กว่าจะทุลักทุเลอุ้มยายปอบออกจากกระต๊อบมาถึงรถและบึ่งรถมายังโรงพยาบาลก็สายเกินไป ยายของผักกาดสิ้นใจในมือหมอด้วยอาการหลอดเลือดในสมองแตก ผักกาดมียายอยู่คนเดียว ร้องไห้จนใบหน้าขาวซีดนั้นน่ากลัวกว่าเดิมหลายเท่า พยาบาลมาตามญาติไปอยู่เป็นเพื่อน กลวัชรรีบยกมือปฏิเสธบอกไม่ใช่ญาติทันที เขายืนรออยู่หน้าทางเข้าอาคารกระทั่งพี่ชายที่มีชื่อกฤตพล ขับรถพาย่าสมสมัยมาถึงโรงพยาบาลจึงเข้าไปช่วยพยุงหญิงชราให้เข้ามาดูศพเพื่อนสมัยเด็ก
“ไม่เจ็บไม่ปวดแล้วนะยายจันทร์ ไปสบายเถอะนะ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ฉันจะดูแลหลานให้เอง ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะ”
แล้วถ้าที่ชอบที่ย่าสมสมัยพูด หมายถึงข้างๆ ยายเด็กผักกาดล่ะ จะทำยังไง กลวัชรรีบสาวเท้าออกห่างจากยายเด็กผีปอบ ไปยืนข้างพี่ชายคนโต รุนหลังพี่ชายให้เข้าไปช่วยพยุงย่า เพราะเขาไม่ต้องการยืนอยู่ใกล้ยายเด็กผักกาดมากกว่านี้
“ยาย ฮึก ยายไปผักกาดจะอยู่กับใคร อย่าทิ้งกาดเลยนะ”
มียายอยู่แค่คนเดียว ไม่มียายอยู่ด้วยแล้ว กระต๊อบหลังนั้นจะมีแค่ผักกาดอยู่คนเดียว เวลาที่ฝนตก ลมแรง พัดสังกะสีจนเกือบจะปลิว ใครกันจะคอยปลอบใจไม่ให้ผักกาดกลัว
ทางเดินเข้าบ้านไม่มีแสงไฟ ต้องเดินบนคูดินเล็กที่ข้างทางเป็นคลองน้ำและไร่นาของชาว ใครกัน จะคอยยืนส่องไฟฉายให้เดินเข้ามาอย่างปลอดภัย ผักกาดร้องไห้จนตาบวมกอดศพยาย ได้ไออุ่นจากมือย่าสมสมัยมาวางบนหัว ก่อนเสียงร้องไห้ของผักกาดจะเบาลง หลงเหลือเพียงแค่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นในลำคอ
“ยายเขาเจ็บป่วยมานาน ให้เขาพักผ่อนเถอะนะ ไม่ต้องร้องไห้ ถ้ากาดร้องไห้ยายจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์”
“ยายตายแล้วจริงๆ เหรอคะ แต่ยายบอกว่าจะอยู่กับกาด เพราะกาดกลับบ้านค่ำใช่ไหม ยายเป็นห่วง ออกมายืนรอ หกล้มหัวฟาดพื้น ถ้ากาดกลับบ้านเร็วกว่านี้ ยายคงไม่ตาย”
“ไม่ใช่หรอกครับน้องผักกาด พี่คุยกับคุณหมอแล้ว คุณหมอบอกว่าผลสแกนสมองออกมาว่า ยายเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก ยายมีอาการมาหลายชั่วโมง แต่ไม่มีใครเห็นก็เลยล้มไปอย่างนั้น ยายคงรอเจอน้องผักกาดก่อนยายจะไปสวรรค์ น้องผักกาดไม่ต้องโทษตัวเองนะ”
กฤตพลที่โอบไหล่ย่าสมสมัยอยู่ข้างๆ ปลอบโยนเด็กสาวที่ชาวบ้านกลัว เธอร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบหน้าช่วยชะล้างคราบเหงื่อไคลสกปรกออกไป ให้เห็นถึงผิวพรรณขาวผ่อง และใบหน้าที่มีเค้าโครงน่ารัก หากทำผมทำหน้าดีแล้ว ไม่แน่ว่าผักกาดอาจจะเป็นผู้หญิงเหนือที่สวยมาก ถึงขั้นที่กลวัชร น้องชายของเขาอยากถอนคำพูด ที่เคยนินทาว่าเธอเป็นปอบ และรังเกียจตามชาวบ้านถึงขั้นถอยออกไปยืนเสียไกล
“ตากฤตอยู่นี่ก็ดีแล้ว ถือว่าเห็นแก่ย่าเถอะนะ ถ้าในไร่ในรีสอร์ตพอจะมีงานเล็กๆ น้อยๆ ให้น้องทำ ก็รับน้องไปทำด้วย เหลืออยู่ตัวคนเดียวไม่ต้องเป็นห่วงใครคงจะออกไปทำงานได้เต็มที่ จะได้มีเงินมีทองไว้ใช้จ่าย เอามาปรับปรุงบ้าน ทำไฟฟ้าให้เข้าถึงบ้าน อยู่ตัวคนเดียวจะได้ไม่อันตรายจนเกินไป”
ย่าสมสมัยยังทำใจไม่ได้ ยกชายผ้าขึ้นเช็ดน้ำตาบนหางตาหลายครั้ง หลังจากที่คนจากโรงพยาบาลนำเอาร่างไร้วิญญาณไปเก็บในห้องดับจิต เพื่อรอให้ญาติมาทำเรื่องนำศพออกไปฌาปนกิจในวันถัดไป กฤตพลโอบไหล่ย่า ส่วนย่าโอบไหล่เด็กสาวอีกที เข้าใจถึงความหวาดกลัวและความโดดเดี่ยวที่เด็กสาวต้องเผชิญ
“หรือผักกาดจะอยู่บ้านกับย่า ย่าจะทำห้องนอนให้อยู่ด้วยกัน”
“กาดอยากอยู่บ้านกับยายมากกว่า ที่บ้านมีเป็ดมีไก่ต้องให้อาหาร กาดไปอยู่กับย่าไม่ได้หรอกค่ะ กาดคิดถึงบ้าน”
“ยังจะเรียกมันว่าบ้านได้อีกเหรอสภาพแบบนั้น” กลวัชรคิดว่าเขาพูดคำนั้นในใจ แต่ในความจริงเขาพูดออกมาโต้งๆ ถูกพี่ชายคนโต ย่าสมสมัย และยายเด็กผีปอบมองหน้าพร้อมเพรียง
“ในเมื่อกลเป็นคนพาผักกาดมาส่งโรงพยาบาล ก็ต้องรับผิดชอบดูแลผักกาดจนกว่างานศพของยายจันทร์จะผ่านไป นี่เป็นคำสั่งของย่า ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นได้เห็นดีกัน”
“ย่าจะให้ผมเป็นเบ๊ขับรถรับส่งยายเด็กผีปอบคนนี้เหรอครับ”
“กล พูดให้ดีๆ น้องชื่อผักกาด อย่าเรียกน้องด้วยชื่ออื่น ก็น้องไม่มีรถ ไปไหนมาไหนคนเดียวจะไปยังไง”
“เอาเถอะน่ากลอย่าพูดมาก ถือว่าทำบุญให้น้อง น้องมันน่าสงสาร เหลืออยู่แค่ตัวคนเดียว” กฤตพลพูดเสริม
‘แล้วทำไมพี่กฤตไม่มาขับรถรับส่งยายเด็กคนนี้แทนผมล่ะ’
‘พี่มีลูก ต้องไปรับส่งลูกที่โรงเรียน’
คู่พี่น้องส่งกระแสจิตคุยกันผ่านการขมุบขมิบปากบ่นโดยไม่ออกเสียง กฤตพลพาย่ากลับไปก่อนแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของกลวัชร ต้องพาผักกาดไปส่งถึงกระต๊อบปลายนาให้ปลอดภัย ตัวช่วยเขาตอนนี้เหลือแค่ไอ้ไม้คนเดียว แต่มันก็ชิงหลับไปก่อนแล้ว มันนอนเอกเขนกเหยียดแขนเหยียดขาสบายบนเก้าอี้รอตรวจ
ผักกาดยังคงร้องไห้เช็ดน้ำมูกน้ำตาอยู่หน้าห้องดับจิต ที่มีศพของใครต่อใครก็ไม่รู้อยู่ข้างใน กลวัชรรู้แค่มีห้าศพและสาเหตุการตายของทุกคน ก็เพราะมีเขียนไว้ในกระดานหน้าห้อง
เขาเผลออ่านรายชื่อหนึ่ง และสาเหตุการตายซึ่งก็คือถูกยิง แทบจะอยากวิ่งไปเอาน้ำมะนาวมาล้างตา ให้ความแสบลบชื่อผู้ตายและสาเหตุการตายออกไป เขาไม่อยากรับรู้ซะหน่อย
ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าค่าตาเจ้าของชื่อ แต่ข้างกายเขามันหวิวๆ มีความรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณของคนนั้นมายืนอยู่ข้างๆ เป่าลมหายใจที่มองไม่เห็นรินรดต้นคออยู่ตอนนี้
“ยายเด็กผักกาด เธอจะรออยู่ตรงนี้ทั้งคืนไม่ได้นะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว ไปนอนพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมาใหม่ ไปทำความสะอาดบ้านเตรียมจัดงานศพให้ยาย ไม่สิ ฉันคิดว่าติดต่อวัด เอาโลงศพไปตั้งไว้ที่วัดสวดเสร็จแล้วเผาเลยดีกว่า จะได้ไม่ยุ่งยาก ฉันหมายถึงว่า... เธออยู่ตัวคนเดียว ถ้าจัดงานศพยายใหญ่เกินไปเธอจะลำบาก ไหนจะต้องรับแขก ต้องเตรียมสถานที่ เตรียมอาหารเลี้ยงแขก หมดเงินเยอะไม่ใช่น้อยเลยนะ ฉันกลัวเธอจะสิ้นเปลือง”
“ยายเคยบอกกาด ถ้ายายตาย ให้เผาศพที่หน้าบ้าน”
“บ้า” กลวัชรร้องเสียงหลงเป็นแมวโดนหยิก
ให้เผาศพหน้าบ้านเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้ เขารับไม่ได้
นี่มันไม่ใช่ยุคก่อนที่เผาตามทุ่งหญ้า มันยุคสมัยไหนแล้ว ใครเขาทำกัน
ถึงวัดบ้านพวกเขาจะมีแค่เมรุธรรมดา ไม่ใช่เมรุไฟฟ้าเหมือนในเมือง แต่ก็ไม่มีใครเอาศพไปเผาไฟเองอย่างที่ยายเด็กคนนี้พูด
“ยุคสมัยนี้แล้วไม่มีใครเขาทำกันหรอก อาจจะมีคนกลัวติดเชื้อโรคก็ได้ แล้วถ้าเผาแล้วศพไม่ไหม้ล่ะ ก็จะน่ากลัวไปกันใหญ่ บ้านเรามีวัด ให้วัดจัดการไปตามพิธีกรรมเถอะ เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะช่วยเอง จะติดต่อวัดแล้วจะช่วยเรื่องงานทั้งหมด”
“แลกกับปลาดุกเหรอ” เด็กผักกาดถามหน้าซื่อตาใส
มันใช่ที่ไหนกัน มีคนตายทั้งคนแถมยังเป็นยายของยายเด็กปอบคนนี้ เขากินไม่ลงแล้ว ผัดเผ็ดปลาดุกในฝันทดเอาไว้ในใจ รอไปกินมื้อหน้าที่เขาเจริญอาหารมากกว่านี้
“เพราะย่าฝากเธอให้ฉันดูแลต่างหาก ไป กลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้เจ็ดโมงฉันจะพามาใหม่”
“กาดอยู่เป็นเพื่อนยายไม่ได้เหรอ กาดไม่อยากนอนคนเดียวที่บ้าน บ้านน่ากลัว กาดกลัว แต่ถ้ามียายอยู่ด้วย กาดไม่กลัว” ขอบตาเด็กสาวมีน้ำตาหล่นออกมาอีกแล้ว เบะปากร้องไห้สะอึกสะอื้นอาลัยคนที่จากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ
ดวงตาเธอไร้เดียงสาจนกลวัชรใจร้ายไม่ลง มีวูบหนึ่งที่เผลอสงสาร วางมือกดลงบนศีรษะเล็กให้เธอทำใจยอมรับความจริง ว่ายายตายไปแล้ว คงจะไม่มีวันได้กลับไปอยู่กับเธอที่กระต๊อบหลังนั้น ทั้งบ้าน ทางไปบ้าน และทางเข้าบ้าน มันน่ากลัวมาก ถ้าผักกาดต้องกลับไปอยู่คนเดียวเขาก็อดห่วงไม่ได้
“ถ้าไม่อยากกลับไปอยู่บ้านที่ยายเพิ่งจะเสียชีวิต งั้นนอนรีสอร์ตก่อนก็ได้ แต่ไม่ให้นอนห้องแขกนะ สภาพนี้ กลัวจะต้องหมดน้ำยาปรับอากาศสิบกระปุก อนุโลมให้นอนในห้องทำงานฉันได้ มีครบหมดนั่นแหละ ที่นอนหมอนมุ้ง ห้องน้ำ”
ก่อนหน้านั้นเขาไม่ยอมให้เธอหายใจรดต้นคอด้วยซ้ำ กลับใจดียกห้องทำงานให้อาศัยหลับนอน ผักกาดซาบซึ้งในน้ำใจ เฝ้ามองใบหน้าหลานชายคนเล็กของย่าสมสมัยเหมือนไม่เคยเห็นเขามาก่อน ทั้งที่เคยเจอเขาหลายครั้งตามประสาคนอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพียงแต่ไม่เคยมองใกล้ๆ
และทุกครั้งที่เจอกัน ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือคนอื่นในหมู่บ้าน ต่างก็พากันหลบผักกาดเดินหนีไปทางอื่นทุกที
“คุณกลไม่กลัวกาดแล้วเหรอคะ ทุกคนกลัวกาด กาดหน้าเหมือนผี”
ผักกาดถูนิ้วเล็กใต้จมูก เช็ดน้ำมูกและน้ำตาในเวลาเดียวกัน ดูมอมแมมจนไม่น่ามอง
“ก็เหมือนจริงนั่นแหละ แต่ถ้าเธอไม่ไปกัดเป็ดกัดไก่ใคร ก็น่าจะพอมองข้ามได้ มาเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
“ค่ะ กาดขอลายายก่อนนะคะ”
“ตามสบาย” กลวัชรบอกอย่างใจกว้าง
“ยายจ๋า กาดไปนอนบ้านใหม่ นอนสบาย จะเรียกยายไปนอนด้วยกันนะคะ”
กลวัชรคิดว่ายายเด็กผักกาดจะแค่ยกมือไหว้แล้วเดินตามเขามา แต่เธอกลับพูดในประโยคที่ทำให้แขนขาเขาอ่อนแรง จนไม่สามารถก้าวเดินไปทางไหนได้
กลวัชรหันขวับไปทางห้องดับจิตยกมือห้ามยาย ตะโกน Stop! ในใจ ให้วิญญาณยายกลับไปนอนที่เดิมเดี๋ยวนี้ อย่าตามมาเด็ดขาด ไม่ว่าห้องทำงานเขาจะนอนสบายมากแค่ไหน ก็ห้ามตามมานอนกับหลานเด็ดขาด
ขณะที่เขากลัวแทบแย่ ยายเด็กผีปอบกลับเดินทิ้งห่างจากเขาหน้าตาเฉย กลวัชรที่กลัวผีขึ้นสมองสาวเท้ายาวไปเดินซ้อนหลัง ให้เด็กตาโบ๋ปกป้องเขาจากผีสางนางไม้จำนวนมากในโรงพยาบาล ยกผักกาดเป็นเกราะกำบัง อย่ามาหลอกมาหลอนเขาเลย ถ้าจะมาหลอก ให้มาหลอกยายเด็กนี่คนเดียว
.
.
พ่อหนุ่มลิ้นไก่ยาวตาขาวมากค่ะ 5555