ตอนที่5. ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า

1592 Words
ยิหวาลุกขึ้นจากโต๊ะคอมพิวเตอร์เพื่อหยิบพจนานุกรมแต่แล้วเธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าด้านนอกมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา   หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่างปลายนิ้วแตะกระจกหน้าต่างเบาๆ แล้วลากเส้นบนกระจกอย่างไม่รู้ตัว      เธอกำลังเขียนสารคดีชุดหนึ่งเพื่อใช้มันส่งประกวดและเผื่อไว้สมัครงานที่นิตยสารท่องเที่ยวที่อื่นความจริงที่ไม่อาจจะหลอกตัวเองได้ว่าเธอคงไม่มีวันได้ทำงานสายข่าวการเมืองแน่ๆ หากบิดาของเธอยังคงสนุกสนานกับการเล่นการเมือง   เธอถูกกีดกัดทุกวิถีทางไม่ให้ทำงานอะไรที่ข้องเกี่ยวกับการเมือง ดูมันจะไร้สาระไปหน่อยโดยเฉพาะพ่อแม่ที่แยกทางกันแล้ว  พ่ออาจจะไม่ไว้ใจและคิดว่าเธอต้องคิดแก้แค้นขุดคุ้ยเอาเรื่องเน่าๆ ในวงการการเมืองมาเล่นงาน     เธอไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการเป็นกระบอกเสียงที่ซื่อสัตย์ให้พี่น้องประชาชนเท่านั้น    แต่ถึงกระนั้นเธอก็ควรสำนึกบุญคุณของพ่อที่ยังส่งให้เธอเรียนจนจบมหาวิทยาลัยอย่างไม่เดือดร้อน และนี่อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่ผลักดันให้เธอหางานทำให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้เป็นที่พึ่งของแม่ได้             ชีวิตมันต้องก้าวไปข้างหน้า    ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องก้าวต่อไป             ยิหวาให้กำลังใจตัวเอง      ตอนนี้เธอกำลังหาข้อมูลเกี่ยวการปล่อยสารพิษของโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของสัตว์เลื้อยคลาน      แต่ยิ่งทำยิ่งเจอแต่ปมปัญหามกมายจนรู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าสู่เรื่องที่ไม่ควรรู้                 กริ๊งงงงงง             ร่างเพรียวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านที่วางไว้อยู่ใกล้เตียงนอน      เธอรีบผวาไปรับสายทันที  “ยิหวาค่ะ”             “หวา!ไปทำข่าวงานประกาศผลรางวัลฯได้ไหม”             “ทำไมละคะ ก็พี่ชิงให้คนอื่นไปทำแล้วนี่”   เธอกรอกเสียงตอบประสาทหูยังได้ยินเสียงวุ่นวายจากปลายสายจึงเดาได้ไม่ยากว่าบก.หนุ่มยังอยู่ที่ทำงาน        เธอจึงไม่แปลกใจที่บก.ขี้เหนียวของเธอจะโทรศัพท์เข้าบ้านเพื่อประหยัดเงินของบริษัทฯ             “ใช่แต่คนมันท้องเสียจะให้ไปยังไง คนอื่นพี่ก็ส่งไปที่อื่นหมดแล้ว”             “รู้สึกเหมือนตัวเองมีค่ายังไงไม่รู้”  เธอรู้ว่าบก.ไม่อยากให้เธอไปต่อปากต่อคำกับใครเท่าไหร่นักจึงส่งไปทำสัมภาษณ์งานในส่วนอื่นมากกว่า                “ตกลงเราไปน่ะ”                         “ทำอย่างกะหวาจะเลี่ยงได้”  เธอหัวเราะแล้วหยิบปากกาวนเป็นวงกลมที่ตัวเลขบนปฏิทินตั้งโต๊ะ“แต่งตัวยังไงก็ได้ใช่ป่ะ”             “อย่าให้สวยเกินดาราแล้วก็อย่าให้ขี้เหร่ขนาดขายหนังสือพิมพ์หน้าก็พอแล้ว”             “งานหนักเลยนะเนี่ย”      เธอเอาปากกาเคาะหัวตัวเองสองสามครั้ง “ไปกับใครคะ”             “หวานใจแกนั้นแหละ”                “โอเคถ้าไปกับคนรู้ใจก็ไม่มีปัญหาค่ะ”       เธอยิ้ม “มีค่าโอทีไหมคะ”             “ยังจะมาพูดมากอีก แค่นี้นะพี่ยุ่งวะ”             “เจ้าคะพี่ชิง...”             “ชิงชัย! พูดให้มันครบๆ หน่อยซิ”             ปลายสายวางโทรศัพท์ไปแล้วยิหวาจดบันทึกงานก่อนจะวางหูแล้วเดินลงมาชั้นล่าง      แม่กับปลายรุ้งยังนั่งคุยกันอยู่หน้าจอโทรทัศน์ บนโต๊ะเตี้ยๆ มีหนังสือเล่มหนาหลายเล่ม   คุณช่อแก้วเคยเป็นครูภาษาอังกฤษมาก่อนจึงคอยช่วยเหลือตรวจดูความถูกต้องในการแปลหนังสือของปลายรุ้งเสมอๆ             ปลายรุ้งเงยหน้ามองยิหวาที่ก้าวลงบันไดแล้วก็หลบตาวูบในขณะที่คุณช่อแก้วยังนั่งนิ่งๆ แสร้งเปิดนิตยสารเหมือนไม่สนใจอะไร                     แต่ยิหวาก็ยิ้มที่มุมปากยกมือเท้าเอวตรงหน้าสองสาวต่างวัย             “แอบฟังโทรศัพท์หวาอีกแล้วละซิ”                        ปลายรุ้งสะดุ้งเฮือกเธอเป็นคนเก็บอาการไม่อยู่ยิ่งถ้าโกหกมองตาก็รู้แล้ว   แต่คุณช่อแก้วเงยหน้ามองลูกสาวยิ้มๆ “แม่เป็นคนต่อโทรศัพท์ให้ลูกเอง แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นความลับนี่”             “ไม่มีอะไรเป็นความลับเลย           ยิหวาเป็นคนของทุกคนอยู่แล้วค่ะ”             เธอย่นจมูกรู้ดีว่าเถียงกับแม่ยังไงก็ไม่มีวันชนะเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่แม่ยกเอามาใช้กับเธอได้หรอก          “งั้นเข้าปัญหาเลยแล้วกัน  พรุ่งนี้หวาจะใส่ชุดอะไรไปทำงานดี”             “กระโปรงซิจ๊ะ หวาต้องใส่กระโปรงจะได้สุภาพถูกกาลเทศะด้วย”     ปลายรุ้งรีบเสนอความคิด             “นั้นแหละปัญหาใหญ่     หวาไม่รู้จะใส่กระโปรงตัวไหนค่ะ”     ไม่ใช่เธอไม่มีกระโปรงแต่เรื่องการแต่งตัวนี่เป็นปัญหาใหญ่ของเธอ          เพราะปกติใส่แต่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนไปทำงานจนแทบไม่เคยใส่กระโปรงเลยด้วยซ้ำ             “ถ้าอย่างนั้นเราไปเปิดตู้เสื้อผ้ากันดีกว่า”     คุณช่อแก้วเดินนำลูกสาวขึ้นมาที่ห้องของยิหวา        แล้วเปิดตู้เสื้อผ้าของยิหวาออก           ซึ่งก็มีแต่เสื้อสีขาวกับดำและกางเกงยีนเสียส่วนใหญ่                        “เปิดตู้กี่ที่ก็เหมือนเดิมมีแต่เสื้อผ้าสีงานศพ”             “โธ่แม่! ก็หวาชอบของหวาแบบนี้นะ”  ยิหวาเดินไปนั่งที่ปลายเตียง   “แม่หยิบอะไรก็ได้ออกมาสักชุดเถอะหวาจะได้รู้ว่าพรุ่งนี้หวาจะใส่อะไรไปทำงาน”             คุณช่อแก้วกับปลายรุ้งช่วยกันเลือกเสื้อผ้าในตู้ของยิหวา  เสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้นเธอรีบกดรับเมื่อเห็นชื่อที่ปลายทางที่โชว์อยู่บนหน้าจอ                    “พี่หวา!ช่วยพวกเราด้วย!”             “เอ็ม! ตอนนี้อยู่ไหน”             “ผมอยู่ถนนพระอาทิตย์ฮะพี่! ตำรวจจับพวกเราแต่พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิดนะฮะ”             “ใจเย็ยๆ พี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ยิหวาลุกขึ้นแล้วฉวยเสื้อยืดสีขาวที่ปลายรุ้งถือไว้พอดีกับกางเกงยีนสีดำที่คุณช่อแก้วหยิบออกมาวิ่งผลุบเข้าไปในห้องน้ำแล้วออกมาในชุดทะมัดทะแมง                “ดึกแล้วจะไปไหนหรือลูก”             “พวกน้องๆ ที่หวาเคยทำสัมภาษณ์ถูกตำรวจจับคะ หวาจะไปดู”             “คุณพระช่วย”    คุณช่อแก้วยกมือทาบอก “เรื่องอะไรเนี่ย”             “กลับมาหวาจะเล่าให้ฟัง ปลายฝากดูแม่ด้วยนะ”             ยิหวาหยิบย่ามใบเก่งแล้วรีบวิ่งลงมาชั้นล่างคว้ากุญแจรถแล้วกระโจนออกไปอย่างไม่กลัวสายฝนที่โปรยปรายลงมากลางดึก รถเต่าสีเขียวทำงานทันทีอย่างไม่งอแงแล้วพาหญิงสาวมุ่งไปสู่จุดหมาย     เธอไม่ได้สังเกตเลยว่ามีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าบ้านเธอนิ่งนานแล้วขับเคลื่อนตามหลังเธอมาราวกับเงาที่คอยระวังภัย             ใช้เวลาเพียงไม่นานนักยิหวาก็มาถึงสถานทีตำรวจ    สายตาของเธอมองกวาดไปยังเด็กหนุ่มที่เคยพบปะพูดคุย      แล้วร่างเธอก็รีบมุ่งไปยังกลุ่มเด็กเจ็ดแปดคนที่เรียงกันอยู่หน้าตำรวจนายหนึ่งเหมือนกำลังลงบันทึกประจำวัน             “เอ็ม!”             “พี่ยิหวา”   หนึ่งในนั้นร้องขึ้นอย่างดีใจที่เห็นยิหวามาตามที่พูดไว้จริงๆ             “คุณตำรวจคะ มีเรื่องอะไรหรือคะ” ยิหวาเข้าไปถามตำรวจนายหนึ่งที่กำลังลงบันทึกประจำวัน             “ทะเลาะวิวาท”             “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”     ยิหวาหันไปมองใบหน้าเด็กหนุ่มแต่ละคนที่หน้าตาบวมช้ำ หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ก่อนสูดลมหายใจลึก    “ดิฉันเป็นผู้ปกครองของเด็กพวกนี้ค่ะ”             คำพูดของยิหวาทำเอานายตำรวจจ้องมองใบหน้าหวานอย่างงุนงงแต่ก็ทำตามที่หญิงสาวต้องการ ร้านข้าวต้มรอบดึกใกล้ศาลเจ้าพ่อหนูมีเด็กหนุ่มห้าคนที่กำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อย      ทั้งผัดผักบุ้ง,ยำไข่เค็มและไข่เจียวทอดก็หมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ยิหวาได้แต่ดื่มชาร้อนมองฝนที่ยังโปรยปรายลงมาบางเบาลงกว่าเดิม “อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ” “ฮะพี่หวา”         ‘เอ็ม’ เด็กหนุ่มวัยสิบห้าที่สนิทกับยิหวามากที่สุดเอ่ยขึ้น “พวกเราต้องขอบคุณพี่ยิหวามากๆ ไม่ค่อยมีใครใส่ใจพวกเราเหมือนพี่หวาเลย“ “ถ้าพี่ไม่เคยทำสัมภาษณ์พวกเธอก็คงมองพวกเธอไม่ต่างจากคนอื่นนักหรอก” ยิหวายกมือขึ้นรองใต้คาง “พวกเธอเป็นเด็กดีและมีความมุ่งมันไปสู่ฝันน่าสนับสนุนกว่าเด็กที่วันๆ ทำตัวไร้สาระ แต่อย่าให้มีเรื่องอีกเพราะใกล้วันประกวดเต้นB-Boyแล้วพี่เป็นห่วง” “พวกเราจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังฮะ”   เอ็มให้คำมั่นสัญญา         เมื่อราวๆ สองเดือนก่อนยิหวามาเก็บสัมภาษณ์พวกเขาซึ่งกำลังฝึกเต้นB-Boyอยู่ที่สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์   B-Boy  หรือ  Break Boy คือชื่อที่ใช้สำหรับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงใช้คำว่า B-Girl ย่อมาจาก Break Girl ทั้งสองอย่างนี้รวมกัน เรียกว่า Break danceหนึ่งในกีฬา X Games ท้าทายใจวัยรุ่นที่เห็นได้ตามสวนสาธารณะ  และห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆหลายแห่ง   แต่ถ้าใครเคยผ่านมาที่สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์ในช่วงเย็น แดดร่มกำลังดี  ก็จะพบเพื่อนๆกลุ่มหนึ่งที่โชว์ลีลา Break dance  ได้ประทับใจคนดูมากๆ   
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD