รุ่งเช้าของอีกวัน วันนี้สิรินทร์ตื่นเช้ากว่าเมื่อวาน คงเพราะได้พักผ่อนเพียงพอ เมื่อตื่นขึ้นแล้ว ร่างกายมันก็อยากที่จะรับเอาอากาศบริสุทธิ์ เธอเดินไปที่หน้าต่างของห้อง พร้อมสูดอากาศเข้าลึกจนเต็มปอด เธอมองลงไปด้านล่างที่ลานจอดรถ เห็นรถตู้จอดอยู่อีกทั้งรถคันอื่นก็จอดจนไม่มีที่ว่าง เธอแอบแปลกใจอยู่นิด หากว่าภากรณ์ไม่ได้ออกไปไหน ทำไมเขาไม่ได้มาวุ่นวายกับเธอเลย
สิรินทร์ตัดสินใจที่จะลงไปข้างล่าง เพราะป้าแม่บ้านก็ไม่ได้ขึ้นมาเสิร์ฟอาหารเหมือนทุกครั้ง ร่างบางก้าวเท้าจนพ้นประตูห้องก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาคอยเฝ้า เธอเดินจับราวบันไดพร้อมสายตาสอดส่ายหาลูกน้องของภากรณ์ พอลงมาถึงเหมือนอยากจะสัมผัสอากาศข้างนอก แต่ทุกอย่างเหมือนจะไม่เป็นใจ ลูกน้องของภากรณ์อีกสองคนคุมด้านนอกอยู่
“จะเฝ้าอะไรนักหนา ทำเหมือนบ้านนี้ทำของผิดกฎหมาย”
สิรินทร์ยืนบ่นอยู่สักพักก็เห็นป้าแม่บ้านถือถาดอาหารออกมา ป้าแว่นมองไปทางสิรินทร์แล้วเอ่ยถาม
“นายหญิงลงมาทำไมคะ เดี๋ยวป้าก็เอาอาหารขึ้นไปให้ หรือว่าหิวแล้ว”
“คือหนูเห็นว่าไม่มีใครขึ้นไปเลยลงมา ไหนๆหนูก็ลงมาแล้วหนูทานด้านล่างได้ไหม หนูไม่หนีไปไหนแน่”
เธอพูดอย่างเอาใจให้ป้าแว่นเชื่อใจเธอ แต่เหมือนหญิงวัยกลางคนจะฉุกคิดแล้วมองที่ถาดอาหารในมือ
“งั้น นายหญิงรอก่อนได้ไหม พอดีนายท่านไม่สบาย ป้าขอเอาข้าวต้มไปให้ก่อน”
ป้าแว่นบอกสิรินทร์แล้วเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้านฝั่งที่ภากรณ์อยู่ หญิงสาวมองตามร่างหญิงสูงวัย พร้อมความสงสัยที่มีในหัว
“เป็นอะไร”
เธอยืนถามตัวเอง ไม่นานเหมือนจะยกยิ้มแล้วพูดเบาๆออกมาแค่ตัวเองได้ยิน
“ตายซะได้ก็ดี”
หลังจากที่พูดจบก็เดินยิ้มเข้าไปในครัว เหมือนคนที่มีความสุขเปี่ยมล้น
……………………………….
ภากรณ์ที่นอนซมเพราะร่างกายอ่อนเพลีย โดยมี เข้ม ลูกน้องคนสนิทยืนเฝ้าไม่ห่าง สักพักป้าแว่นก็ถือถาดข้าวต้มเข้าไปภายในห้อง
“ข้าวต้มร้อนๆค่ะ”
หญิงแก่วางข้าวต้มแล้วชำเลืองมองไปทางกุมารทองทั้งสองที่นั่งเฝ้าภากรณ์บนที่นอน คนในบ้านที่สามารถเห็นเด็กทั้งสองได้ มีแค่ป้า กับ เข้ม เท่านั้น เพราะอาคมเปิดเนตรของภากรณ์ที่มอบให้
“หนีมาอยู่นี่กันหมด นายหญิงถึงเดินลงไปข้างล่างได้”
ทันที ที่ป้าพูด ภากรณ์ที่นอนหลับตาอยู่ก็ลืมตาตื่นขึ้นแล้วมองไปทางลูกทั้งสอง
พ่อจ๋าเราเป็นห่วงพ่อ
รักยม รีบบอกเพราะกลัวว่าภากรณ์จะดุ แต่แล้วเขากลับหันมาสั่ง เข้ม อีกครั้ง
“ไปพานายหญิงมาที่ห้องนี่”
เข้มและป้าถึงกับมองหน้ากัน เพราะห้องนี่ ภากรณ์ไม่เคยให้ใครเข้ามาสักครั้งไม่ว่าจะคนไหนๆ แต่ทำไมเด็กคนนี้ถึงมีสิทธิพิเศษได้
“นายครับ แต่..”
เข้ม เหมือนจะทักท้วงอยู่บ้าง เพราะห้องแห่งนี้เป็นห้องที่เรียกว่าส่วนตัวที่สุด อีกทั้งภากรณ์ก็ไม่เคยให้ใครได้เข้า นอกจากป้า และ เข้ม เท่านั้น
“เธอเป็นเมียกู อีกอย่างเธอไม่เหมือนกับผู้หญิงพวกนั้น ไปตามเธอมา ไม่ต้องพูดมาก”
ถึงแม้จะเจ็บป่วยเพราะร่างกายภายในมันอ่อนล้า แต่น้ำเสียงที่สั่งก็ดุดันไม่น้อย เข้ม ก้มหัวน้อมรับคำแล้วเดินออกไปนอกห้อง เวลาผ่านไปสักพัก สิรินทร์ก็เดินตามลูกน้องของภากรณ์เข้ามา สิรินทร์กวาดสายตามองห้องก็ไม่ได้ผิดแปลกอะไร เพียงแต่โทนของห้องเป็นสีดำ ดูขลังไม่น้อยพร้อมเครื่องรางหรือของต่างๆถูกจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย แถมยังมีของศักดิ์สิทธิ์อีกหลายชิ้นถูกวางในตู้กระจก แต่เธอก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะเขาเป็นพ่อมดหมอผี แถมยังเก่งเรื่องคาถาอาคม ไม่อย่างนั้นคนคงไม่ลือกันขนาดโด่งดังในโลกออนไลน์
“จะสำรวจอีกนานไหม”
คนที่นอนพิงหัวเตียงพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของสิรินทร์มองไปทางนั้นที ทางนี้ที เธอสะดุ้งเพราะคำทักแล้วเดินมาหยุดที่ข้างเตียงพร้อมด้วย เข้ม
“ทุกคนออกไปก่อน”
ภากรณ์ออกคำสั่ง ป้าแว่น และ เข้มไม่รอช้ารีบหันหลังเดินออกจากห้องเหลือแค่สองแสบที่นั่งมอง
“ได้ยินที่พ่อพูดหรือเปล่าว่าให้ออกไป”
รักยม :พ่อบอกคนไม่ใช่หรือจ้ะ
“ยังจะมายอกย้อนอีก ออกไปได้แล้ว แล้วไม่ต้องเข้ามานะ ถ้าไม่ได้เรียก”
สิรินทร์ ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเห็นเขาคุยกับสิ่งที่เธอมองไม่เห็นมาแล้ว ใช่ว่าเธอจะชิน มันยังรู้สึกขนลุกอยู่ไม่น้อย
“เธอเห็นข้าวต้มนั้นไหม”
“เห็นค่ะ”
“เอามาป้อนหน่อยสิ”
สิรินทร์ มองไปที่ชามข้ามต้มที่ป้าแว่นยกขึ้นมาวางไว้ แล้วเธอก็หันมาพูดกับภากรณ์อีกครั้ง
“คุณทานเองไม่ได้หรือไง ทำไมหนูต้องป้อน แขนคุณยังมีอยู่นิ”
เธอไม่ได้อ่อนโยนอ่อนหวานให้ภากรณ์สักนิด ใครมันจะดีด้วยได้ คนที่ย้ำยีน้ำใจ พร้อมกับขโมยความสาวของเธอไปแถมยังกักขังเธอไว้อีก
“เธอไม่เห็นหรือไง ว่าฉันป่วย แค่แรงจะลุกยังไม่มีเลย นี่มันเป็นหน้าที่ของเมียที่ต้องปรนนิบัติผัว เธอไม่เข้าใจหรือไง”
“แต่หนูไม่ใช่เมียคุณ”
พูดจบเธอก็พร้อมจะก้าวเท้าออกจากห้อง แต่เสียงของภากรณ์จะโพล่งขึ้นตามหลังเธอ
“ขืนก้าวเท้าออกไป เห็นดีกับฉันแน่ กลับมาเดี๋ยวนี้ แค่ป้อนข้าวจะอะไรนักหนา”
สิรินทร์ชะงักเธอรู้สึกกลัวกับน้ำเสียงที่มันดุดันของเขา เธอหันกลับไปมองหน้าภากรณ์แล้วก็หลับตาค้อน ก่อนที่จะเดินไปถือชามข้าวต้มมาให้
“นั่งลงแล้วก็ป้อน”
สิรินทร์ยอมจำนน ทำตามที่เขาสั่งอย่างค้านไม่ได้ เธอหน้าบูดลงจนเห็นได้ชัดใบหน้าที่น่ารักจิ้มลิ้มของเธอทำเอาภากรณ์ถึงกับยกยิ้ม
สิรินทร์ตักข้าว หมายจะใส่ไปที่ปากคนป่วย แต่แล้ว
“โอ้ย มันร้อน เป่าก่อนไม่ได้หรือไง”
“แค่แรงที่คุณจะเป่าเองก็ไม่มีหรือไง ทีเมื่อก่อนคุณ..อุบ”
เสียงที่จะด่าภากรณ์ถูกหายลงไปในลำคอของเด็กสาว ภากรณ์โน้มลำคอเธอลงไปจูบในขณะที่มือของสิรินทร์ยังถือชามข้าวต้มอยู่
“อื้ม”
สิรินทร์พยายามร้องท้วงสักพักภากรณ์ก็ถอนจูบออก แล้วจ้องมองที่ใบหน้าหวานของเธอ
“เป็นเด็กเป็นเล็กห้ามพูดมาก แล้วข้าวต้มจะได้กินหรือเปล่า ฉันหิวมากแล้วนะ”
หน้าที่บูดบึ้งอยู่แล้วยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ แล้วยังประชดประชันภากรณ์ด้วยการตักคำใหญ่ แล้วเป่าไปลวกๆ จากนั้นก็ยัดใส่ปากของชายหนุ่ม
“อื้ม..เธอแกล้งฉันหรือเปล่าเนี้ย”
“ทานไปอย่าพูดมาก”
สิรินทร์พูดแต่ไม่ได้มองหน้าภากรณ์สักนิด ส่วนภากรณ์ที่ได้ยินแบบนั้นเขากับยกยิ้มเมื่อรู้ว่าเด็กทันตัวเองจนได้
สิรินทร์ตั้งหน้าตั้งตาป้อนข้าวจนหมดชาม ภากรณ์เหมือนจะเจริญอาหารอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่อะไร เพราะเมื่อวานเขาก็ไม่ได้ทานอะไรสักนิด
“อิ่มแล้วใช่ไหม หนูจะได้กลับไปที่ห้อง”
“จะไม่เฝ้าฉันหน่อยเหรอ ฉันทำอะไรเธอไม่ได้หรอกนะแค่จะยืนยังไม่มีแรงเลย”
ภากรณ์ทำหน้าเหมือนจะอ้อน แต่สิรินทร์กับเบ้ปากใส่ เธอไม่ได้หลงลม หรือคล้อยตามสายตาของภากรณ์สักนิด
“ลูกน้องคุณก็มี อีกทั้งบริวารผีพวกนั้นก็เอามาเฝ้าสิ”
“มันเหมือนกันที่ไหนละ ถ้าหากฉันเป็นอะไรไป เธออาจเสียใจไปตลอดชีวิตนะ เพราะอดกินของอร่อย”
พูดจบภากรณ์ก็มองไปที่เป้าตัวเอง ทำให้สิรินทร์ต้องมองตาม เมื่อรู้ว่าเขาจะสื่ออะไรเท่านั้น เธอถึงกับร้องออกมา
“อี๋ คนโรคจิต”