด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร หลี่เจินเหลือบมองสามีที่มีสีหน้าเรียบเฉย นางไม่กล้าออกความเห็นเพราะผู้ที่เป็นใหญ่และมีสิทธิ์ตัดสินใจคือสามีเท่านั้น
“ขอคิดสักสองสามวัน แล้วข้าจะให้คำตอบเจ้า”
ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่นั่นก็ทำให้มู่ชิงเซียนยังพอมีหวัง
คอยดูเถิด ข้าจะทำให้นายท่านหลงรักข้าจนโงหัวไม่ขึ้นให้ได้!