แค่เริ่มต้น

2983 Words
“ผมบอกว่าผมชอบคุณมุกครับ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปผมจะเริ่มจีบคุณมุกอย่างจริงจังแล้ว เตรียมรับมือผมด้วยนะครับ” “คุณอาทิตย์ล้อมุกเล่นใช่ไหมคะ” แม้สายตาของคนตรงหน้าจะยืนยันคำพูดได้เป็นอย่างดี แต่การถูกจู่โจมกะทันหันเช่นนี้ทำให้เธอตั้งตัวไม่ติด แก้มทั้งสองข้างผ่าวร้อนขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าอาทิตย์กลับรู้สึกชอบใจที่ได้เห็นใบหน้าขาวนวลเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างชัดเจน เพราะมันทำให้เขายิ่งมั่นใจว่ามุกรินคงนึกสนใจในตัวเขาอยู่เหมือนกัน หรือไม่เขา…ก็ทำให้เธอหวั่นไหวได้สำเร็จแล้ว “ผมไม่เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นหรอกครับ” ไม่ใช่แค่เพียงใช้สายตาจับจ้องใบหน้างดงาม เจ้าของร่างสูงยังขยับตัวเข้าใกล้เธอมากกว่าเดิม ใบหน้าคมคายโน้มลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นชื้น ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเธออีกครั้ง “ผมชอบคุณมุกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ชอบมาตลอด และสักวันผมก็จะทำให้คุณมุกชอบผมให้ได้” สายตาสองคู่สบประสานกันโดยอัตโนมัติ แค่สบตาในใจของมุกรินก็สับสนวุ่นวาย เพราะหากอาทิตย์เป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังสารภาพรัก มันคงจะไม่มีผลกับหัวใจเธอขนาดนี้ “ผมชอบคุณมุกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน” แม้ว่าอาทิตย์จะกลับไปสักพักใหญ่แล้ว แต่ประโยคนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวของมุกรินไม่หยุด เธอไม่สามารถสลัดภาพยามที่นัยน์ตาคมคู่นั้นจับจ้องดวงหน้าเธอออกไปจากความคิดได้แม้สักวินาที ทั้งที่เธอพยายามอยู่ห่างจากคนในครอบครัวอัครราชมาโดยตลอด แต่วันนี้นอกจากเธอจะได้เข้าใกล้ทายาทของประภพทั้งสองคนในเวลาไล่เลี่ยกันแล้ว เธอยังเพิ่งถูกลูกชายคนเล็กของผู้มีพระคุณสารภาพความรู้สึกอีกด้วย--- มุกรินเอื้อมมือไปปิดโคมไฟหัวเตียงก่อนจะดึงผ้าห่มผืนหนามาคลุมทั้งตัว เธอพยายามสลัดความคิดเหล่านี้ออกไปจากหัวพร้อมกับการเถียงตัวเองในใจ อาทิตย์อาจจะแค่ล้อเธอเล่น ไม่ก็อาจจะแค่ต้องการจีบเธอเล่น ๆ ก็ได้ อย่าเก็บมาคิดมากคิดสิมุกริน อย่างคุณอาทิตย์น่ะเหรอจะสนใจคนอย่างเธอ ผ่านมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากวันที่อาทิตย์ปรากฎตัวที่บ้านของมุกรินและตั้งแต่วันนั้นทั้งสองคนก็ยังไม่ได้เจอกันอีก แม้ว่ามุกรินจะบอกกับตัวเองเป็นร้อย ๆ ครั้งว่าอาทิตย์ไม่มีทางจริงจังกับเธอ แต่หลายวันมานี้เธอก็แอบหวังว่าเขาจะติดต่อมา แต่อาทิตย์กลับเงียบหายไปจากชีวิต และวันนี้เป็นวันที่เธอนัดลูกค้าดูแบบตกแต่งบ้าน ซึ่งอาทิตย์เองก็ต้องไปพบลูกค้าในฐานะสถาปนิกแต่พอถึงเวลานัด อาทิตย์กลับส่งตัวแทนมา นั่นก็คือ ภูวเนศ โดยภูวเนศได้ให้เหตุผลว่า วันนี้อาทิตย์ติดธุระเร่งด่วนจึงได้ให้เขามาแทน หลังจากคุยงานกับลูกค้าเรียบร้อยมุกรินก็จะกลับบริษัททันทีแต่ขณะที่เดินไปยังรถเธอก็ถูกภูวเนศเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อนครับอย่าเพิ่งไป” มุกรินหันไปด้านหลังของเธอเห็นภูวเนศเดินเร่งฝีเท้าตามมา “มีอะไรเหรอคะ” มุกรินแสดงสีหน้าสงสัย “คุณชื่อมุกรินใช่ไหมครับ” “ค่ะ” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับกลาย ๆ พลางเกิดความสงสัยว่าอีกฝ่ายมีธุระเรื่องอะไรจะคุยกับเธอถึงได้ตามมาด้วยท่าทางรีบร้อนแบบนี้ “ผมดีใจนะครับที่วันนี้ได้มาเจอคุณมุกรินตัวจริงเสียงจริง เอ่อ คือผมได้ยินไอ้ทิตพูดถึงคุณมุกที่บริษัทสองสามครั้งน่ะครับ” ภูวเนศพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายคงจะเกิดความสงสัยในคำพูดของตนจึงรีบออกตัวพร้อมกับโยนทั้งหมดนี้ไปให้อาทิตย์รับ แม้ว่าจะไม่ใกล้ความจริงเท่าไหร่ก็ตาม แต่ถึงขั้นมีผู้หญิงมาทำให้เพื่อนของเขาสนใจได้ หนำซ้ำยังเดินหน้าจีบขนาดนี้ แล้วเขาจะไม่อยากรู้จักเธอได้ยังไงกัน “คุณอาทิตย์พูดถึงดิฉันงั้นเหรอคะ” ว่าจะไม่สนใจแล้วแต่พอได้ยินว่าอาทิตย์เคยพูดถึงตัวเองมุกรินก็อดถามไม่ได้ “ใช่ครับ ไอ้ทิตเคยชมว่าคุณมุกรินเป็นมัณฑนากรที่มีฝีมือมากน่ะครับ แถมผลงานแต่ละชิ้นยังมีสไตล์เป็นของตัวเองด้วย” ภูวเนศได้ทีก็รีบชงเพื่อนให้ผู้หญิง แต่จะว่าไปมุกรินก็เป็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาดีแถมยังดูมีเสน่ห์ มิน่าล่ะ ถึงได้ได้พูดจาหวงก้างทิ้งท้าย “อ้อ เหรอคะ แต่ที่จริงมุกก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ มุกยังต้องหาประสบการณ์อีกเยอะเลย” มุกรินไม่ลืมจะถ่อมตัว “ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ หวังว่าเราคงจะได้เจอกันอีก” ภูวเนศยิ้มอย่างเป็นมิตรพร้อมกับยื่นมือออกไป มุกรินไม่อยากเสียมารยาทจึงยื่นมือไปรับสัมพันธไมตรีจากอีกฝ่ายโดยทั้งคู่ไม่รู้ว่าได้มีสายตาคู่หนึ่งมองพวกเขาอยู่ในรถ บ้านอัครราช สายมากแล้วแต่คุณท่านของบ้านก็ยังไม่ลงมา ซึ่งปกติประภพไม่ใช่คนที่นอนตื่นสายป้าจันทร์จึงขึ้นไปตาม ทว่าเคาะประตูเรียกหลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบรับ ป้าจันทร์จึงร้อนใจรีบเปิดประตูเข้าไป “คุณท่าน!!” ป้าจันทร์ร้องเรียกด้วยความตกใจเมื่อเห็นคุณประภพนั่งอยู่ที่พื้น และเมื่อมองไปยังพื้นก็เห็นว่ามีหยดเลือดเปื้อนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นที่ปากของคุณประภพยังมีคราบเลือดอีกด้วย “คุณท่านแข็งใจไว้นะคะดิฉันจะพาคุณท่านไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละค่ะ แสง แสง ขึ้นมานี่หน่อยคุณท่านไม่สบาย” ป้าจันทร์ตะโกนลงไปข้างล่างเพื่อให้หลานชายที่ทำงานเป็นคนสวนขึ้นมาพาคุณประภพไปส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน และเมื่อไปถึงโรงพยาบาลคุณประภพก็ถูกนำตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันทีเนื่องจากอาการอยู่ในขั้นโคม่า ป้าจันทร์พร้อมนายแสงยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจ กระทั่งคุณหมอออกมาแจ้งว่าคนไข้ปลอดภัยดี แต่คุณหมอก็บอกไม่ได้ว่าอาการป่วยของคุณประภพตอนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนเพราะที่ผ่านมาคุณประภพไม่ยอมเข้ารับการรักษา คุณประภพพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้ายเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกมา จนวันหนึ่งขณะนั่งทำงานจู่ ๆ คุณประภพก็มีอาการเจ็บหน้าอกและหายใจลำบากจึงไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสาม แต่กว่าจะรู้ก้อนมะเร็งก็มีขนาดใหญ่และลามไปยังอวัยวะข้างเคียงแล้ว ซึ่งคุณประภพไม่ใช่คนสูบบุหรี่อีกทั้งยังดูแลเรื่องอาหารการกินและออกกำลังกายเป็นประจำ แต่การที่ตรวจพบมะเร็งปอดทำให้รู้ว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ ร่างกายแข็งแรงและดูแลตัวเองเป็นอย่างดีก็สามารถเป็นโรคมะเร็งได้เหมือนกัน เพราะมลพิษทางอากาศทุกวันนี้มีสารอันตรายที่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรง คุณประภพปกปิดอาการป่วยกับลูกชายทั้งสองคน จึงมีเพียงป้าจันทร์กับดนุนัยทนายความประจำตระกูลที่รู้เรื่องนี้ และความจริงคุณประภพตั้งใจจะปกปิดอาทิตย์กับภาสกรต่อไป แต่ดูเหมือนว่านานวันเข้าโรคร้ายจะยิ่งรุนแรง เนื่องจากที่ผ่านมาคุณประภพปฏิเสธการรักษามาโดยตลอดทำให้ตอนนี้มะเร็งได้ลามไปทั่วแล้ว “คุณท่านเป็นยังไงบ้างคะ” ทันทีคุณประภพฟื้น ป้าจันทร์ก็ถามอาการด้วยความเป็นห่วง โดยตอนนี้นายแสงคนสวนกลับไปที่บ้านก่อนแล้วจึงเหลือเพียงคนติดตามคุณประภพอยู่ด้วยอีกคน “ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” คุณประภพเอ่ยด้วยสีหน้าอิดโรยแต่ก็ไม่วายจะใช้สายตาต่อว่าให้ป้าจันทร์ที่ทำเหมือนตนเองเหมือนคนใกล้จะตาย “แล้วคุณท่านคิดจะปิดเรื่องนี้กับคุณทิตกับคุณกรไปถึงเมื่อไหร่คะ” ป้าจันทร์ทำงานรับใช้ตระกูลอัครราชมานานจึงรู้จักนิสัยใจคอของคุณประภพดี และรู้ด้วยว่าที่คุณประภพทำไปทั้งหมดเป็นเพราะไม่ต้องการให้ลูก ๆ เป็นห่วงแต่มะเร็งเป็นโรคร้ายแรง อีกทั้งตอนนี้หมอก็บอกว่าอาการป่วยของคุณประภพอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว ป้าจันทร์จึงต้องก้าวก่าย “ฉันคงต้องบอกพวกเขาแล้วล่ะ” “คุณท่านทำถูกต้องแล้วล่ะค่ะ คุณทิตกับคุณกรควรจะได้รู้ว่าคุณท่านป่วยหนักนะคะ” ป้าจันทร์ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจขึ้นมาหน่อยเพราะถ้ามารู้ว่าพ่อตัวเองป่วยตอนที่สายไปแล้วทั้งอาทิตย์และภาสกรจะต้องเสียใจและนึกโทษตนเองที่ไม่เคยรู้ว่าพ่อป่วยหนักขนาดนี้ ทว่าสิ่งที่คุณประภพพูดออกมากลับไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลเหล่านี้ ความตั้งใจที่ต้องการจากไปโดยไม่อยากให้ลูก ๆ ต้องมาเป็นห่วงและยุ่งยากยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอยู่บนโลกใบนี้อีกไม่นานเลยอยากทำตามความต้องการของตัวเองที่เคยตั้งใจเอาไว้ วันรุ่งขึ้นคุณประภพขอคุณหมอออกจากโรงพยาบาลโดยรับปากว่าจะกลับมารักษาตัวหลังจากจัดการเรื่องสำคัญเสร็จ และเมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นอาทิตย์นั่งอยู่บนโซฟาที่โถงใหญ่กลางบ้าน ปกติเวลานี้อาทิตย์น่าจะอยู่บริษัทเพราะภาสกรก็ออกไปดูแลกิจการร้านอาหารตั้งแต่เช้า การอยู่ของลูกชายคนเล็กที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนบ้างานทำให้คุณประภพรู้ได้ทันทีว่าอาทิตย์คงจะรอพบตนอยู่ “ไปไหนมาเหรอครับ” อาทิตย์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นคุณประภพย่างกรายเข้ามาในบ้านแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะปกติคุณประภพก็เดินทางไปไหนมาไหนเลยกลับบ้านไม่เป็นเวลา “คุณท่านเพิ่งออกจากโรงพยาบาลค่ะ” “โรงพยาบาล? ไม่สบายเหรอครับทำไมผมกับพี่กรถึงไม่รู้” อาทิตย์ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงระคนตกใจที่ได้ยินว่าพ่อไม่สบายถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาล แต่คุณประภพก็ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่เดินนำเข้าไปในห้องทำงานโดยมีอาทิตย์ตามเข้าไปด้วย “พูดธุระแกมาเถอะ” ทันทีที่หย่อนกายลงยังเก้าอี้ประจำตำแหน่ง คุณประภพก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสีหน้าอิดโรยเล็กน้อย เดาว่าที่อาทิตย์ยอมสละเวลางานมารอพบตนคงจะเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว ได้ยินดังนี้อาทิตย์ก็ไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบด้วยรู้นิสัยของคุณประภพดีว่าจะพูดก็ต่อเมื่ออยากให้รู้เท่านั้น อาทิตย์นั่งลงยังเก้าอี้ตรงข้ามกับเจ้าของห้องก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ผมชอบคุณมุกครับ พ่อพอจะช่วยผมได้ไหมครับ” ธุระสำคัญที่เพิ่งจะออกจากปากของคนที่ไม่เคยพูดเรื่องผู้หญิงกับพ่อมาก่อนทำให้คุณประภพค่อนข้างแปลกใจ พร้อมกับใช้สายตาพิจารณาว่าเจ้าลูกคนนี้สนใจในตัวมุกรินจริง ๆ หรือแค่อยากคบหาเพียงฉาบฉวยเหมือนกับผู้หญิงที่ผ่าน มา ทว่านัยน์ตาคมและสีหน้าจริงจังกว่าทุกครั้งก็พอจะให้คำตอบคุณประภพได้แล้ว แต่อย่างไรเสียก็ต้องถามเพื่อความแน่ใจ “แกชอบอะไรในตัวหนูมุก” คุณประภพไม่เชื่อว่าเวลาเพียงไม่นานจะทำให้คนที่ไม่คิดจะคบหาผู้หญิงจริงจังชอบผู้หญิงคนหนึ่งถึงขนาดเข้ามาพูดกับตนอย่างเป็นทางการ และยิ่งอาทิตย์รู้อยู่แล้วว่ามุกรินเป็นคนที่ตนอุปถัมภ์เลี้ยงดู ดังนั้นแล้วการที่อาทิตย์มาบอกให้คุณประภพรับรู้และเอ่ยปากขอความช่วยเหลือคงไม่ได้แค่คิดจะคบเล่น ๆ “ผมชอบคุณมุกก็คือชอบ ไม่มีเหตุผลหรอกครับ” แต่ทว่าคำตอบของอาทิตย์ก็ไม่ได้สร้างความขุ่นเคืองแก่ผู้เป็นพ่อแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับเป็นคำตอบที่ทำให้คุณประภพเชื่อว่าอาทิตย์พึงพอใจต่อตัวมุกรินจริง ๆ เพราะการที่คน ๆ หนึ่งจะชอบหรือรักใครสักคนไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใดๆมารองรับ เหมือนดังเช่นความรักที่คุณประภพมีต่อผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ว่าใครจะมองว่าเธอไม่เหมาะสมในทุกด้านก็ตาม แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีความรักที่คุณประภพมีให้อดีตคนรักก็ไม่มีวันเสื่อมคลาย "แล้วแกคิดจะจริงจังกับหนูมุกแค่ไหนหรือแค่จะคบไปอย่างนั้น" ทุกวันนี้การคบหาดูใจกันไม่ได้แปลว่าจะให้อีกฝ่ายเป็นคู่ชีวิต เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องของอนาคตก็จริงแต่ไม่ใช่ในกรณีของมุกรินกับอาทิตย์ เพราะสำหรับมุกรินแล้วคุณประภพต้องการให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้านอัครราชในฐานะลูกสะใภ้ "ถ้าผมบอกว่าผมอยากคบกับคุณมุกถึงขั้นแต่งงานพ่อจะสนับสนุนผมหรือเปล่าครับ" คำตอบที่ได้ฟังทำให้คุณประภพจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลูกชาย จริงอยู่ว่าหากอาทิตย์พึงพอใจในตัวมุกรินถึงขั้นคิดเรื่องแต่งงานย่อมเป็นการดี เพราะคุณประภพจะได้ไม่ต้องใช้วิธีคลุมถุงชน แต่มีหรือที่คนเป็นพ่อจะไม่รู้จักนิสัยลูกในไส้ คนอย่างอาทิตย์น่ะหรือจะคิดถึงเรื่องแต่งงาน นอกเสียจากเขาจะกลัวว่าคุณประภพจะยกสมบัติให้กับมุกรินจนหมด เลยใช้วิธีเรือล่มในหนองทองจะไปไหนเ แต่หากจะคิดว่าอาทิตย์ต้องการแต่งงานกับมุกรินด้วยเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวก็ไม่น่าจะใช่ สายตาของอาทิตย์เวลาที่พูดถึงมุกรินมักจะเป็นแววตาของคนที่มีความรู้สึกดี ๆ อยู่ในนั้น เลยได้แต่ภาวนาไม่ให้ตนเองมองลูกชายผิดไปเพราะคุณประภพไม่ต้องการให้ความรัก ความหวังดีที่มีต่อมุกรินกลายเป็นดั่งน้ำผึ้งอาบยาพิษที่สุดท้ายแล้วจะเป็นสิ่งที่ทำร้ายมุกรินเอง “ถ้าแกสัญญากับฉันว่าแกจะไม่ทำให้หนูมุกเสียใจ” แม้น้ำเสียงจะฟังเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็แฝงไปด้วยคำขู่ที่ว่า ถ้าหากวันข้างหน้าอาทิตย์สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้มุกรินแม้เพียงนิด อาทิตย์ก็จะกลายเป็นลูกที่เนรคุณขึ้นมาทันที “ผมชอบคุณมุกครับ ชอบอย่างที่ไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนมาก่อน” คำตอบที่ดูจะไม่ตรงกับคำถามกลับมีความหนักแน่นและแสดงให้เห็นว่าอาทิตย์คิดจะจริงจังกับมุกรินจริง ๆ เพราะครั้งหนึ่งคุณประภพก็เคยลั่นวาจาแบบเดียวกันนี้ หวังก็แต่ว่าเจ้าอาทิตย์จะซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเองและไม่ทำเรื่องผิดพลาดเหมือนที่คุณประภพเคยทำผิดต่อผู้หญิงคนหนึ่ง “ถ้าฉันจะให้แกแต่งงานกับหนูมุกแกจะว่าไง” “อะไรนะครับ” แม้อาทิตย์จะแสดงสีหน้าตกใจออกมา แต่ในความตกใจก็มีความดีใจเกิดขึ้น และในตอนนี้เองที่คุณประภพส่งเอกสารที่ระบุอาการป่วยของตนเองให้อาทิตย์ดู ซึ่งอาทิตย์ก็ตกใจมากที่ได้รู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมายความว่ายังไง ที่คุณประภพอยากให้เขารีบแต่งงานกับมุกรินเพราะรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มากแล้วอย่างนั้นเหรอ “ฉันรู้อาการตัวเองดี ดังนั้นฉันเลยอยากเห็นแกกับหนูมุกแต่งงานกัน หนูมุกเป็นเด็กกำพร้าไม่มีทั้งพ่อและแม่ ฉันเลยรับอุปถัมภ์มาตั้งแต่เด็กดังนั้นก่อนที่ฉันจะตาย ฉันอยากเห็นหนูมุกมีครอบครัว มีชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีคนดูแล ซึ่งผู้ชายคนนั้นฉันก็หวังให้เป็นแกไม่ก็พี่ชายของแก แต่ในเมื่อแกบอกว่าแกชอบหนูมุกและคิดจะจริงจังด้วย ฉันก็อยากให้แกแต่งงานกับหนูมุกและดูแลหนูมุกแทนฉัน” อาทิตย์ตั้งใจฟังประโยคยาวเหยียดที่ราวกับเป็นคำสั่งเสียของผู้เป็นพ่อ โดยสรุปใจความได้ว่าที่คุณประภพพูดมาทั้งหมดก็แค่ต้องการให้มุกรินมีชีวิตที่สุขสบาย ขนาดผู้หญิงคนนั้นตายจากไปนานแล้วแต่พ่อก็ยังอาลัยอาวรไม่เลิก ต่างจากแม่ของเขาที่คงไม่เคยมีสักวันที่คนเป็นพ่อจะคิดถึง “ถ้าพ่อต้องการให้ผมแต่งงานกับคุณมุก ผมจะยอมแต่งให้ก็ได้ครับ” “แกแน่ใจนะ” คุณประภพจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลูกชายเพื่อต้องการรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่การคลุมถุงชน “วันนี้ผมอาจบอกไม่ได้ว่าผมชอบคุณมุกมากแค่ไหน แต่ผมสัญญาว่าวันข้างหน้าผมจะรักและดูแลคุณมุกอย่างที่พ่อต้องการ” ฟังดูผิวเผินเหมือนว่าอาทิตย์กำลังให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณประภพผิดหวัง ทว่าความจริงแล้วเขากำลังบอกว่า เขาจะสนองความปรารถนาของคุณประภพให้สาสมกับความเสียใจของผู้เป็นแม่ที่ต้องอยู่กับการถูกทรยศหักหลัง เจ็บปวดชอกช้ำ จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD