ห้องประชุมที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินไปอยู่ที่ชั้นสองของอาคาร ซึ่งพอปวริศาและเอมี่เดินขึ้นบันไดมาก็เจอทันที เป็นห้องประชุมกว้างขวาง ที่บัดนี้ผู้กำกับและผู้จัดชื่อดังทั้งสองก็ได้รอคนทั้งคู่อยู่ด้านในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง การนำเสนอภายในห้องประชุมต่อหน้าผู้จัดและผู้กำกับที่คุ้นหน้ากันอยู่เลย ก็เป็นไปด้วยความเป็นกันเอง ในขณะที่เอมี่รับหน้าที่นำเสนอ ปวริศาก็คอยจดรายละเอียดที่ทั้งสองอยากให้ทีมเสื้อผ้าเพิ่มให้ กระทั่งเป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย การนำเสนอจึงยุติ ขณะที่กำลังก้มเก็บอุปกรณ์เตรียมจะออกจากห้องประชุมอยู่นั้น
"ไม่อยู่เจอน้องรุษก่อนล่ะ เอมี่ เดี๋ยวก็คงจะมาถึงแล้ว วันนี้พวกพี่นัดพระเอก นางเอกและตัวละครหลักอื่น ๆ มาประชุมที่ห้องนี้ต่อ" เสียงอันกังวานของผู้กำกับคนดังดังขึ้น พลางมองเอมี่ด้วยดวงตาล้อเลียน เพราะผู้กำกับคนนี้รู้ว่าเอมี่กรี๊ดกร๊าดพระเอกคนนี้มากแค่ไหน
เอมี่ยิ้มขวยเขินเล็กน้อย ในขณะที่ปวริศายืนตัวแข็งทื่อ พร้อมกับภาวนาคำตอบของเอมี่อย่าเป็นตกลงเลย ซึ่งคำขอร้องของเธอนั้นก็ได้ผล เพราะเอมี่ปฏิเสธอย่างเสียดาย โดยให้เหตุผลว่า จะต้องกลับไปทำงานต่าง ๆ ต่อ
"แหม เอมี่ก็อยากเจอน้องรุษสุดหล่ออยู่เหมือนกันค่ะ แต่เดี๋ยวเอมี่กับน้องศาต้องไปหาเสื้อผ้าเพิ่ม อีกอย่างเสื้อผ้าที่ใช้ในวันฟิตติ้งก็ยังไม่ได้รีดเลยสักชุด เอาไว้ค่อยเจอน้องรุษวันฟิตติ้งและเปิดกล้องไปทีเดียวดีกว่าค่ะ ต่อไปน้องรุษก็อยู่ในกำมือของเอมี่อยู่แล้ว จะแต๊ะอั๋งยังไงก็ได้...อิอิอิ" ว่าแล้วก็หัวเราะร่วนขึ้น ทำให้ผู้จัด และผู้กำกับต้องหัวเราะตามอย่างครื้นเครงไปด้วย
ปวริศาก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เก้าโมงครึ่งแล้ว เหลือเวลาอีกสามสิบนาที กว่าจะถึงเวลานัดหมายของผู้จัดและผู้กำกับเธอก็คงเผ่นแน่บ ออกจากบริษัทนี้ไปแล้ว อย่าเพิ่งมาเจอหน้าเขาตอนนี้จะดีกว่า เธอจะทำหน้ายังไงไหว เพราะยังรู้สึกติดค้างเขาอยู่มากมาย แถมก็เพิ่งถูกเขาเทศน์กัณฑ์ใหญ่มาหยก ๆ ขืนเช้านี้จะต้องมาเจอหน้ากันอีก เธอไม่คิด เขานั่นแหละที่จะคิด ว่าอะไรจะจงใจให้พบกันอีกปานนั้น
ปวริศารีบเก็บของลงกระเป๋าแล้วยื่นมือรับชาร์ต บอร์ดมาถือ รีบจ้ำอ้าวออกจากห้องไปให้ไวก่อนจะถึงสิบโมง อรุษในหัวของเธอตอนนี้ก็เท่ากับผีตนหนึ่งไปแล้ว ไม่เหมือนเอมี่ รายนั้นมองเขาราวกับเทพบุตรกำลังมาโปรดก็ไม่ปาน
"เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" เอมี่บอกขณะเดินออกจากห้องประชุมมาติด ๆ กัน "ถือนี่ลงไปรอพี่ที่รถก่อนก็แล้วกัน" ว่าแล้วก็ฝากข้าวของในถุงอีกใบให้เธอถือไปก่อน จากนั้นเอมี่ก็เดินไปเข้าห้องน้ำที่ติดกับห้องประชุมต่อ
ตอนนี้จึงเหลือแค่ปวริศาคนเดียวที่กำลังจะเดินลงบันได แต่เท้าทั้งสองก็พลันชะงัก เพราะเธอดันได้ยินเสียงใครคนหนึ่งคุยโทรศัพท์จากบันไดตรงหน้าดังแว่วขึ้นมาว่า...
"ตอนนี้ผมอยู่ที่บริษัทมัน(ส์) ดีแล้วพี่..."
สะ เสียงใครนั่น! ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน...
ปวริศารีบชะโงกหน้าลงไปดูตามเสียงที่ได้ยินทันที เธอเห็นศีรษะสีดำนั้นกำลังเคลื่อนขึ้นบันไดมาทีละนิด พร้อมกับการคุยมือถือกับปลายเสียงด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
หญิงสาวพ่นลมหายใจ อย่างขัดใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเจ้าของน้ำเสียงทุ้มอันคุ้นหูนั้นเป็นใคร หึ...เขาจะรีบมาก่อนเวลานัดทำไมก็ไม่รู้ เธออุตส่าห์จะรีบออกจากที่นี่ไปให้ไว เพราะยังไม่อยากเจอหน้ากันวันนี้อยู่แล้วเชียว!
หญิงสาวคิดอะไรตามอย่างรวดเร็ว ขณะที่เจ้าของศีรษะดำ ๆ นั้นก็กำลังเคลื่อนที่ขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับคุยมือถือไปด้วย ความจริงเขาก็คงไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่ถ้าเขาได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วประสานสายตากับเธอที่กำลังจะเดินลงไป รับรองว่าเขาจะต้องจำเธอขึ้นมาได้ทีเดียว แม้เมื่อคืนที่แล้วเขาจะบอกว่า 'ไม่ติดใจเอาความ' แต่ความมีสำนึกของเธอก็ยังเอา (ข้อ) ความนั้นมาติดใจอยู่
ปวริศาหลุบตามองชาร์ต บอร์ดที่ถือเอาไว้ในมือทั้งสอง รีบยกมันขึ้นมาช่วยบังใบหน้าและศีรษะ จากนั้นก็รีบลงบันไดไปเช่นกัน โดยขยับตัวมาเดินชิดผนัง ในขณะคนที่กำลังขึ้นบันไดมาจะอยู่อีกฝาก เธอกะเอาไว้คร่าว ๆ เธอจะสวนทางกับเขาตรงมุมเลี้ยวที่จะลงบันไดพอดี
อรุษคุยที่มือถือกับผู้จัดการส่วนตัวในเรื่องงาน ระหว่างเดินขึ้นบันไดมา ก็เห็นทางหางตาอยู่ว่ามีร่างใครบางคนกำลังจะเดินสวนลงมา โดยมีชาร์ต บอร์ดสีดำอันใหญ่บังเอาไว้ เขาคิดว่าคงเป็นทีมงานของพี่ขนิษฐ์ ผู้จัดละครชื่อดังนั่นแหละ กำลังจะสวนกันตรงทางเลี้ยวไปแล้ว สายตาดันหลุบเห็นสิ่งผิดปกติจากเจ้าของร่างนั้นเข้า ทำให้เขาลดมือถือลงจากหน้า แล้วรีบหันหลังกลับไปเรียกเจ้าของร่างนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว "เดี๋ยว..."
ปวริศาชะงัก และตกใจขึ้น เขาเรียกเธอทำไม! หรือว่า...เขาจะรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของผู้ชายที่ก่อเรื่องปวดหัวให้เขาเมื่อคืนที่ผ่านมา จะบ้าหรือ...จะรู้ได้ยังไง! ก็ในเมื่อเธอยกชาร์ต บอร์ดอันใหญ่มาบังครึ่งลำตัวส่วนบนของเธอเอาไว้แล้วนะ นอกเสียจากว่าเขาจะมีสายตาอันเฉียบคมปานเลเซอร์จนสามารถ สแกนตัวเธอผ่านชาร์ต บอร์ดแผ่นหนาสองแผ่นนี่ได้
ปวริศาไม่สนใจเสียงเรียกนั้น ทำท่าจะรีบลงบันไดไปให้เร็วอีก แต่...เจ้ากรรม เท้าข้างหลังที่จะก้าวขึ้นมาข้างหน้า มันกลับยกไม่ขึ้น เธอกระตุกข้อเท้าอยู่สองสามครั้งมันไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย ว่าแล้วจึงลดสายตาลงไปที่เท้าข้างนั้นทันที แล้วเธอก็พบสาเหตุที่ทำให้เธอยกเท้าหลังไม่ขึ้น นั่นเป็นเพราะ...สายเชือกรองเท้าผ้าใบสีขาวข้างนั้นของเธอมันได้หลุดออกมา จนมีความยาวนับสิบเซนติเมตรได้ และปลายเชือกของมันกำลังโดนรองเท้าสีดำอีกข้างเหยียบเอาไว้อย่างมั่นคงอยู่!
หญิงสาวรีบชักเท้าออกอีก แต่เขากลับกดน้ำหนักเท้าข้างนั้นเพิ่ม แล้วเสียงทุ้มยังอธิบายตาม
"ที่ผมเรียกคุณ จะบอกว่าสายเชือกรองเท้าคุณหลุด แต่คุณก็ไม่ฟังเลย..."
ร่างบางนี้ก้มหน้าลงอีก แล้วตอบ "ขะ ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันจะผูกใหม่..."
อรุษนิ่วหน้า น้ำเสียงนี้คุ้น ๆ หู เหมือนเคยได้ยินกันจากที่ไหนมาก่อน แต่ก็นั่นแหละ แต่แรกเขาก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้คงเป็นทีมงานของพี่ขนิษฐ์ ซึ่งเขาอาจจะเคยเจอมาก่อนก็เป็นได้ ดังนั้น เขาจึงไม่ติดใจอีก รีบยกเท้าข้างที่เหยียบเชือกรองเท้าข้างนั้นออกให้
เห็นรองเท้าของเขาที่เธอก้มมองลอดผ่านชาร์ต บอร์ดได้ขยับแล้ว ปวริศาก็ค่อย ๆ ย่อลงทำเหมือนจะก้มลงผูกเชือกรองเท้าอย่างที่พูด ชายหนุ่มจึงหันหลังกลับจะขึ้นบันไดต่อ ทว่า เดินได้เพียงก้าวเดียว หูของเขาก็ได้ยินเสียงของอย่างหนึ่งหล่นกระทบพื้นดังปึก! จนเกิดแรงลมกระทบเข้าที่แผ่นหลังตาม เขาหันกลับไปตามสัญชาติญาณ แล้วก็พบว่าคนที่กำลังทำท่าย่อตัวกึ่งนั่งกึ่งยืนนั้นได้อ้าปากมองเขาอย่างตกตะลึงอยู่เช่นกัน
ปวริศาได้หลุบตามองชาร์ต บอร์ดที่ทำหลุดออกจากมือ ในขณะที่ปล่อยมือข้างนั้นออก เพื่อจะม้วนสายรองเท้ามาเก็บไว้ก่อน รีบเลื่อนสายตาขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลาที่มองเธออย่างตกใจอยู่เช่นกัน
แล้วเขา ก็เปล่งเสียงอย่างตกใจระคนแปลกใจออกมาทันที "นี่...คุณอีกแล้ว!"