ขณะที่หญิงสาวยืนนิ่ง เพราะสัญญาณชีพถูกปลิดไปตั้งแต่ที่เขาบอกว่าพ่อของเธอขี่รถมอเตอร์ไซค์พุ่งออกมาชนรถเขาแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจอีก ก่อนจะเดินกลับไปเปิดประตูรถอีกด้านวางสูทตัวหรูลงไป แล้วหยิบของอย่างอื่นติดมือมาชูที่ตรงหน้าเธออีกครั้ง พลางว่าด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันเช่นเดิมว่า "แล้วนี่ รางวัลที่ผมเพิ่งรับจากงานประกาศผลรางวัลมาสด ๆ ร้อน ๆ ตอนนี้มันก็หักออกเป็นสองท่อนแล้ว คุณรู้มั้ยว่ามันหักตอนไหน ก็ตอนที่ผมต้องเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน เพราะรถของพ่อคุณพุ่งออกมาชนรถของผมไง!"
อย่างสุดท้าย น้ำเสียงเขาบอกราวกับจะเจ็บปวด และแค้นเคืองสุด ๆ!
ก่อนที่สัญญาณชีพของปวริศาจะหมดไปแล้วจริง ๆ ด้วยคำว่า 'งานประกาศผลรางวัลในคืนนี้' นั่นเอง คือเครื่องมือ CPR ที่เข้ามากู้ชีพ กู้สติสัมปชัญญะของหญิงสาวให้กลับมาใช้การได้อีกครั้ง
เขาบอกว่าไปร่วมงานนั้น และได้รับรางวัลหนึ่งติดมือกลับมาด้วย ปวริศาที่ทำงานอยู่ในแวดวงคนบันเทิง ก็พอจะรู้ว่าค่ำคืนนี้ มีงานประกาศผลรางวัลของคนบันเทิงจากสื่อเจ้าดังระดับประเทศเจ้าหนึ่ง เขาได้ไปงานนั้นมา และได้รับรางวัลมาด้วย แสดงว่าเขาก็ต้องเป็นดาราคนหนึ่งน่ะสินะ!
ปวริศาละสายตาจากสิ่งของที่แตกหักในมือหนาทั้งสองข้าง แล้วรีบสะบัดหน้ากลับไปมองชายหนุ่มที่ยืนจังก้าให้เต็มตามากขึ้น ยามนี้เธอเห็นเขายังจ้องมองเธอผ่านแว่นตาสีดำอันใหญ่ด้วยคิ้วเข้มที่ยังขมวดมุ่น ในมือยังกำรางวัลที่หักเป็นสองท่อนแน่น!
ใช่แล้ว! ด้วยใบหน้าคมสันกับคิ้วเข้มแบบนี้ จมูกโด่งแบบนี้ ริมฝีปากหยักสวยได้รูปแบบนี้ และรูปร่างสูงแบบนี้ ผู้ชายคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้แล้วนอกจาก…
'อรุษ ไวทยากุล!' ซุปเปอร์สตาร์ดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในตอนนี้ นั่นเอง!
ปวริศาพาพ่อเดินลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล้ว เธอก็หันไปยกมือไหว้ขอบคุณเพื่อนของพ่ออีกสองคน ที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์เหมือนกันทันที เพราะหลังจากตกลงกับผู้ชายคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอคงไม่สามารถพาพ่อที่มีสภาพเมาแอ๋กลับมาถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพเป็นแน่
หญิงสาวจึงโทรไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพ่อสองคนนี้มาช่วย โดยคนหนึ่งจับพ่อของเธอซ้อนท้าย ส่วนอีกคนก็ขี่มอเตอร์ไซค์ของพ่อมา ส่วนเธอก็ขี่คันของเธอตามมาห่าง ๆ กว่าจะมาถึงบ้านเวลาก็ปาเข้าไปเกือบจะตีหนึ่งทีเดียว
พ่อที่ลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินเข้าไปพิงกับเสาบ้านด้วยอาการคอพับคออ่อน ทำให้แม่ที่เฝ้ารอในบ้านอยู่แล้วรีบเดินออกมาทุบตีตามตัวพ่อด้วยความขัดเคืองอีก
"นี่แน่ะไอ้แก่! ก่อเรื่องมาอีกแล้ว! "
ปวริศาจึงรีบหันไปปิดประตูบ้าน แล้วรีบตามมาแยกแม่ออกจากพ่อไปทันที "แม่ พอแล้ว!" ก่อนที่จะพยายามทั้งดันทั้งพยุงพ่อให้กลับเข้าไปภายในบ้าน
ครั้นมาถึงโซฟาตัวยาวในห้องโถง ก็ปล่อยตัวของพ่อนอนลงไปที่โซฟาตัวนี้
"จะมาห้ามแม่ทำไม! แม่จะสั่งสอนพ่อแกซะหน่อย" นางอุษาว่าพร้อมทั้งทำท่า อย่างกับจะกระโจนตามลงไปตีคนที่นอนเมาไม่รู้เรื่องตรงหน้าซ้ำอีก
ทว่า ปวริศาก็รีบกางแขนปกป้องผู้เป็นพ่อ แล้วว่าอีก "แม่จะสั่งสอนพ่อตอนนี้ก็ไม่ได้เรื่องหรอก เมาซะขนาดนี้" นางอุษาจึงทำได้เพียงแค่ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วมองคนที่นอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์สุราด้วยอาการหมายมาดตาม ... รอให้ตื่นขึ้นมาก่อนเถอะ ไอ้แก่ จะต้องโดนดีแบบทบต้นทบดอกแน่ ๆ!
จากนั้น จึงหันกลับมาถามลูกสาวคนเดียวของตนต่อ "แล้วนี่ เรื่องเป็นยังไงอีก หึ? "
ความจริงนางอุษาก็รู้มาก่อนหน้าคร่าว ๆ แล้วตอนที่ลูกสาวคนเดียวได้โทรมาบอกล่วงหน้าว่าจะพาพ่อกลับมาส่งที่บ้าน และจะอยู่ค้างคืนที่นี่ต่อเลย
ปวริศาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อีกตัวอย่างอ่อนแรง ตอบผู้เป็นแม่ด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ เล็กน้อย "เขาไม่เอาเรื่อง"
"หา!" นางอุษาอุทานสีหน้าเริ่มดีขึ้น "แล้วทำไมเขาถึงไม่เอาเรื่อง? "
หญิงสาวมองแม่ แล้วก้มหน้าแค่นหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามาตอบผู้เป็นแม่อีกครั้ง "แม่ก็ดูสภาพของศากับของพ่อสิ ว่าน่าให้เขาเอาเรื่องมั้ย ขืนเรียกร้องอะไรมาก็คงจะได้คืนหรอกนะ เขาไม่เอาเรื่องแต่แค่แลกกับ..."
"แลกกับอะไร? "
"กับการที่ได้ตำหนิศามาชุดใหญ่ไง!" ปวริศาอดที่จะตอบด้วยน้ำเสียงสะบัดไม่ได้ เมื่อต้องนึกถึงตอนที่ถูกเขาอบรมบ่มนิสัยเป็นการใหญ่ เหมือนเธอได้กลับไปเข้าค่ายคุณธรรมในวัยเรียนอย่างไรอย่างไรนั้น หึ! พ่อรูปหล่อหน้าตาดี... ใครจะไปคิด ว่าพ่อก็มีคารมที่คมคายไม่เบา!
นางอุษาทำน้ำเสียงจิ๊จ๊ะขึ้นมา แล้วปลอบลูกสาวด้วยความรำคาญไปด้วย "ก็ทนให้เขาด่าหน่อยก็ดีแล้วนี่ รึศาอยากจะเสียเงินเสียทองให้เขาไป หึ? "
"แม่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นด้วยกันมั้ยล่ะ ตอนที่ศาถูกเขาด่าน่ะ" ปวริศาพูดไปก็นึกถึงคำพูดเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่เขามาว่าขึ้นมา แล้วอดที่จะบ่นพึมพำกับตัวเองไม่ได้ "ผู้ชายอะไรปากคอจัดจ้านชะมัด!"
ผู้เป็นแม่จึงถอนหายใจอีกพรืด คราวนี้ปลอบใจลูกสาวด้วยท่าทางที่อ่อนลง "เขาไม่เอาเรื่องเราน่ะดีแล้ว เลิกทำสีหน้าอมทุกข์เถอะ"
ปวริศามองหน้าแม่ แล้วให้นึกถึงตอนที่เขาเล่าเรื่องก่อนหน้าที่พ่อจะโทรตามเธอคร่าว ๆ ว่า พ่อได้เธอขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งออกจากซอยมาชนรถของเขาเพราะเมา พอรถของพ่อเธอล้ม เขาก็รีบลงมาดูแล้วช่วยพยุงตัวพ่อให้ลุกขึ้น แต่ขณะนั้นเอง พ่อเธอก็หันมาอาเจียนใส่สูทที่เขาใส่ออกงานมาอีก
หึ...แค่รอยชนบนตัวรถราคาแพง ๆ และเรื่องสูทตัวหรูก็ทำให้เธอปวดหัวจะแย่ ยังจะมามีเรื่องรางวัลที่เขาเพิ่งได้รับมาจากเวทีหนึ่ง แล้วมันหักออกเป็นสองท่อนเพราะพ่อเธอทำอีก ไม่รู้จะซวยอะไรกันนักกันหนา นี่สินะที่เขาเรียกว่า ซวยแบบซวยซับซวยซ้อน ซวยอย่างอินเซ็ปชั่นมันเป็นอย่างนี้นี่เอง!
"เอ้า ก็แค่สูทมันเลอะอ๊วกของพ่อก็ให้เขาถอดมาให้แม่ซักสิ พอซักเสร็จแล้วค่อยจ้างคนเอาไปคืนเขา แม้เขาจะไม่เรียกร้องค่าเสียหาย แต่สูทนั้นแม่ก็ซักให้ดะ..."
"แม่ซักไม่ได้หรอก" ปวริศารีบพูดแทรก แล้วมองหน้าแม่นิ่ง ๆ
"ทำไม?"
"สูทที่เขาใส่ไม่ใช่ของธรรมดา ๆ อย่างที่แม่เคยซัก" ที่เธอว่าแบบนี้ เพราะแม่เธอได้เปิดบ้านหลังนี้เป็นร้านรับซักอบรีดไปด้วย แม่คงคิดว่าสามารถซักสูทตัวนั้นให้เขาได้น่ะสินะ
นางอุษานิ่วหน้าลงเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ "เอ้า นังลูกคนนี้สูทจะแพงแค่ไหน แม่ก็ซักมาหมดแล้วนี่"
"ตัวแพงที่สุดที่แม่เคยซัก ราคาเท่าไหร่?" เธอย้อนถามเสียงเรียบ ๆ
คราวนี้แม่เธอทำหน้านึก ๆ ก่อนจะตอบออกมาว่า "กี่พันนะ เอ้ เก้าพัน หรือแปดพันนี่ล่ะ"
"ตัวนั้นเป็นแสนนะแม่..."
"ห๊ะ! สูทอะไรตัวเป็นแสน ๆ" นางอุษาอุทานดวงตาเหลือกลานขึ้น
ปวริศาแค่นยิ้มหวานให้แม่ก่อนเล็กน้อย แล้วอธิบาย "ก็สูทที่พวกเซเลบหรือคนดังเขาชอบใส่ออกงานกันยังไงล่ะ ตัวหนึ่งเป็นแสน ๆ สูทแบบนี้จึงไม่สามารถซักได้ตามร้านซักอบรีดทั่วไปเหมือนอย่างร้านของแม่... เขาต้องส่งซักร้านเฉพาะที่มีน้ำยาซักเฉพาะอีก"
ฟังที่ลูกสาวอธิบายมาแล้ว นางอุษาก็พลอยลอบกลืนน้ำลายตาม ตั้งแต่เปิดร้านซักอบรีดนี้มาก็เป็นเวลาสิบ ๆ ปี มือทั้งสองของนางยังไม่เคยสัมผัสสูทตัวไหนที่มีราคาเป็นแสน ๆ เลย ที่เคยซักรีดผ่านมือไปและมีราคาสูงสุดก็แค่ไม่กี่พันบาท ซึ่งเป็นสูทของส.ก. คนดังที่มีบ้านอยู่ไม่กี่หลังถัดจากนี้ไปนี่เอง
"แล้วเขาเป็นใคร? ทำไมถึงใส่สูทตัวเป็นแสน ๆ เมื่อกี้ศาว่าเขาเป็นเซเลบใช่มั้ย"
ปวริศาพยักหน้า แล้วชี้ไปยังมุมหนึ่งของบ้าน พร้อมกับบอกตามเรียบ ๆ ว่า "นั่นไงแม่ เขาอยู่ตรงนั้นไง"
นางอุษาจึงหันไปดูตามที่ลูกสาวชี้ แต่ก็ไม่เห็นอะไรสักอย่าง จึงทำท่าตกใจกลัว แล้วบอกด้วยน้ำเสียงหวาด ๆ ขึ้น "แกอย่ามาชี้มั่ว ๆ นะศา แม่ไม่เห็นจะมีใครยืนอยู่ตรงนั้นซักคน" ว่าแล้วทำท่าขนลุกอีก ตอนนี้เวลาตีหนึ่งแล้ว ลูกสาวมาชี้มั่ว ๆ แล้วว่าเขาอยู่ตรงนั้นก็ซักจะรู้สึกยังไง ๆ อยู่
"ใช่ที่ไหนล่ะแม่! แม่ก็โยงเข้าเรื่องผีเรื่องสางได้ตลอด ...นั่นไง มองใหม่ซิ"
นางอุษาจึงหันไปตามทิศทางที่แม่ลูกสาวชี้อีกครั้ง พร้อมทั้งย่นหัวคิ้วสองข้างเข้าหากันไปด้วย "ไหน? แม่ไม่เห็น..." ก่อนจะสะดุดเข้ากับขวดน้ำดื่มยี่ห้อดังเจ้าหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ตรงขวดนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในฐานะ พรีเซ็นเต้อร์น้ำดื่มยี่ห้อดังเจ้านี้ติดเอาไว้อีกด้วย "ยะ...อย่า อย่าบอกนะว่าเป็น! "
"อรุษ ไวทยากุล สุดหล่อของแม่ยังไงล่ะ!" ปวริศาตอบด้วยน้ำเสียงติดประชดเล็กน้อย เพราะดารารุ่นใหม่ ๆ ที่แม่คลั่งไคล้ในสมัยนี้ก็มีไม่กี่คนหรอก หนึ่งในนั้นก็รวมเขาคนนี้เข้าไปด้วย...อรุษ ไวทยากุล!
"หา!"
ปวริศาบอกไปแล้ว ก็ทำหน้าคล้ายอยากจะร้องไห้ขึ้นมา พลางตวัดสองมือขึ้นมากุมที่แก้มแล้วนั่งคอตกลงไปอีก
เห็นท่าทางของลูกสาวที่เหมือนคนกำลังแบกทุกข์ทั้งโลกเอาไว้ นางอุษาจึงรีบถามด้วยความเป็นห่วงต่อว่า "แล้วศาจะมานั่งทำหน้าอมทุกข์อยู่ทำไม เขาไม่เอาเรื่องเราแล้วนี่"
ปวริศาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อส่งเสียงประชดในลำคอก่อนเป็นคำแรก "หึ! จะไม่ให้ศาอมทุกข์ได้ยังไง"
"ทำไม? "
"ก็อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ละครที่ศาเป็นคอสตูมให้จะมีการฟิตติ้งชุดแล้วก็เปิดกล้องทันที แม่รู้มั้ยว่าพระเอกของเรื่องนี้เป็นใคร! "
"อรุษ...สุดหล่อของแม่...ใช่มั้ย? "
หญิงสาวจึงพยักหน้ารับอย่างแกน ๆ อีกครั้ง
"หา!"
หลังจากที่แม่เธอได้อุทานออกมาอย่างดังแล้ว ปวริศาก็อยากจะส่งเสียงร้องไห้ตามขึ้นมาอีก เธอไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้ว 'ไม่อยากจะเจอหน้าเขาอีกแล้ว!’ ตลอดทางที่ขี่รถพาพ่อกลับมาบ้าน หญิงสาวก็ได้แต่วนเวียนขีดเส้นใต้คำพูดนี้เป็นร้อย ๆ รอบ แต่ความจริงเธอก็ไม่สามารถหลบหลีกโชคชะตาในครั้งนี้ได้ เพราะฟ้าคงกำหนดให้เธอกับเขาต้องกลับมาเจอกันในอีกไม่วันต่อจากนี้แล้ว...