หนึ่งเดือนต่อมา
"เพล้ง! ออกไปไม่ต้องมายุ่งกับฉัน" ภาคินปัดแก้วน้ำลงตกแตกกระจายเต็มพื้นห้องพร้อมกับตวาดใส่พยาบาลที่มาเคยดูแลตัวเอง
"ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้" สะดุ้งตกใจรีบเดินออกไปจากห้อง ตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ทันที
อัมพรกับสุวัตรกำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ในห้องนั่งเล่น พยาบาลสาวหน้าตาตื่นเดินเข้ามาในห้อง
"มีอะไรหรือเปล่าหนู"อัมพรถามขึ้น
"คือ หนูขอลาออกค่ะ"
"ฉันเข้าใจจ้ะ ไปเถอะ เดี๋ยวเงินที่ยังไม่ได้จ่ายฉันจะโอนเข้าบัญชีหนูทีหลังก็แล้วกัน"
"ขอบคุณนะคะ ที่เข้าใจ" ยกมือขึ้นไหว้แล้วเดินออกไป
"คุณฉันอยากจะเป็นลมจริงๆ" อัมพรหันไปคุยกับสามีตัวเอง
"ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว" สุวัตรถอนหายใจแรงๆ
"แต่นี้มันพยาบาลคนที่สิบในรอบหนึ่งเดือนแล้วนะคะ ฉันอยากจะบ้าตายจริงๆ"
"ผมก็จนปัญญาแล้วล่ะ ไม่มีใครเข้าหน้าคินติดเลยสักคน"
"รอมินกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน ไปดูลูกกันก่อนเถอะคุณ" อัมพรเอ่ยขึ้น
อัมพรกับสุวัตรพากันไปที่บ้านหลังเล็กเดินเข้าไปในห้อง ก็เจอข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง ส่วนภาคินก็นอนกองอยู่ตรงพื้นห้องไม่ไหวติ่ง
"ตายแล้ว!คินลูกทำไมลงมานอนตรงพื้นอย่างนี้ล่ะ"
"มาผมช่วยพยุงลูกดีกว่า คุณไปตามคนให้มาทำความสะอาดเถอะ"
"ค่ะ" อัมพรเดินออกไปเรียกคนให้มาที่บ้านหลังเล็ก
หลังจากพยุงภาคินขึ้นนั่งบนวีลแชร์แล้ว สุวัตรก็พาภาคินออกมาตรงริมสระเผื่ออารมณ์จะได้ดีขึ้น และสูดอากาศข้างนอก เพราะภาคินเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
"คินลูกอย่าทำอย่างนี้อีกเลยนะ แม่เป็นห่วงรู้ไหม"
"จริงๆ ผมน่าจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย"
"ลูกมีอะไรติดค้างอยู่ในใจกันแน่ ถึงได้หมดกำลังใจขนาดนี้ บอกพ่อมาเถอะ" สุวัตรตบไหล่ลูกชายเบาๆ
"ไม่มีครับ"
"เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรเก็บไว้คนเดียวรู้ไหม มันจะทำให้ลูกอึดอัดเสียเปล่าๆ "
"บอกมาเถอะนะลูก เผื่อมันจะทำให้ลูกดีขึ้นมาบ้าง"อัมพรเอ่ยเสริมขึ้น
"ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ผมอยากอยู่คนเดียว"
"จ้ะ ไปกันเถอะคุณ" อัมพรชวนสามีตัวเองออกไปจากบริเวณ
พอตกเย็นมินก็กลับเข้าบ้าน หลังจากที่กลับมาจากร้านกาแฟของตัวเอง เดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ ก็เจออัมพรกับสุวัตรนั่งอยู่ตรงห้องนั่งเล่น เธอจึงเดินเข้าไปหาคนทั้งคู่
"อ้าว มาแล้วเหรอลูก"อัมพรเอ่ยขึ้น
"ค่ะ" ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟานุ่ม
"เหนื่อยไหมวันนี้"
"ก็นิดหน่อยค่ะ"
"แล้วแวะไปหาพี่คินหรือยัง"
"ยังเลยค่ะ กะว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไปพามาทานข้าวด้วยกัน"
"พยาบาลคนที่สิบเพิ่งลาออกไปเมื่อตอนเช้านี้เอง"
"อะไรนะคะ! เอาอีกแล้วเหรอ" มินถอนหายใจแรงๆ แล้วจะให้เธอไปหาพยาบาลที่ไหนมาให้พี่ชายเธออีก ไม่มีใครทนได้เลยสักคน
"แม่อยากจะเป็นลมวันละสิบรอบ จ้างพยาบาลมาสิบคนในรอบหนึ่งเดือน ไม่มีที่ไหนเขาเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่นอย่างนี้หรอก คงมีแต่บ้านเรานี้แหละ" อัมพรเอ่ยขึ้น
"คุณแม่ค่ะใจเย็นๆ นะคะ"มินลุกขึ้นไปนั่งลงข้างอัมพร
"แม่ไม่รู้จะช่วยพี่คินเขายังไงแล้ว แม่จนปัญญาแล้วจริงๆ "
"ยังมีอีกหนึ่งคนค่ะ ที่น่าจะพอช่วยเราได้"
"ลูกหมายถึงใคร"
"มะลิค่ะ"
"จริงด้วยสิ แม่ก็ลืมไปเลย" อัมพรยิ้มหน้าบาน
"แล้วจะเอาเจ้าคินอยู่เหรอ พ่ออย่าเลยดีกว่า" สุวัตรส่ายหน้า
"ลองดูก่อนก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนะคะ"
"ตามใจก็แล้วกัน ถ้าหนูมะลิทนได้ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าทนไม่ได้ก็คงไม่มีใครทนได้อีกแล้วล่ะ" สุวัตรเอ่ยขึ้น
"เดี๋ยวหลังทานข้าวเสร็จมินจะโทรหามะลิเองค่ะ ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ"ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
หลังจากที่มินอาบน้ำเสร็จก็ไปหาภาคินที่บ้านหลังเล็ก เห็นภาคินยังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัว เธอจึงช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้ภาคินเพราะไม่มีพยาบาลคอยช่วยเหลือแล้ว พอเสร็จก็เข็นภาคินไปทานข้าวที่บ้านหลังใหญ่
"พี่คินมินจะหาพยาบาลให้ใหม่นะ" ตักกับข้าวใส่จานภาคิน
"ไม่ต้องหรอก"
"แต่คนนี้พี่อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ"
"ใคร"
"ไม่บอกค่ะ พี่คินต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ แต่ก่อนอื่นต้องคุยกับเขาก่อนว่าจะยอมมาไหม"
"เสียเวลาเปล่าๆ" ภาคินพูดด้วยความเบื่อหน่าย
"ถ้าคนนี้พี่ไล่เขาอีก มินก็จนปัญญาจะหาใครมาแล้วล่ะค่ะ" ทำหน้าเศร้า
"แล้วจะจ้างมาให้สิ้นเปลืองทำไม"
"พี่คิน ที่พวกเราทำทุกอย่างก็เพื่อตัวพี่เองนะคะ อย่าพึ่งท้อเลย"
ภาคินเงียบไม่โต้ตอบใดๆ ก้มหน้าทานข้าวต่อ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ช่วยให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้งไม่ได้หรอก คิดแล้วก็น่าสมเพชตัวเองขึ้นมา จะอยู่หรือตายก็มีค่าเท่ากัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะหวังให้เขากลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
พอทานข้าวเสร็จมินก็ไปส่งภาคินที่บ้านหลังเล็ก จากนั้นก็กลับมาที่บ้านหลังใหญ่เข้าห้องเพื่อโทรหามะลิ ความหวังเดียวที่พอจะมีในตอนนี้เพราะเธอยังคิดอะไรไม่ออกว่าจะมีใครมาช่วยแล้วในตอนนี้ มินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหามะลิทันที
"ฮัลโหลมะลิ นอนหรือยัง"
"กำลังจะนอนจ้ะ มีอะไรหรือเปล่า"
"ฉันมีเรื่องจะขอร้องเธอหน่อย ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วในตอนนี้ มันมืดแปดด้านไปหมด"
"เรื่องอะไรบอกฉันมาได้เลย เผื่อฉันจะช่วยได้"
"คือพยาบาลที่จ้างมาดูแลพี่คินลาออกไปหมดแล้ว เธอรู้ไหมไม่มีใครทนพี่คินได้เลยสักคน ฉันก็เลยอยากขอให้เธอมาคอยดูแลพี่คินได้ไหม "
"คือฉันมีงานอยู่แล้ว ถ้าฉันจะไปดูแลพี่คินฉันก็คงต้องลาออกจากโรงพยาบาลก่อน"
"ฉันรู้แต่ฉันมองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ นอกจากเธอ ถ้าเธอตกลงเงินเดือนเธอจะเรียกเท่าไหร่ ฉันไม่เกี่ยงเลยนะ บอกมาได้เลย"
"เรื่องเงินมันไม่สำคัญหรอก ฉันก็อยากจะช่วยอยู่นะ ฉันขอปรึกษาพ่อกับแม่ก่อนก็แล้วกัน"
"ได้สิ ฉันหวังว่าเธอจะตกลงนะ ในเร็วๆ นี้นะ"
"แล้วพี่คินเขาเป็นยังไงบ้างตอนนี้"
"ก็เหมือนเดิมนั้นแหละ ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว"
"ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นไม่ดีแน่"
"ก็นั้นแหละ ฉันเลยอยากให้เธอมาช่วยหน่อย ขอร้องล่ะนะมะลิ"
"ฉันเข้าใจเธอนะ ก็อย่างที่บอกฉันขอปรึกษาพ่อกับแม่ก่อน"
"ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าเธอตกลงฉันอยากให้เธออยู่ดูแลพี่คินจนเดินได้เลยนะ จะกี่เดือนกี่ปีฉันก็จะรอ"
"แล้วถ้าฉันไปจริงๆ พี่คินเขาจะให้ฉันช่วยเหลือดูแลเขาเหรอ"
"ฉันเชื่อว่าเธอทำได้ ขออย่างเดียวแค่เธออดทนก็พอ"
"ขอบคุณนะ ที่เธอเชื่อในตัวฉันได้คำตอบเมื่อไหร่ฉันจะบอกเธออีกทีก็แล้วกัน"
"จ้ะ หวังว่าเธอจะตกลงนะ งั้นฉันไม่กวนเธอแล้ว นอนเถอะ"
"จ้ะ ฝันดีนะ"
มะลิวางสายจากมินไปก็ล้มตัวลงนอนแต่กลับนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นไปยืนสูดอากาศริมหน้าต่าง ในหัวก็คิดเรื่องที่มินขอร้องเธอให้ไปช่วยดูแลภาคิน ขนาดพยาบาลก่อนหน้านั้นยังอยู่ไม่ได้ แล้วเธอล่ะจะทนอยู่ได้ไหม อีกอย่างภาคินจะให้เธอเข้าใกล้เขาไหม แต่อีกใจหนึ่งเธอก็อยากช่วยให้ภาคินมีกำลังใจกลับมาสู้อีกครั้งถึงจะช่วยได้ไม่มาก ถ้าจะลองดูคงจะไม่เสียหายอะไร มะลิเดินกลับไปที่เตียงล้มตัวลงแล้วข่มตาลง
ด้านภาคินนอนเอาแขนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง เพราะนอนไม่หลับ ในหัวก็นึกถึงคำพูดของมินที่บอกว่าจะหาพยาบาลคนใหม่มาดูแลเขาอีก กำลังจะปิดไฟหัวเตียง แต่กลับสะดุดตากับการ์ดที่มะลิเคยให้เขา จึงหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้งพออ่านเสร็จก็ล้มลงนอนแล้วหลับตาลง
วันต่อมา
มะลิกำลังนั่งทานข้าวกับหมอต้นอยู่ที่โรงอาหาร ติ๊ดๆๆ เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น พอเห็นเป็นเบอร์มินก็รีบรับทันที
"ฮัลโหลมิน"
"ตอนนี้เธอว่างไหม ฉันเอาเค้กมาฝากเธอรออยู่ตรงหน้าโรงพยาบาลสะดวกมารับไหม"
"ได้สิ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ" รีบลุกขึ้นยืนจะเดินออกไป
"เดี๋ยวมะลิพี่ไปด้วย"หมอต้นลุกขึ้นยืนจะตามออกไป
"มะลิไปเองได้ค่ะ พอดีมินเอาเค้กมาฝาก"
"ไม่เป็นไร พี่ไปด้วย"
"ก็ได้ค่ะ"มะลิเดินนำออกไป
พอไปถึงหน้าโรงพยาบาลก็เจอมินถือกล่องเค้กยืนรออยู่ตรงข้างรถตัวเองแล้ว
"มาแล้วเหรอ"มินเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าหมอต้นที่เดินตามหลังมะลิมา
"รอนานไหม"
"ไม่นานจ้ะ รับไปสิฉันเอามาฝาก"
"ขอบใจจ้ะ"ยื่นมือไปรับกล่องเค้กจากมิน
"ฉันรอคำตอบอยู่นะ อย่าลืมล่ะ"
"ฉันไม่ลืมหรอกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะกลับไปคุยกับพ่อแม่ที่บ้านก่อน ได้คำตอบยังไงจะโทรบอกอีกที "
"งั้นฉันกลับร้านก่อนนะ กลับก่อนนะคะหมอต้น"ส่งยิ้มให้คนทั้งคู่
"ครับ ไว้ผมจะไปที่ร้านอีก"
"ค่ะ"
มะลิกับหมอต้นรอจนรถมินลับตาไปจึงกลับเข้าไปที่โรงอาหาร เพื่อทานข้าวต่อ แต่หมอต้นกลับสงสัยกับคำพูดของมินกับมะลิที่พูดคุยกันเมื่อกี้
"พี่ต้นมีอะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้มองหน้ามะลิแปลกๆ"
"คือพี่แค่สงสัยในคำพูดของมะลิกับมินเมื่อกี้นิดหน่อย ว่ารอคำตอบอะไรกัน"
"อ่อ พอดีมินเขาขอให้มะลิไปช่วยดูแลพี่ชายเขาที่บ้านค่ะ"
"หมายความว่ายังไง พี่ไม่เข้าใจ"
"คือพี่ชายมินเขาประสบอุบัติทำให้เดินไม่ได้ค่ะ ก็เลยขอให้มะลิไปช่วยดูแลช่วยเหลือกายภาพอะไรพวกนี้ค่ะ เย็นนี้มะลิจะไปพูดกับพ่อแม่ก่อน"
"งั้นถ้ามะลิตกลง ก็เท่ากับว่ามะลิต้องลาออกใช่ไหม"
"ใช่ค่ะ"
"งั้นถ้ามะลิไปจริงๆ พี่คงจะเหงาแย่เลยล่ะ"
"แม้ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ"
"พี่พูดจริงๆนะ จะเป็นไรไหมถ้าพี่จะขอคบกับมะลิเป็นแฟน" ตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ
"อย่าเลยค่ะ เป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมดีกว่า"
"พี่รู้ว่ามะลิยังไม่พร้อม แต่พี่จะรอนะ"
"พี่ต้นอย่าเสียเวลารอเลยค่ะ มะลิเห็นพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น อย่าทำให้มะลิต้องลำบากใจเลยนะคะ"
"ก็ได้พี่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก ถ้ามันทำให้มะลิไม่สบายใจ"
"ขอบคุณค่ะ ที่เข้าใจ"
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จมะลิกับหมอต้นก็แยกย้ายกันไปทำงาน ในส่วนของตัวเอง
ถึงเวลาเลิกงานมะลิให้จอบพ่อของเธอไปรับที่โรงพยาบาลเพื่อไปค้างที่ไร่เจริญกิจเพราะวันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของเธอ และจะได้พูดคุยปรึกษากับพ่อแม่เรื่องของภาคิน ว่าจะทำยังไงกันดี
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกนั่งทานข้าวไปด้วยกันพร้อมกับพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย มะลิจึงเปิดประเด็นเรื่องของภาคินขึ้นมา
"พ่อแม่ มินเขาขอร้องให้หนูไปช่วยดูแลพี่คิน พ่อกับแม่จะว่ายังไงจ้ะ"
"จริงเหรอ ทำไมล่ะพยาบาลก็มีตั้งเยอะแยะ" อิ่มเอ่ยขึ้น
"ไม่มีใครทนได้ซักคนเลยจ้ะแม่"
"แล้วถ้าลูกไปจะทนได้เหรอมะลิ" อิ่มเอ่ยขึ้น
"แต่มินเขาไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ก็เลยต้องมาขอร้องหนู"
"แล้วหนูคิดว่าตัวเองทำได้ไหมล่ะ"
"หนูไม่รู้ว่าพี่คินเขาจะยังไง แต่หนูอยากช่วยค่ะ มินเขาอุตส่าห์มาขอร้องให้ช่วย"
"ตามใจลูกก็แล้วกัน จะว่าไปก็สงสารคุณคินเขาอยู่นะ " อิ่มเอ่ยขึ้น
"แล้วพ่อล่ะค่ะ ว่ายังไง"
"ถ้าหนูอยากช่วยก็ทำไปเถอะ เอาที่หนูสบายใจก็แล้วกัน"
"งั้นเดี๋ยวถ้าหนูกลับไปทำงาน หนูจะไปทำเรื่องลาออกไว้เลยก็แล้วกันค่ะ"
"เขาคงหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้มาขอร้องมะลิให้ช่วย" อิ่มหันไปคุยกับสามีตัวเอง
"ใช่ พ่อหวังว่าหนูจะทำได้นะ"
"ขอบคุณค่ะ"
หลังทานข้าวเสร็จมะลิก็ไปเดินเล่นแถวบริเวณรั้วกั้นระหว่างไร่เจริญกิจกับสวนส้มของภาคิน ถ้าวันนี้เขายังเดินได้เป็นปกติเธอคงจะเห็นเขาคุมคนงานอยู่ในสวน จนถึงมืดค่ำ บางวันก็ค้างอยู่ที่บ้านพักในสวนส้มเลยไม่ยอมกลับบ้าน
มะลิเดินไปเรื่อยๆ เพื่อย่อยอาหารและชมสวนดอกไม้ พอนึกขึ้นได้ว่าจะต้องบอกมินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรออกหามินทันที
"ฮัลโหลมิน"
"ว่าไงมะลิ มีข่าวดีใช่ไหม"
"ใช่จ้ะ ฉันตกลงจะช่วยดูแลพี่คินให้นะ"
"ฉันดีใจจังเลย ไม่รู้จะพูดอะไรดี ขอบใจมากๆ นะ ที่ยอมออกจากงานมาเพื่อพี่คิน"
"ฉันเต็มใจจ้ะ อีกอย่างเราก็เป็นเพื่อนกัน เพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วใครจะช่วยล่ะ"
"ถ้าเธอยืนอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ ฉันจะทั้งกอดทั้งหอมเลยล่ะ"
"แม้ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ฉันรู้ว่าเธอดีใจ"
"แล้วจะมาได้วันไหนล่ะ"
"ฉันต้องทำเรื่องลาออกก่อน ถ้าโรงพยาบาลอนุมัติเมื่อไหร่ ฉันจะบอกเธออีกทีนะ"
"ได้เรื่องยังไงก็โทรมาบอกกันด้วยนะ"
"จ้ะ ฉันจะบอกอีกทีก็แล้วกัน"
"ขอบใจมากนะ ที่ยอมทิ้งงานมาเพื่อพี่คิน"
"จ้ะ ฉันเต็มใจช่วยอยู่แล้ว"
"งั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันไปบอกพ่อกับแม่ก่อน"
"จ้ะ ไว้เจอกันนะ"พอพูดจบมะลิก็กดวางสายทันที
ด้านมินพอวางสายจากมะลิก็รีบไปบอกสุวัตรกับอัมพรทันที แต่ยังไม่บอกภาคินเพราะเธออยากจะเซอร์ไพรส์ภาคิน ในวันที่มะลิมาที่บ้านเลย
มะลิเดินกลับจากเดินเล่นเข้าไปข้างในบ้าน ตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง นั่งลงบนเตียงนอน จากนั้นก็ยื่นมือไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะหัวเตียง หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีน้ำเงินของภาคิน ที่เขาให้เธอใช้ปิดแผลหกล้มหัวเข่าถลอก ในสวนส้มของเขาเมื่อหลายปีก่อน พอนึกถึงทีไรเธอก็อดที่จะยิ้มออกไม่ได้