ภากรแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่อาจคำสั่งของบิดาได้จึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม ชัยรัมภาลอบถอนหายใจ หล่อนไม่อยากอยู่กับเขาสองต่อสอง
“ไปสิหนูรัมภา ถึงบ้านแล้วโทรบอกลุงด้วยนะ”
“นี่ตกลงผมหรือเธอที่เป็นลูกคุณพ่อเนี่ย เคยห่วงผมแบบนี้บ้างไหม” ภากรตัดพ้อ
คงเดชส่ายหน้าอย่างไม่สนใจในคำพูดของลูกชายเท่าไหร่นัก เขาดันหลังให้ทั้งสองคนเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยกันก่อนจะกดปิดประตูลิฟต์ให้เสร็จสรรพ
“ส่งให้ถึงบ้านนะ” มิวายย้ำกำชับทิ้งท้ายมาอีกรอบ
ประตูลิฟต์ปิดลง ภายในลิฟต์เงียบสงัดดุจป่าช้า ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาเลย พวกเขาไม่แม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ ต่างฝ่ายต่างยืนกันคนละมุม
“เดี๋ยวพอถึงข้างล่าง ฉันจะกลับเองนะคะ คุณไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ”
ชัยรัมภาเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำ ภากรมองหล่อนอย่างไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีเหมือนรังเกียจกัน
“ทำไม ที่บ้านมีอะไรซ่อนไว้แล้วไม่อยากให้ฉันเห็นหรือไง ถึงไม่ให้ไปส่ง”
“คนที่ไม่อยากไปส่งคือคุณต่างหาก ฉันก็แค่สนองในสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น”
เธอตอบเรียบนิ่ง น้ำเสียงและสีหน้าที่ดูเย็นชาของหล่อน ยิ่งกระตุ้นให้ร่างสูงไม่พอใจ ทั้งที่หล่อนจนตรอกและตกต่ำถึงขนาดต้องขายตัวเองเพื่อเงินแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงยังกล้าทำตัววิเศษวิโสต่อหน้าเขาอีก
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะไปส่ง”
“ไม่เปนไรค่ะ”
“แต่ฉันจะไป” เขายืนยันคำเดิม
น้ำเสียงและท่าทางเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ของเขาทำให้ชัยรัมภาเผลอส่ายหน้าอย่างระอา เวลาแค่แปดปี เขาเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ ช่างแตกต่างจากภากรคนเดิมที่หล่อนเคยรู้จัก
ราวฟ้ากับเหว…
หมายถึงคนตรงหน้าในตอนนี้คือเหวสำหรับเธอล่ะนะ
แปดปีก่อน
‘ภาครับ ผมซื้อน้ำมาให้’
เป็นอีกครั้งที่ ‘ภากร’ หนุ่มหล่อคณะวิศวะฯ มาหาเธอถึงคณะดนตรีสากล เขาเฝ้าตามจีบชัยรัมภามานานถึงสามเดือนแล้ว ชายหนุ่มเห็นเธอครั้งแรกในงานกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย วันนั้นหล่อนคิดแสดงเปียโนเพื่อเปิดงาน
ภากรตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ ช่วงเวลาที่ชัยรัมภาเล่นเปียโน เขารู้สึกราวกับตัวเองหลุดเข้าไปในโลกที่มีเพียงเขาและเธอ เพลงที่หล่อนเล่นเปรียบเหมือนน้ำชโลมหัวใจที่เจ็บปวด หัวใจของภากรอบอุ่นทุกครั้งที่ได้ฟังเปียโนของเธอ
ตั้งแต่วันนั้น ภากรก็ไม่ลังเลที่จะสารภาพรักและตามจีบเธอตรงๆ ชัยรัมภาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาเพราะรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ได้ประสงค์ร้าย หากแต่เธอก็ไม่ได้ตอบรับความรู้สึกเช่นกัน ด้วยหญิงสาวมีความฝันที่อยากจะทำให้สำเร็จ จึงไม่ได้คิดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่ก็ยอมรับได้เต็ปากว่าภากรคือเพ่อนชายที่สนิทที่สุดในเวลานี้
‘ขอบคุณนะคะ คุณไม่ต้องซื้อน้ำมาให้ภาทุกวันก็ได้ ภาเกรงใจ’
‘ไม่เป็นไรครับ อันที่จริงก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ผมอยากมาเจอภา อยากได้พลังก่อนไปทำงานน่ะครับ’
เขาตอบอย่างยิ้มแย้ม ภากรทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้า อันที่จริงฐานะเขาก็ไม่ได้ลำบากถึงขนาดต้องทำงานไปเรียนไป แต่ชายหนุ่มอยากหาประสบการณ์เอาไว้ก็เลยไปสมัครงาน ทว่า หากเทียบกับคุณหนูอย่างชัยรัมภา เขามันก็แค่หมาวัดที่หวังจะเด็ดดอกฟ้าอยู่ดี
‘จริงสิ อีกสามวันคุณพ่อของผมก็จะกลับมาแล้วนะครับ หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายปี’
‘ดีใจด้วยนะคะ คุณพูดถึงคุณพ่อบ่อยมาก ในที่สุดก็จะได้เจอสักทีนะคะ’
ชัยรัมภาดีใจกับเขาจากใจจริง เพราะภากรเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองให้เธอฟังเยอะแยะ ทำให้เธอค่อนข้างรู้เรื่องราวของเขามากพอสมควร
‘เอ่อ…’ ท่าทางเหมือนเขามีอะไรอยากจะพูด
ชัยรัมภาสังเกตเห็นชายหนุ่มอึกอักๆ จึงเอ่ยถาม
‘มีอะไรหรือเปล่าคะ’
‘ที่จริงแล้ว…วันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของผม ผมอยากพาคุณไปดินเนอร์ฉลองด้วยกัน จะได้ไหมครับ’
เขากลั้นใจถามออกไป ชายหนุ่มหลับตาปี๋ ไม่กล้าจะเปิดตามองหน้าเธอเสียด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ
‘ได้สิคะ วันเกิดของคุณทั้งทีนี่นา’ ชัยรัมภาตอบรับ
เธอยิ้มหวานสะกดใจเขาจนอยู่หัด ภากรรู้สึกเหมือนมีศรรักจากกามเทพปักลงมาที่หัวใจของเขาจากที่ใดสักแห่ง
‘งั้นพรุ่งนี้ห้าโมงเย็น เจอกันที่หน้าประตูมหา’ลัยนะครับ หรือจะให้ผมไปรับที่บ้านดี’
‘มาเจอกันที่นี่ก็ได้ค่ะ’
‘ยัยภา! ไปกันได้หรือยัง จะถึงเวลาเข้าเรียนแล้วนะ’
เพื่อนสนิทของชัยรัมภาตะโกนเรียกจากที่หน้าประตูห้องดนตรี หล่อนรีบมองนาฬิกาก็พบว่าใกล้จะถึงเวลาแล้วจริงๆ จึงรีบกุลีกุจอลุกขึ้น
‘ฉันไปก่อนนะคะ เจอกันพรุ่งนี้นะคะ’ เธอบอกพลางยกมือบ๊ายบายเขา
‘เจอกันพรุ่งนี้นะครับ!’ ภากรตะโกนไล่หลัง
ชายหนุ่มมองหญิงสาวจนลับสายตา เขายืนยิ้มกับตัวเองอยู่นาน ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขา…ชอบใครสักคนมาถึงขนาดนี้ ชอบมากเสียจน…
อยากจะหยุดช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเธอเอาไว้ตลอดไป
กลับมาปัจจุบัน
ติ๊ง!
ประตูลิฟต์เปิดออก ชัยรัมภารีบจ้ำอ้าวออกจากตึกเพื่อจะไปรอขึ้นรถเมล์ ทว่าร่างสูงกลับไวกว่า เขาเดินอ้อมมาดักหน้าเธอเอาไว้
“ถอยไปค่ะ”
“บอกแล้วไงว่าจะไปส่ง” เขาพูดอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นค่ะ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ต่อหน้าคุณพ่อของคุณ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่คุณต้องไปส่งฉัน ฉันมาเองได้ ก็กลับเองได้ค่ะ” เธอตอบด้วยท่าทางหยิ่งยโส
“พอดีฉันเป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ล่ะนะ เพราะงั้น…ไปกับ… อ้าวเฮ้ย จะไปไหนเนี่ย คนยังพูดไม่จบเลยนะ” ภากรเดินตามเธอต้อยๆ
ชัยรัมภานึกรำคาญจึงเดินหนีออกมาโดยไม่รอให้เขาพูดจบ ชายหนุ่มรีบตามมาติดๆ เขาคว้าข้อมือเธอเอาไว้แล้วดึงให้เข้าหา
“ปล่อยนะคะ!” เธอดิ้น
“คิดว่าฉันอยากจับนักหรือไง ไปกับฉัน” เขาถูลู่ถูกังลากเธอไปที่รถ
ชัยรัมภาพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากการเกาะกุมของเขาแต่ไม่เป็นผล ผู้หญิงร่างเล็กอย่างเธอจะเอาแรงที่ไหนไปสู้เขาได้กัน
สุดท้าย ภากรก็ลากเอาถึงรถได้สำเร็จ เขาเปิดประตูรถของตัวเองแล้วดันเธอให้นั่งลงที่เบาะข้างคนขับ ไร้ซึ่งความอ่อนโยนใดๆ ทั้งสิ้น
“เจ็บนะ!” หล่อนมองค้อนเขา
ภากรยักไหล่ไม่สนใจ ซ้ำยังแอบยิ้มเยาะก่อนจะเดินไปขึ้นประจำที่นั่งคนขับเตรียมจะขับรถไปส่งผู้หญิงดื้ออย่างเธอที่บ้าน
“คาดเบลท์ด้วย”
“…” หญิงสาวไม่ขยับเขยื้อน ไม่แม้จะมองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ
“คาดเบลท์” เขาพูดย้ำอีกครั้ง ทว่าปฏิกิริยาตอบสนองของชัยรัมภายังคงเป็นแบบเดิม
ภากรปลดสายเบลท์ของตัวเอง ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปหาหล่อนจนอยู่ในระยะที่ใกล้ชิดเกินไป ชัยรัมภาเบิกตากว้างที่จู่ๆ เขาทำแบบนี้
“นี่คุณ…!”
“ก็เธอไม่ยอมคาดเบลท์ดีๆ” เขาตอบกลับ มือค้างอยู่ตรงจุดล็อกสายเบลท์
ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ชับรัมภาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเสียด้วยซ้ำ ระยะประชิดแบบนี้ทำให้เธอตกใจระคนตื่นเต้นไปพร้อมๆ กัน
ภากรมองดวงหน้าสวยที่เห็นอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาด แปดปีที่ไม่ได้เจอกัน เธอยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ยังคงสวยจนไม่อาจละสายตาได้…
“จะ…จะไปกันได้หรือยังคะ”
เพราะเขาเอาแต่จ้องเธอนานเกินไป ชัยรัมภาจึงกลั้นใจถามออกไปเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นนี้
“ก็ไปสิ กำลังจะไปนี่ไง” ภากรตอบ
เขาเหมือนคนที่เพิ่งหลุดออกกจากภวังค์ ชายหนุ่มพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ ที่แวบเข้ามาเมื่อครู่ ภาพในวันวานที่เขานั่งฟังหล่อนเล่นเปียโนกันอยู่ตามลำพังยังคงชัดเจน
ทั้งที่คิดว่าตัวเองลบเลือนความทรงจำพวกนั้นออกไปได้หมดแล้วแท้ๆ แต่ทำไม…ทำไมเขาถึงยังจำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชุดที่เธอใส่ในวันที่อยู่ด้วยกัน!
ภากรตบไฟเลี้ยวขวาและเตรียมจะเลี้ยว แต่ชัยรัมภากลับขัดขึ้นเสียก่อน
“บ้านฉันไปทางซ้ายค่ะ”
เอี๊ยด!
ภากรต้องเบรกกะทันหัน ขณะที่รถเริ่มหักเลี้ยวขวาไปแล้วเล็กน้อย เขาเหลือบมองเธอด้วยหางตาอย่างไม่พอใจ
“ไม่รอบอกตอนฉันเลี้ยวขวาไปแล้วเลยล่ะ”
เขาแอบเหน็บเธอเล็กน้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไฟเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายแทน เขาเหยียบคันเร่งเพื่อจะพุ่งทะยานออกไปบนถนน แต่ทว่า…
“เอ่อ…พอเลี้ยวซ้ายแล้ว ก็ต้องเลี้ยวขวาตรงแยก…!”
บรืนนนนนนน (เสียงคันเร่ง)
เสียงของชัยรัมภาขาดหายไป พร้อมกับหญิงสาวที่ชี้นิ้วไปยังเส้นทางทางขวามือตรงแยกที่เขาเพิ่งเหยียบคันเร่งผ่านมาเมื่อครู่ ภากรเม้มปากแน่น พยายามระงับอารมณ์สุดฤทธิ์
“ไม่รอบอกพรุ่งนี้ไปเลยล่ะฮะ!” เขาเสียงดังใส่
ชายหนุ่มกดเปิดไฟเลี้ยวขวาเพื่อจะกลับรถตรงจุดยูเทิรน์อีกหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า
ดูท่า…กว่าจะพาเธอไปส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย เขาคงได้ขับรถวนรอบเมืองก่อนสักรอบแน่นอน