เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา
เวลาเที่ยงคืน…
‘ดาด้าลูกรัก ถือเสียว่านั่นเป็นประสงค์ของพระเจ้าก็แล้วกัน’ เพราะคำพูดกึ่งสอนสั่งของบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกตลอดเวลา ทำให้อารดาพยายามคิดบวกกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หากแต่เธอให้คำจำกัดความว่า ‘คราวซวย’ ที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้
อารดากลับจากงานเลี้ยงรุ่น ที่เพื่อนสมัยเรียนรวมตัวกันจัดขึ้น ณ โรงแรมหรูใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง เกือบจะได้กลับไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สร่างเมาอยู่แล้ว แต่รถคู่ใจดันมางอแงก่อนจะถึงปากซอยทางเข้าบ้านแค่สองร้อยเมตร หลังจากโทร.ไปเรียกช่างซ่อมเจ้าประจำ ซึ่งเปิดให้บริการลูกค้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงมาลากรถไปเข้าอู่ เธอก็เดินตุปัดตุเป๋กลับบ้านในสภาพเมานิดๆ
“โอ๊ย…ม่ายน่าลองกินเหล้าเลยเรา ปวดหัวชะมัด ให้ตายสิ!” เสียงยานคางเล็กน้อยบ่นอุบกับตัวเอง ขณะยกมือขึ้นคลึงขมับอิ่ม เพื่อให้มันช่วยบรรเทาอาการมึนหัวจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ในกระแสเลือด
“อุ๊ย!” เดินเซเข้าซอยมาได้ไม่นานคนเมาก็หลุดอุทานออกมา เพราะสะดุดขาตัวเองจนเกือบล้มหัวคะมำ ก่อนจะย่อตัวลงถอดรองเท้าส้นสูงคู่สวยออกอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าพร้อมถือรองเท้าเอียงกะเท่เร่ซ้ายทีขวาที บ้างก็ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเกินเหตุ
“โอ้เหล้าจ๋า…หันมายิ้มหน่อยซิ ยิ้มซิ ยิ้มซิ ที่รักยิ้มนานๆ อย่าด่วนใจดำทำรำคาญ ฉันจะแต่งงานกับเธอใต้แสงจันทร์” นี่เป็นบทเพลงที่คุณยายซึ่งอยู่เมืองไทยชอบเปิดประชดเวลาที่คุณตากินเหล้าเมาหัวราน้ำ และเธอก็ยังจำได้ขึ้นใจตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็ก ถึงแม้ปัจจุบันอารดาจะไม่ได้ไปเยือนประเทศไทย เพราะญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ทางโน้นได้สิ้นบุญไปหมดแล้ว แต่เธอก็ยังติดนิสัยฟังเพลงไทยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
“เอิ๊ก…คิดได้ยังไงเนี่ยยัยดาด้า จะแต่งงานกับเหล้า แค่ลองแก้วเดียวก็เมาแอ๋หัวทิ่มหัวตำแล้ว ฮ่าๆๆ” แม่สาวที่เพิ่งริดื่มเหล้าเป็นครั้งแรกในชีวิตหัวเราะอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ติ๊ด…ติ๊ด…ติ๊ด
“ฮัลโหล…” หญิงสาวกรอกเสียงหวานติดจะอ้อแอ้ลงไปในสายทันควัน ครั้นไม่มีการตอบโต้จากผู้ที่โทร.มาอารดาก็ขมวดคิ้วมุ่น
“บ้าหรือเปล่าเนี่ย โทร.มาแล้วก็ไม่พูด” เจ้าของร่างอรชรบ่นอุบ พลางทำหน้ายุ่งเหยิง
“นี่คุณ จะพูดไหมคะ ถ้าไม่พูด ฉันจะวางสายแล้วนะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากเรียวปากสีชมพูระเรื่อชักจะเริ่มกระด้าง ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ จึงค่อยๆ เบนสายตาสีนิลมามองสิ่งที่เพิ่งลดลงจากใบหูน้อย
“เฮ้ย…นี่มันรองเท้านี่นา บ้าไปแล้วยัยดาด้า” ขณะที่สาวเจ้ากำลังบ่นให้ตัวเองอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็กรีดร้องรบกวนโสตประสาทอีกครา เธอจึงรวบรองเท้าไปถือไว้ด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายใบเก๋อย่างทุกลักทุเล
“อารดาพูดค่ะ” หญิงสาวพยายามครองสติ แล้วกดรับสายทันที
“ดาด้า เธอถึงบ้านแล้วหรือยัง” เสียงแห่งความเป็นห่วงเป็นใยที่ดังแว่วมาตามสายทำให้อารดารู้ได้ทันที ว่าผู้ที่โทร.มาคือโคลอี้ เพื่อนสาวคนสนิทของเธอนั่นเอง
“เราเดินเข้าซอยมาแล้ว อีกแป๊บเดียวก็ถึง” อารดาตอบพลางก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยท่าทางไม่มั่นคงนัก
“เราบอกว่าจะไปส่งเธอก็ไม่ยอม เห็นไหมล่ะดึกขนาดนี้ก็ยังไม่ถึงบ้านอีก” ผู้ที่โทร.มาเริ่มบ่นยืดยาว
“เราไม่เป็นไรหรอกน่า เธอไม่ต้องเป็นห่วง”
“โอเค กลับถึงบ้านแล้วโทร.หาเราด้วยนะ” ก่อนจะวางสายโคลอี้ยังไม่วายกำชับเสียงเข้ม ทำให้อารดาย่นจมูกใส่โทรศัพท์ เพราะขบขันแกมหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายชอบทำตัวเป็นแม่แก่
“จ้า” เจ้าของร่างเพรียวระหงรับคำอย่างยิ้มๆ แล้วหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเช่นเดิม ไม่นานเสียงดังสนั่นก็แว่วขึ้นที่เบื้องหลังในระยะไม่ไกลมากนัก
ปังๆๆๆ…
“ใครมาจุดพลุในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแบบนี้เนี่ย ถ้าเป็นลูกเป็นหลานแม่จะฟาดให้ก้นลายเลยเชียว” หญิงสาวขยับกลีบปากอวบอิ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง พลางขมวดคิ้วมุ่น
เขากำลังไล่ยิงกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แต่แม่คุณดันเข้าใจผิดคิดว่ามีคนจุดพลุเล่น วินาทีถัดมาเสียงเพลงไทยอันแสนคุ้นหูก็ดังขึ้น
พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ
“เออชะรอยจะเป็นเนื้อคู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ…” แม่เจ้าประคุณร้องเพลงคลอเบาๆ พร้อมออกสเต็ปแดนซ์เซซ้ายเซขวา ทั้งที่ปกติเป็นคนค่อนข้างขี้อาย แต่เวลาสติไม่ครบถ้วนเช่นนี้อารดากลับบ้าสุดเหวี่ยง โดยไม่ได้นึกเอะใจเลยว่านั่นคือเสียงสายเรียกเข้าจากอีกหนึ่งซิมการ์ดที่บรรจุอยู่ภายในมือถือของตน
“เอ๊ะ…เมื่อกี้เสียงโทรศัพท์เรานี่นา ตายแล้วยัยดาด้า สวยแต่สติไม่เต็มเต็งได้อีกนะยะหล่อน” กว่าเธอจะนึกขึ้นได้เสียงเพลงก็เงียบไปเสียแล้ว อึดใจต่อมาอารดาก็หยุดกึกและย่นหว่างคิ้วโก่งเข้าหากัน
“เออ…ว่าแต่เมื่อกี้เราโทร.ไปหาใครนะ อุ๊ย…ไม่ใช่สิ ใครโทร.มาหาเราต่างหากละ แต่ก็ช่างประไร อยากคุยกับคนสวยก็ต้องขยันกดโทรศัพท์สิมันถึงจะถูก เพราะคนจะสวยช่วยไม่ได้” ท้ายประโยคคนที่มั่นใจว่าวันนี้ตัวเอง ‘สวย’ ยักไหล่เบาๆ พร้อมยิ้มร่า ทว่าสักพักก็ทำหน้ายุ่ง แล้วบ่นงึมงำ
“อืม…มึนหัวชะมัด” สาวเจ้าสะบัดศีรษะแรงๆ ก่อนที่สมองน้อยๆ ทว่าฉลาดเป็นกรดจะฉุกคิดขึ้นได้ “เออ…มีน้ำขวดเล็กๆ ที่โคลอี้ยัดใส่กระเป๋าให้เรานี่นา”
ขาดคำอารดาก็โน้มตัววางรองเท้าคู่สวยลงบนพื้นถนน แล้วล้วงขวดน้ำเปล่าออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะดื่มและล้างหน้ามันเสียตรงนั้น ความเย็นของน้ำทำให้เธอตาสว่างและหายมึนหัวไปได้มากเลยทีเดียว จากนั้นเจ้าของร่างแน่งน้อยก็ก้มลงเก็บรองเท้ามาถือไว้ในมืออีกครา
อึดใจต่อมาหูก็แว่วได้ยินเสียงฝีเท้าถี่ๆ มุ่งตรงมาทางนี้ ทันใดนั้นผู้ที่เพิ่งถอดเสื้อแจ็คเก็ตยัดลงถังขยะก็วิ่งมาชนเธอเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ร่างบอบบางเสียหลักพุ่งไปด้านหน้า
“ว้าย!” แม่สาวน้อยอุทานเสียงหลง ด้วยเกรงว่าตนจะล้มลงไปจูบกับพื้นถนน หากแต่เดชะบุญที่เจ้าของร่างทรงพลังคว้าข้อมือกลมกลึงและกระชากให้เธอหมุนตัวกลับมาได้ทันท่วงที ก่อนที่เขาจะวาดเรียวแขนแกร่งมาเกี่ยวเอวอ้อนแอ้น ชั่วพริบตาร่างอรชรก็ปลิวไปปะทะแผงอกกำยำที่อุดมด้วยกล้ามเนื้อหนั่นแน่นเต็มแรง
ตุ้บ!!!
‘อุ๊ยตายว้ายกรี๊ด…หน้าฉันซบอกล่ำๆ ของผู้ชาย!’ อารดาอุทานในอกด้วยความตะลึงพรึงเพริด หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักอย่างมิอาจห้ามได้ เจอสถานการณ์แบบนี้บวกกับฤทธิ์ของน้ำเปลี่ยนนิสัยซึ่งยังคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือด ก็ทำให้แม่สาวเรียบร้อยที่รักนวลสงวนตัวเป็นชีวิตจิตใจออกแนวรั่วได้เหมือนกัน ครั้นจะผลักไสร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างให้ถอยห่างเธอก็ดันมือไม้อ่อน เพราะช็อกไปชั่วขณะ อันเนื่องจากว่าไม่เคยต้องมือชายมาก่อนในชีวิต
“ตามหาให้เจอ อย่าให้มันหนีไปได้!” เสียงตะโกนโหวกเหวกจากทางถนนใหญ่ที่ลอยตามลมมากระทบโสตประสาท ทำให้ชายหนุ่มสบถลั่น
“ระยำเอ๊ย!” ทันใดนั้นเดเรคก็ดันไหล่บอบบางออกจากร่างผึ่งผาย ทว่าไม่ได้ทำแม้แต่ปรายตามองหน้าสาวเจ้า เพราะกำลังพะวักพะวงกับกลุ่มคนที่หมายปลิดชีวิตของเขา หากพวกมันไม่ทำตัวเป็นหมาหมู่ สาบานได้เลยว่าเดเรคจะไม่ยอมหนีเหมือนคนขี้ขลาดอย่างนี้แน่ แต่ช่างเถอะ! แก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย
“ไม่อยากทำอย่างนี้เลย บ้าชะมัด!” เสียงห้าวห้วนติดจะดุดันคำรามลั่นด้วยความคับข้องใจ จากนั้นปลายนิ้วกระด้างก็เชยคางมนขึ้น วินาทีแรกที่ได้มองหน้าอีกฝ่าย อารดาถึงกับตะลึงตาค้างในความหล่อบาดใจ ประหนึ่งเทพบุตรที่หล่นตุ้บมาจากสรวงสวรรค์ พลันรองเท้าในมือก็ร่วงผล็อยไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นถนน โอ้พระเจ้า! ให้ตายสิ! เธอแพ้คนหล่อ
“ไอ้เดเรค อย่าให้เจอตัวนะมึง พ่อจะยำให้เละเลย!” น้ำคำอาฆาตมาดร้ายที่ได้ยินจากระยะไม่ไกล ทำให้เจ้าพ่อหนุ่มตัดสินใจได้ในบัดดลว่าตนควรจะเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้ได้อย่างไร
“ถือว่าช่วยผมก็แล้วกันนะ”
เสี้ยววินาทีถัดมาใบหน้าหล่อลากไส้ก็ลอยเด่นอยู่ใกล้แค่คืบ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจผ่าวระอุที่รินรดซึ่งกันและกัน เขาไม่ได้สนใจจะมองหน้าเธอ เพราะดวงตาคมกล้าคู่นั้นเบนไปยังหน้าปากซอยอย่างระแวดระวัง แต่อารดานี่สิจ้องอีกฝ่ายไม่กะพริบ ก่อนที่เสียงหวานจะหลุดอุทานเบาๆ เมื่อมือใหญ่เคลื่อนมาจับตรึงท้ายทอยสลวยไว้มั่น
“อ๊ะ…อุ๊บ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ทว่ายังไม่ทันจะจับต้นชนปลายได้ก็ถูกอีกฝ่ายก้มลงมาปิดปากด้วยจุมพิตดุดันเสียแล้ว คราแรกเธอนั้นนิ่งงันคล้ายถูกสาป หากแต่ลมหายใจฟืดฟาดประหนึ่งกระหายจัดเจือด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ ก็ทำให้ร่างบางทะลึ่งพรวด และสร่างเมาได้อย่างชะงัด!
‘หล่อแต่เลว ฉันไม่สน!’ ความคิดของอารดาเปลี่ยนไปทันควัน ครั้นพ่อตัวโตตวัดเรียวแขนกำยำข้างที่ว่างรัดรอบเอวอ้อนแอ้นอีกครา แม่สาวอ่อนเดียงสาก็ดิ้นรนขัดขืนสุดกำลัง
“อื้อ…” เสียงอู้อี้ครางประท้วงกลั้วลำคอระหง คนถูกปล้นจูบดิ้นรนต่อต้านสุดฤทธิ์ พลางระดมกำปั้นน้อยๆ ซัดเข้าที่ไหล่กว้างไม่ยั้ง หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยี่หระ แถมพ่อเจ้าประคุณยังสอดแทรกเรียวลิ้นร้ายกาจเข้าไปฉกฉวยความหวานล้ำจากกระพุ้งแก้มอิ่มอุ่นอย่างโอหัง
การกระทำอันแสนอุกอาจทำให้อารดาหายเมาเป็นปลิดทิ้ง สติสัมปชัญญะกลับมาเกือบจะครบถ้วนร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เพราะที่จริงแล้วเธอนั้นไม่ได้เมามากมายอะไร เพียงแค่ร่างกายไม่ชินกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ อีกทั้งน้ำเปล่าก็ช่วยได้มากเลยทีเดียว
‘จูบไม่ประสา แถมยังเงอะๆ งะๆ แบบนี้ แม่สาวเวอร์จิ้นชัดๆ’ นั่นคือความคิดแวบแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของพ่อหนุ่มจอมฉกฉวยมือฉมัง ผู้ผ่านสมรภูมิรักมาอย่างโชกโชน