CHAPTER 7
เกมส์ ภัทรดนัย: TALK
มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้วขิม ฉันจะไม่ให้มันเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ประโยคนี้ไม่รู้ว่าคนเองผมจะสามารถควบคุมมันได้หรือเปล่ายังไม่แน่ใจสักนิดแต่ถ้าพูดออกไปแล้วแสดงว่าผ่านการคิดจากสมองมามากพอสมควรมีเหรอที่คนอย่างผมจะหยุดมันต้องไปต่อ ไปให้สุดพยายามให้ถึงที่สุดพอรู้ว่าเกินกำลังค่อยหยุดถึงเวลานั้นคงทำใจยอมรับผลได้
ตอนนี้แค่เริ่มพยายามต่อไป
ฟึบ...
ศีรษะเล็กในฝ่ามือผมถูกวางเบาๆ ตรงหมอนที่จัดเรียงด้วยฝีมือตัวเองก่อนหน้านี้เหมือนกัน ขนตาเส้นยาวสะดุดสายตามากในยามนี้ยามที่เธอหลับตาพริ้มปากนิดจมูกหน่อยองค์ประกอบเข้ากันไปหมดรวมไปถึงเส้นผมสีดำเงาวับยาวไร้การผ่านทำสีพ้นกระจายออกเหนือหมอนใบใหญ่ไปรอบข้างช่วยทำให้สีหน้าเธอมีสีเลือดขึ้นมาหน่อยไม่ดูซีดเผือกเหมือนในตอนแรกแต่เนื่องด้วยร่างกายไม่ได้ปกปิดมิดชิดเท่าไหร่ทางเลือกที่ต้องทำก็คือดึงผ้าเข้ามาห่มให้ถึงแค่หน้าอก
เธอ...ในความทรงจำของผมยังน่ารักอยู่เหมือนเดิม
เธอ...ในความทรงจำของผมยังสวยอยู่เหมือนเดิม
เธอ...ในความทรงจำของผมยังมีแววตาเศร้าปะปนอยู่เหมือนเดิม
และเธอ...ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันก็ยังคงถูกทำร้ายอยู่เหมือนเดิม
แน่นอนเธอคนนี้ก็คือ ขิม เพื่อนเก่าของตัวผมเอง
เพื่อนที่ตลอดเวลาผมไม่เคยคิดสักครั้งว่าเธอเป็นแค่เพื่อนเพราะมันเป็นมากกว่านั้น เป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้ามาในชีวิต เป็นผู้หญิงคนคนแรกที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข เป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมบอกได้เลยว่ารัก เป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมเคยขอเธอแต่งงานและก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ปฏิเสธการขอแต่งงานของผม
ผมไม่เถียงนะว่าเธอเป็นคนสร้างความเจ็บปวดเจียนตายให้ตัวเองความเจ็บปวดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากแผลสดไม่มีเลือดสักหยดออกมาจากร่างกายทว่ามันกับเป็นแผลจากด้านในช่วงบริเวณหน้าอกข้างซ้าย สภาพมันไม่ต่างจากการถูกบดละเอียดเชือดเฉือนมาจากคำพูดนั้น
แต่เราอยากมีแค่แม่
ประโยคสุดท้ายในวันนั้นเมื่อหลายปีก่อนไม่เคยออกไปจากหัวสมองผมแม้แต่วินาทีเดียว ถึงผมอยากจะสะบัดให้พวกมันออกไปห่างไกลมากแค่ไหนก็ตาม
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นจบลงด้วยบรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักชวนอึดอัดเป็นที่สุดผมก็ไม่เคยกลับไปให้เธอเห็นหน้าอีกเลยแต่วันนี้เธอกลับมานอนอยู่บนเตียงผม มาทำให้ความอดทนของผมที่เหลืออยู่น้อยนิดหมดลงจึงต้องมาเสียจูบแรกให้กับไอ้ผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างผมจนถึงขั้นเป็นลมสลบไป
ถ้าจะพูดตรงๆ ผมไม่เคยลืมผู้หญิงคนนี้ได้
ไม่เคยลืมรักแรกและก็ไม่เคยลืมความเจ็บปวดที่ได้รับจากเธอ
ตอนนั้นที่เลือกเดินออกมามันก็แค่ความคิดของเด็กผู้ชายคนหนึ่งในวัยมัธยมปลายใกล้จบการศึกษายังไม่บรรลุอะไรหลายๆ อย่างซึ่งแน่นอนว่ามีความเสียใจเกิดเป็นอันดับแรกถัดมาก็เป็นการโทษตัวเองอย่างโน้นบ้างอย่างงี้บ้างทำไมถึงเลือกทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้สุดท้ายก็คือการสู้หน้าขิม
ผมหน้าด้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่สามารถทำได้จริงๆ
จากเพื่อนสนิทกันมากรับรู้เหตุการณ์ของกันและกันตลอดรู้ถึงเสาร์อาทิตย์ว่าใครไปไหนบ้าง วันจันทร์ถึงศุกร์ได้พูดคุยหยอกล้อกันตอนอยู่ในโรงเรียนได้นั่งใกล้กัน ทำการบ้านด้วยกัน ติววิชาถนัดให้กันมันกลับต้องพังทลายลงด้วยน้ำมือของผมเองแต่มันก็เกินที่จะเก็บไว้ การเลือกเดินจากมาจึงเป็นทางเลือกเดียวที่พอทำได้ในตอนนั้น
แต่รู้ไหมว่าผมกับคิดผิด...
เลือกทางแก้ปัญหาที่ผิดพลาด...
การไม่เจอหน้าของเธอทรมานยิ่งกว่าการเจอหน้าทุกๆ วันเสียอีก ต้องหักห้ามใจไม่รู้กี่ร้อยรอบพยายามพูดเตือนตัวเองกี่ครั้งมันก็ยิ่งไม่ได้ผลอาการของผมยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ พูดง่ายๆ ไม่สามารถตัดใจได้กว่าจะผ่านไปในแต่ละวันยากยิ่งกว่าอะไรดีต้องเสียเหงื่อกับกิจกรรมลุยๆ ที่เพื่อนหามาให้ทำต่อวันมากเท่าไหร่ก็เท่านั้น
ผมอยู่แบบนี้มาเรื่อยๆ อยู่กับความทรมานกระทั่งวันเวลาผ่านไประยะหนึ่งซึ่งเนิ่นนานพอสมควรวันนั้นเข้าไปห้องทำงานพ่อสายตาผมกวาดมองไปใบโต๊ะทำงานใหญ่มีกระดาษสีขาวเด่นด้วยตัวอักษรสีดำรายชื่อหลากหลายหลั่นเรียงลงมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนไม่ทำให้ผมสนใจนักจนมาถึงชื่อสุดท้าย...
นางสาวเขมมิกา ธนชัย
รายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษา
ครั้งแรกที่ร่างกายเหมือนหยุดหายใจยืนตัวแข็งทื่อกวาดสายตาไปตรงกระดาษแผ่นนั้นกี่รอบก็ยังเห็นชื่อเดิมปรากฏชัดเจนไม่หายไปไหนนั่นแสดงว่ามันคือความจริง
ครั้งนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับผม... ?
ครั้งนั้นโลกในความเป็นจริงได้เหวี่ยงเธอเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้งถึงจะเหวี่ยงมาแค่ชื่อให้เห็นก็เถอะแต่ก็ทำให้ผมรู้ว่าเธอเรียนมหาลัยเดียวกันถึงจะต่างคณะต่างสาขาจวบจนวันนั้นถึงวันนี้...
สามปีกว่าแล้วระหว่างผมกับเธอพึ่งมาเจอกัน
ย้ำเลยว่าพึ่งเจอแต่การกระทำของผมมันได้ลงมือไปมากกว่านั้นแล้วมากกว่านานแล้วด้วย
Rr...
แต่แล้วความทรงจำเก่าๆ ก็หายไปเมื่อเสียงสั่นของเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นผมเลือกลุกขึ้นหยิบมาในมือก่อนเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นมุ่งหน้าไปทางระเบียงแทน
“ครับ”
[ยามสวัสดียามดึกค่ะบอส พรุ่งนี้มีนัดเพิ่มมาอีกสองจากมีในตอนเช้าแล้วสอง รายที่เพิ่มเข้ามาล่าสุดในช่วงบ่ายเป็นลูกค้ากลุ่มต่างประเทศทั้งหมดที่บอสบินไปติดต่อดิวงานไว้ในเดือนที่แล้วค่ะ]
“โอเคครับ คุณพิมยังไม่นอน?”
จะใครกันถ้ารู้จักตารางงานผมดีขนาดนี้อีกทั้งยังเพิ่มยัดเข้ามาอีกถ้าไม่ใช่เลขา เลขาวัยสามสิบกว่าที่สำคัญมีลูกมีสามีเรียบร้อยอย่าสงสัยว่าเธอจะชอบผมอย่างในหนังในละคร ตัดความคิดนี้ออกไปได้เลยเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้
[ขยันเพื่อโบนัสปลายปีจากบอสอยู่ค่ะเผื่อให้ค่าสงสารผสมรวมด้วยว่าแต่บอสเถอะค่ะไหวหรือเปล่า]
“...”
ผมเลือกที่จะเงียบแต่ยังถอนลมหายใจออกยาวๆ ทอดสายตามองออกไปนอกคอนโด สีไฟหลากสีสันจากตัวอาคารบ้านเรือนพวกนั้นถึงแม้จะไม่ทำให้หายเครียดเท่าไหร่นักแต่มันก็ยังพอบรรเทาได้ อยากบอกว่าเหนื่อยท้ออยู่เหมือนกันนะในบางครั้งแต่ไอ้คำพวกนี้ก็หายไปถ้าคิดถึงผลของการกระทำของตัวเอง พอถึงตอนนั้นอาจจะได้ยินคำพูดว่าเหนื่อยไหม ไหวหรือเปล่า พักบ้างนะและดูแลตัวเองหน่อยจากคนๆ หนึ่งบ้างพอให้ผมได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ
[ทั้งเรียนทั้งทำงานแทบไม่มีเวลาอื่น พักบ้างนะคะบอส]
“ไหวครับ แต่ถ้ายิ่งกว่านี้ผมก็ต้องทำ... คุณพิมรู้ดี”
ผมรู้ว่าทุกคนห่วง
ทุกคนต่างเอาใจลุ้น
ทุกคนคอยเตือนแต่มันก็เท่านั้นในเมื่อสามปีก่อนผมเลือกทางนี้แล้วต้องทำต่อไปอีกนิดเดียวเท่านั้นไม่ถึงปีความต้องการของตัวเองจะสำเร็จ
[เอาเป็นว่าพวกเราเอาใจช่วยนะคะ บอสต้องผ่านมันไปได้ค่ะ]
“ครับ”
คุณพิมวางสายไปแล้วแต่ผมก็เลือกยืนตากลมอยู่ที่เดิมไม่แม้คิดขยับตัว ผมทำงานพร้อมกับเรียนมาสามปีกว่าแล้วทำงานหนักสานต่อธุรกิจครอบครัวแทบไม่หยุดพักผ่อน กลางวันทำงานกลางคืนทำงานทุกลมหายใจจะเรียกว่ามีแค่งานก็คงไม่ผิดถึงแม้ความรู้สึกลึกๆ จะมีอีกความรู้สึกหนึ่งซุกซ่อนอยู่
ซ่อนไว้ในใจ
ตารางในชีวิตล้วนมีแต่งานเข้ามาเรื่อยๆ ส่วนการเรียนยังดีที่ได้ไอ้พวกนั้นคอยช่วยเหลือตลอดทุกครั้ง น่าตลกนะผมอยู่ในสถานะนักศึกษาแต่บางวิชาอาจารย์แทบจำหน้าไม่ได้เมื่อไปเข้าเรียน
Rr...
เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งซึ่งหน้าจอครั้งนี้แสดงไม่ใช่เลขาแล้วแต่กับเป็นคนที่ถึงจะรู้เวลาไหนควรโทรมาเพื่อรักษามารยาทแต่มันกับเสือกไม่ทำ ทำตามความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่เรียกง่ายๆ ก็ทำตามความอยากนั่นแหละ
“เออ... ว่าไง?”
[ไอ้ห่ามึงยังมีหน้ามาว่าไงอีกหรอไอ้เกมส์ นัดแต่กับหายหัวหมายความว่าไงวะ สัส!]
“หรอ?”
คำเดียวที่ผมพูดออกไปให้ปลายสายที่ดูหัวร้อนมากและคำนี้จะสามารถสร้างความหัวร้อนผสมกับความเหี้ยของมันให้มีมากกว่าเดิม
[มึงอย่ากวนส้นตีน]
“หึ... กูมีธุระด่วนแต่สมองไม่เสื่อมจำได้ว่าออกค่าเหล้าให้พวกมึงแล้ว”
[ออกแล้วไงพวกกูก็มีเงินออกปะล่ะ]
ความกวนตีนของปลายสายไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดแม้สักนิด
“งั้นก็โอนคืนกูมาไอ้ห่าฟ้า”
[เรื่องอะไรจะโอนแค่เศษเงินของมึงขนหน้าแข้งไม่สะเทือนหรอก”
“เศษเงินเหี้ยอะไรกูหามายาก พวกมึงควรรู้คุณค่าของมัน”
ผมเถียงไอ้ฟ้าออกไป
[มึงแม่งสายเปย์อยู่แล้วเปล่าไอ้เกมส์อย่าคิดนะว่ากูไม่เห็นมึงหิ้วสาวขึ้นรถตรงป้ายรถเมย์]
พอได้ยินคิ้วผมขมวดทันทีอย่างสงสัยแต่ก็คลายด้วยความรวดเร็วเช่นกัน
“เพื่อน ... เพื่อนสนิทโว้ย”
[เพื่อน เพื่อนที่แปลว่ามอเมียหรือเปล่าครับไอ้คุณเกมส์...]