CHAPTER 7

1743 Words
CHAPTER 7 เกมส์ ภัทรดนัย: TALK มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้วขิม ฉันจะไม่ให้มันเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ประโยคนี้ไม่รู้ว่าคนเองผมจะสามารถควบคุมมันได้หรือเปล่ายังไม่แน่ใจสักนิดแต่ถ้าพูดออกไปแล้วแสดงว่าผ่านการคิดจากสมองมามากพอสมควรมีเหรอที่คนอย่างผมจะหยุดมันต้องไปต่อ ไปให้สุดพยายามให้ถึงที่สุดพอรู้ว่าเกินกำลังค่อยหยุดถึงเวลานั้นคงทำใจยอมรับผลได้ ตอนนี้แค่เริ่มพยายามต่อไป ฟึบ... ศีรษะเล็กในฝ่ามือผมถูกวางเบาๆ ตรงหมอนที่จัดเรียงด้วยฝีมือตัวเองก่อนหน้านี้เหมือนกัน ขนตาเส้นยาวสะดุดสายตามากในยามนี้ยามที่เธอหลับตาพริ้มปากนิดจมูกหน่อยองค์ประกอบเข้ากันไปหมดรวมไปถึงเส้นผมสีดำเงาวับยาวไร้การผ่านทำสีพ้นกระจายออกเหนือหมอนใบใหญ่ไปรอบข้างช่วยทำให้สีหน้าเธอมีสีเลือดขึ้นมาหน่อยไม่ดูซีดเผือกเหมือนในตอนแรกแต่เนื่องด้วยร่างกายไม่ได้ปกปิดมิดชิดเท่าไหร่ทางเลือกที่ต้องทำก็คือดึงผ้าเข้ามาห่มให้ถึงแค่หน้าอก เธอ...ในความทรงจำของผมยังน่ารักอยู่เหมือนเดิม เธอ...ในความทรงจำของผมยังสวยอยู่เหมือนเดิม เธอ...ในความทรงจำของผมยังมีแววตาเศร้าปะปนอยู่เหมือนเดิม และเธอ...ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันก็ยังคงถูกทำร้ายอยู่เหมือนเดิม แน่นอนเธอคนนี้ก็คือ ขิม เพื่อนเก่าของตัวผมเอง เพื่อนที่ตลอดเวลาผมไม่เคยคิดสักครั้งว่าเธอเป็นแค่เพื่อนเพราะมันเป็นมากกว่านั้น เป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้ามาในชีวิต เป็นผู้หญิงคนคนแรกที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุข เป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมบอกได้เลยว่ารัก เป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมเคยขอเธอแต่งงานและก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ปฏิเสธการขอแต่งงานของผม ผมไม่เถียงนะว่าเธอเป็นคนสร้างความเจ็บปวดเจียนตายให้ตัวเองความเจ็บปวดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากแผลสดไม่มีเลือดสักหยดออกมาจากร่างกายทว่ามันกับเป็นแผลจากด้านในช่วงบริเวณหน้าอกข้างซ้าย สภาพมันไม่ต่างจากการถูกบดละเอียดเชือดเฉือนมาจากคำพูดนั้น แต่เราอยากมีแค่แม่ ประโยคสุดท้ายในวันนั้นเมื่อหลายปีก่อนไม่เคยออกไปจากหัวสมองผมแม้แต่วินาทีเดียว ถึงผมอยากจะสะบัดให้พวกมันออกไปห่างไกลมากแค่ไหนก็ตาม หลังจากเหตุการณ์วันนั้นจบลงด้วยบรรยากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักชวนอึดอัดเป็นที่สุดผมก็ไม่เคยกลับไปให้เธอเห็นหน้าอีกเลยแต่วันนี้เธอกลับมานอนอยู่บนเตียงผม มาทำให้ความอดทนของผมที่เหลืออยู่น้อยนิดหมดลงจึงต้องมาเสียจูบแรกให้กับไอ้ผู้ชายเห็นแก่ตัวอย่างผมจนถึงขั้นเป็นลมสลบไป ถ้าจะพูดตรงๆ ผมไม่เคยลืมผู้หญิงคนนี้ได้ ไม่เคยลืมรักแรกและก็ไม่เคยลืมความเจ็บปวดที่ได้รับจากเธอ ตอนนั้นที่เลือกเดินออกมามันก็แค่ความคิดของเด็กผู้ชายคนหนึ่งในวัยมัธยมปลายใกล้จบการศึกษายังไม่บรรลุอะไรหลายๆ อย่างซึ่งแน่นอนว่ามีความเสียใจเกิดเป็นอันดับแรกถัดมาก็เป็นการโทษตัวเองอย่างโน้นบ้างอย่างงี้บ้างทำไมถึงเลือกทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้สุดท้ายก็คือการสู้หน้าขิม ผมหน้าด้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่สามารถทำได้จริงๆ จากเพื่อนสนิทกันมากรับรู้เหตุการณ์ของกันและกันตลอดรู้ถึงเสาร์อาทิตย์ว่าใครไปไหนบ้าง วันจันทร์ถึงศุกร์ได้พูดคุยหยอกล้อกันตอนอยู่ในโรงเรียนได้นั่งใกล้กัน ทำการบ้านด้วยกัน ติววิชาถนัดให้กันมันกลับต้องพังทลายลงด้วยน้ำมือของผมเองแต่มันก็เกินที่จะเก็บไว้ การเลือกเดินจากมาจึงเป็นทางเลือกเดียวที่พอทำได้ในตอนนั้น แต่รู้ไหมว่าผมกับคิดผิด... เลือกทางแก้ปัญหาที่ผิดพลาด... การไม่เจอหน้าของเธอทรมานยิ่งกว่าการเจอหน้าทุกๆ วันเสียอีก ต้องหักห้ามใจไม่รู้กี่ร้อยรอบพยายามพูดเตือนตัวเองกี่ครั้งมันก็ยิ่งไม่ได้ผลอาการของผมยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ พูดง่ายๆ ไม่สามารถตัดใจได้กว่าจะผ่านไปในแต่ละวันยากยิ่งกว่าอะไรดีต้องเสียเหงื่อกับกิจกรรมลุยๆ ที่เพื่อนหามาให้ทำต่อวันมากเท่าไหร่ก็เท่านั้น ผมอยู่แบบนี้มาเรื่อยๆ อยู่กับความทรมานกระทั่งวันเวลาผ่านไประยะหนึ่งซึ่งเนิ่นนานพอสมควรวันนั้นเข้าไปห้องทำงานพ่อสายตาผมกวาดมองไปใบโต๊ะทำงานใหญ่มีกระดาษสีขาวเด่นด้วยตัวอักษรสีดำรายชื่อหลากหลายหลั่นเรียงลงมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนไม่ทำให้ผมสนใจนักจนมาถึงชื่อสุดท้าย... นางสาวเขมมิกา ธนชัย รายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษา ครั้งแรกที่ร่างกายเหมือนหยุดหายใจยืนตัวแข็งทื่อกวาดสายตาไปตรงกระดาษแผ่นนั้นกี่รอบก็ยังเห็นชื่อเดิมปรากฏชัดเจนไม่หายไปไหนนั่นแสดงว่ามันคือความจริง ครั้งนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นกับผม... ? ครั้งนั้นโลกในความเป็นจริงได้เหวี่ยงเธอเข้ามาในชีวิตของผมอีกครั้งถึงจะเหวี่ยงมาแค่ชื่อให้เห็นก็เถอะแต่ก็ทำให้ผมรู้ว่าเธอเรียนมหาลัยเดียวกันถึงจะต่างคณะต่างสาขาจวบจนวันนั้นถึงวันนี้... สามปีกว่าแล้วระหว่างผมกับเธอพึ่งมาเจอกัน ย้ำเลยว่าพึ่งเจอแต่การกระทำของผมมันได้ลงมือไปมากกว่านั้นแล้วมากกว่านานแล้วด้วย Rr... แต่แล้วความทรงจำเก่าๆ ก็หายไปเมื่อเสียงสั่นของเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นผมเลือกลุกขึ้นหยิบมาในมือก่อนเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นมุ่งหน้าไปทางระเบียงแทน “ครับ” [ยามสวัสดียามดึกค่ะบอส พรุ่งนี้มีนัดเพิ่มมาอีกสองจากมีในตอนเช้าแล้วสอง รายที่เพิ่มเข้ามาล่าสุดในช่วงบ่ายเป็นลูกค้ากลุ่มต่างประเทศทั้งหมดที่บอสบินไปติดต่อดิวงานไว้ในเดือนที่แล้วค่ะ] “โอเคครับ คุณพิมยังไม่นอน?” จะใครกันถ้ารู้จักตารางงานผมดีขนาดนี้อีกทั้งยังเพิ่มยัดเข้ามาอีกถ้าไม่ใช่เลขา เลขาวัยสามสิบกว่าที่สำคัญมีลูกมีสามีเรียบร้อยอย่าสงสัยว่าเธอจะชอบผมอย่างในหนังในละคร ตัดความคิดนี้ออกไปได้เลยเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ [ขยันเพื่อโบนัสปลายปีจากบอสอยู่ค่ะเผื่อให้ค่าสงสารผสมรวมด้วยว่าแต่บอสเถอะค่ะไหวหรือเปล่า] “...” ผมเลือกที่จะเงียบแต่ยังถอนลมหายใจออกยาวๆ ทอดสายตามองออกไปนอกคอนโด สีไฟหลากสีสันจากตัวอาคารบ้านเรือนพวกนั้นถึงแม้จะไม่ทำให้หายเครียดเท่าไหร่นักแต่มันก็ยังพอบรรเทาได้ อยากบอกว่าเหนื่อยท้ออยู่เหมือนกันนะในบางครั้งแต่ไอ้คำพวกนี้ก็หายไปถ้าคิดถึงผลของการกระทำของตัวเอง พอถึงตอนนั้นอาจจะได้ยินคำพูดว่าเหนื่อยไหม ไหวหรือเปล่า พักบ้างนะและดูแลตัวเองหน่อยจากคนๆ หนึ่งบ้างพอให้ผมได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ [ทั้งเรียนทั้งทำงานแทบไม่มีเวลาอื่น พักบ้างนะคะบอส] “ไหวครับ แต่ถ้ายิ่งกว่านี้ผมก็ต้องทำ... คุณพิมรู้ดี” ผมรู้ว่าทุกคนห่วง ทุกคนต่างเอาใจลุ้น ทุกคนคอยเตือนแต่มันก็เท่านั้นในเมื่อสามปีก่อนผมเลือกทางนี้แล้วต้องทำต่อไปอีกนิดเดียวเท่านั้นไม่ถึงปีความต้องการของตัวเองจะสำเร็จ [เอาเป็นว่าพวกเราเอาใจช่วยนะคะ บอสต้องผ่านมันไปได้ค่ะ] “ครับ” คุณพิมวางสายไปแล้วแต่ผมก็เลือกยืนตากลมอยู่ที่เดิมไม่แม้คิดขยับตัว ผมทำงานพร้อมกับเรียนมาสามปีกว่าแล้วทำงานหนักสานต่อธุรกิจครอบครัวแทบไม่หยุดพักผ่อน กลางวันทำงานกลางคืนทำงานทุกลมหายใจจะเรียกว่ามีแค่งานก็คงไม่ผิดถึงแม้ความรู้สึกลึกๆ จะมีอีกความรู้สึกหนึ่งซุกซ่อนอยู่ ซ่อนไว้ในใจ ตารางในชีวิตล้วนมีแต่งานเข้ามาเรื่อยๆ ส่วนการเรียนยังดีที่ได้ไอ้พวกนั้นคอยช่วยเหลือตลอดทุกครั้ง น่าตลกนะผมอยู่ในสถานะนักศึกษาแต่บางวิชาอาจารย์แทบจำหน้าไม่ได้เมื่อไปเข้าเรียน Rr... เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งซึ่งหน้าจอครั้งนี้แสดงไม่ใช่เลขาแล้วแต่กับเป็นคนที่ถึงจะรู้เวลาไหนควรโทรมาเพื่อรักษามารยาทแต่มันกับเสือกไม่ทำ ทำตามความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่เรียกง่ายๆ ก็ทำตามความอยากนั่นแหละ “เออ... ว่าไง?” [ไอ้ห่ามึงยังมีหน้ามาว่าไงอีกหรอไอ้เกมส์ นัดแต่กับหายหัวหมายความว่าไงวะ สัส!] “หรอ?” คำเดียวที่ผมพูดออกไปให้ปลายสายที่ดูหัวร้อนมากและคำนี้จะสามารถสร้างความหัวร้อนผสมกับความเหี้ยของมันให้มีมากกว่าเดิม [มึงอย่ากวนส้นตีน] “หึ... กูมีธุระด่วนแต่สมองไม่เสื่อมจำได้ว่าออกค่าเหล้าให้พวกมึงแล้ว” [ออกแล้วไงพวกกูก็มีเงินออกปะล่ะ] ความกวนตีนของปลายสายไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดแม้สักนิด “งั้นก็โอนคืนกูมาไอ้ห่าฟ้า” [เรื่องอะไรจะโอนแค่เศษเงินของมึงขนหน้าแข้งไม่สะเทือนหรอก” “เศษเงินเหี้ยอะไรกูหามายาก พวกมึงควรรู้คุณค่าของมัน” ผมเถียงไอ้ฟ้าออกไป [มึงแม่งสายเปย์อยู่แล้วเปล่าไอ้เกมส์อย่าคิดนะว่ากูไม่เห็นมึงหิ้วสาวขึ้นรถตรงป้ายรถเมย์] พอได้ยินคิ้วผมขมวดทันทีอย่างสงสัยแต่ก็คลายด้วยความรวดเร็วเช่นกัน “เพื่อน ... เพื่อนสนิทโว้ย” [เพื่อน เพื่อนที่แปลว่ามอเมียหรือเปล่าครับไอ้คุณเกมส์...]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD