เมื่อได้รับคำสั่งแน่ชัดแล้ว จ้าวเยว่ก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการแต่งงานในครั้งนี้ เพราะต่อให้เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นาง ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี และแม้จะไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้นางจะต้องออกเรือน แต่เรื่องการแต่งงานของนางคงต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่งอยู่ดี เนื่องจากท่านแม่คงไม่ยินยอม
จ้าวเยว่เดินมาที่บ่อปลาในสวนหลังจวนอีกเช่นเคย เนื่องจากทุกครั้งที่นางรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ น้อยใจ หรือว่าโกรธ ก็จะมาสนทนากับเหล่าสหายปลาที่แหวกว่ายไปมาอยู่ตรงนี้เสมอ
ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่ปลา ไม่สามารถกล่าววาจาโต้ตอบใด ๆ ได้ก็จริง แต่เมื่อเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พวกมันฟังแล้ว พวกมันก็จะรับฟังแต่โดยดี จนนางรู้สึกสบายใจขึ้น
จ้าวเยว่นั่งลงที่ข้างบ่อปลา หยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาแล้วตีน้ำเบา ๆ “เจ้าปลาทั้งหลาย พวกเจ้าคิดว่าเรื่องของข้านั้นน่าเป็นกังวลหรือไม่ ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ เป็นอะไรที่ข้าไม่ยินดียินร้ายเอาเสียเลย ข้ารู้สึกลึก ๆ ว่าตนเองไม่ได้อยากจะแต่งงานเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะขัดขืนไปทำไม หรือว่าหัวใจของข้าจะด้านชาไปเสียแล้ว อีกอย่าง ถ้าข้าออกเรือนไป จะทำอย่างไรกับพวกเจ้าดี เอาพวกเจ้าไปด้วยดีหรือไม่”
“คุณหนูกลับห้องเถิดเจ้าค่ะ อากาศมันเริ่มจะเย็นแล้ว อย่ามัวนั่งตากน้ำค้างอยู่เลย” ผิงผิงเดินมาจากทางห้องโถง พร้อมกับส่งเสียงก่อนที่ตัวของนางจะเดินมาถึงจุดที่จ้าวเยว่นั่งอยู่
จ้าวเยว่ลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปตอบ “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าขอบอกลาเจ้าปลาพวกนี้ก่อน”
เมื่อบอกลาพวกปลาแล้ว จ้าวเยว่กับผิงผิงก็เดินตรงไปยังเรือนของตน ระหว่างทางจากสวนหลังจวนไปยังห้องนอนนั้นต้องผ่านประตูหลังที่พวกนางมักใช้แอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกเป็นประจำ
“จ้าวเยว่ / ท่านพี่เยว่” เสียงของหนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรีดังขึ้น เป็นเสียงที่แผ่วเบาราวกับกระซิบ
จ้าวเยว่มองไปรอบ ๆ เพื่อตามหาเสียงนั้น ก็ปรากฏว่าเป็นเซียวเฟิงกับซูหนิงกำลังปีนกำแพงรั้ว และตอนนี้พวกเขาก็กำลังจะยื่นหน้าเข้ามาด้านในจวน
“จ้าวเยว่ เปิดประตูให้กับพวกเราเร็ว” เซียวเฟิงรีบบอก ส่วนซูหนิงนั้นกำลังทำตาปริบ ๆ อยู่ข้าง ๆ “พวกเจ้ามาได้อย่างไร” จ้าวเยว่เอ่ยถามเสียงเบา เนื่องจากกลัวบ่าวไพร่ที่เดินมาบริเวณนี้จะได้ยินเข้า
“อย่าเพิ่งถามเลย ช่วยเปิดประตูให้พวกข้าเข้าไปก่อนเถิด เดี๋ยวใครจะมาเห็นเข้าเสียก่อน” เซียวเฟิงรีบย้ำเรื่องเปิดประตู ส่วนเรื่องอื่นค่อยเข้าไปคุยในเรือนดีกว่าหรือไม่
“นั่นสิท่านพี่เยว่ ข้าจะตกอยู่แล้ว”
ซูหนิงเองก็เร่งเร้าด้วยเช่นกัน เนื่องจากเวลานี้นางกำลังเกาะกำแพงอยู่ หากเกิดพลัดตกลงไปสภาพคงดูไม่ได้
จ้าวเยว่ได้ยินวาจาเร่งเร้าของทั้งสองคน จึงมองซ้ายมองขวา พอดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จึงรีบเปิดประตูให้ทันที โดยมีผิงผิง สาวใช้คนสนิทเป็นคนดูต้นทาง
ทันทีที่เปิดประตูให้สหายทั้งสองคนเข้ามาแล้ว จ้าวเยว่จึงได้เอ่ยขึ้น “รีบเข้าไปที่เรือนของข้าก่อน” กล่าวจบจ้าวเยว่จึงได้รีบพาสหายทั้งสองแอบย่องเข้าไปที่เรือนนอนของตนเอง
หลังจากที่เข้ามาในเรือนนอน และได้ปิดประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนทั้งสี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขาต่างมองหน้ากันไปมา จากนั้นจ้าวเยว่ก็รอให้สองคนเอ่ยออกมาก่อน ว่ามาหานางถึงจวนเยี่ยงนี้เพราะเหตุใด
“ให้ผิงผิงออกไปข้างนอกก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ผิงผิงเอ่ยถามขึ้นมา นางคิดว่านี่คือเรื่องของเจ้านาย คงไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก ถ้าหากนางจะอยู่ฟังด้วย แต่ทว่าซูหนิงกลับยกมือขึ้นมาห้ามไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องไปหรอก เจ้าอยู่ที่นี่แหละ เผื่อว่ามีเรื่องอันใดที่พวกข้าต้องการขอความช่วยเหลือจากเจ้า จะได้ไม่ต้องเรียกให้ยุ่งยาก”
“เจ้าค่ะ” ผิงผิงตอบรับและขยับไปนั่งฟังเงียบ ๆ
จ้าวเยว่พอจะเดาได้ว่าการที่สหายทั้งสองมาหาถึงเรือนนั้น น่าจะเป็นเพราะข่าวลือเรื่องสมรสพระราชทานของตน จึงได้เอ่ยกับทั้งสองไปอย่างไม่อ้อมค้อม
“สาเหตุที่พวกเจ้าชวนกันมาหาข้าในวันนี้ คงเป็นเพราะเรื่องที่ข้าจะต้องแต่งงานใช่หรือไม่”
“ใช่!!” ทั้งสองตอบพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
“เป็นเรื่องจริงหรือไม่” เซียวเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ในใจนั้นภาวนาให้เรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือ เขามีสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างชัดเจน ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสให้กับจ้าวเยว่ และก็ไม่คิดว่าเจ้าบ่าวจะเป็นเสวี่ยช่างเจิ้น เนื่องจากมีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะทั้งตระกลูจ้าวกับตระกูลเสวี่ย แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย คนที่แต่งกับจ้าวเยว่สมควรจะเป็นตระกูลเซียวมากกว่า และเจ้าบ่าวก็สมควรที่จะเป็นเขา
“เป็นเรื่องจริง ท่านพ่อบอกกับข้าด้วยตัวเอง” จ้าวเยว่ตอบกลับอย่างเนือย ๆ เหมือนนางไม่มีความยินดีหรือทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้เลย
“แล้วท่านพี่เยว่รู้สึกอย่างไรบ้าง” ซูหนิงถามความรู้สึกของจ้าวเยว่ เพราะนางห่วงใยอีกฝ่ายไม่น้อย
พอฟังคำถามของซูหนิงแล้ว จ้าวเยว่ก็มีสีหน้าที่เศร้าขึ้นมา หญิงสาวนั่งคอตกอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ข้าอุตส่าห์ทำตัวให้มีชื่อเสียงที่ไม่ดีแล้ว ทำตัวขี้เกียจจนได้ฉายาว่าเป็นสตรีเกียจคร้านอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมิงเว่ย และชื่อเสียงของข้า ที่เป็นสตรีเกียจคร้านอันดับหนึ่งคงดังทั่วแผ่นดินของฉางอันแล้ว ข้าพยายามอย่างมากเพื่อให้ตนเองเป็นสตรีที่ไม่มีความเป็นกุลสตรี ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตัวข้าได้ออกเรือน แต่ก็ยังมิวายถูกจับแต่งงานอยู่ดี พวกเจ้าคิดว่าข้าจะรู้สึกอย่างไรเล่า” จ้าวเยว่กล่าวขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อทำให้ชื่อเสียงไม่ดีเพื่อจะได้อยู่กับครอบครัวไปจนแก่ แต่ใครจะคิดกันละว่าสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้จะตกลงมาบนหัวตนเอง
“ข้าเห็นใจเจ้ายิ่งนัก แต่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” เซียวเฟิงถามกลับบ้าง เขาเห็นใจทั้งตัวนางและตัวเขาเอง
จ้าวเยว่ได้แต่ถอนหายใจ แต่ยังไม่ได้ตอบคำ ซูหนิงก็รีบชิงตอบขึ้นมาแทน
“จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเป็นพระราชโองการของฮ่องเต้ ท่านมีสิทธิ์ขัดขืนได้หรืออย่างไร”
เซียวเฟิงทำท่าคิดอยู่สักครู่ ก่อนที่จะถามเมื่อตัดสินใจได้
“เจ้ายินดีที่จะหนีไปกับข้าหรือไม่ ข้าจะพาเจ้าหนีไปให้ไกลที่สุด เราออกจากแผ่นดินฉางอัน ไปอยู่กับชนเผ่าที่ไหนสักแห่งก็ได้”
ซูหนิงนิ่วหน้าใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจในความคิดของอีกฝ่ายว่า “ตระกูลเซียวนี่มีแต่คนอยากตายกันหรืออย่างไรกันนะ คิดอะไรแต่ละครั้งมีแต่เรื่องรนหาที่ตาย คิดหรือไม่ แม้ว่าท่านพาท่านพี่เยว่หนีรอดไปได้ แต่บิดามารดาของท่าน และบิดามารดาของท่านพี่เยว่ จะพ้นโทษประหารหรืออย่างไรกัน”
“นี่เจ้า...” เซียวเฟิงได้ยินอย่างนั้นก็หันมาจะเอาเรื่องซูหนิง
“พอ ๆ พวกเจ้าทั้งสองเลิกเถียงกันได้แล้ว แทนที่จะมาปลอบข้า กลับมาสร้างความปวดหัวให้ข้าเสียนี่”
จ้าวเยว่เอ่ยแทรกขึ้นมา พลางถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม นางรู้อยู่แก่ใจดีว่าสหายทั้งสองคงไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ว่าการที่มีสหาย ย่อมดีกว่าไม่มี มิใช่หรือ
ในขณะนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าของคนเดินดังมาจากทางหน้าห้อง และดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงคนเดียว
จ้าวเยว่กลัวว่าจะเป็นบิดามารดาของตน จึงได้ไล่ให้เซียวเฟิงกับซูหนิงหลบไปก่อน เขาทั้งสองจึงวิ่งไปหลบข้างหลังหีบเก็บเสื้อผ้าใบหนึ่งตรงมุมห้อง
“ผิงผิงออกไปดูว่าใครมา แล้วช่วยกันพวกเขาไว้ด้วย จนกว่าข้าจะบอกว่าเข้ามาได้” จ้าวเยว่สั่งความ พลางส่งสายตาให้แก่สาวใช้คนสนิท
“เจ้าค่ะ”
พอผิงผิงออกไปดู ก็พบว่าเป็นคุณชายใหญ่กับคุณชายรอง จึงทำทีเป็นเอ่ยทักทายเสียงดังเพื่อให้คุณหนูของตนได้ยิน
“คุณชายใหญ่กับคุณชายรอง มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“พวกเรามีเรื่องจะคุยกับน้องสามเล็กน้อย เจ้าเปิดประตูเถอะ” จ้าวหลู่เจินเอ่ยกับผิงผิงสาวใช้คนสนิทของจ้าวเยว่
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายทั้งสองมาขอพบเจ้าค่ะ ให้เข้าไปได้เลยหรือไม่เจ้าคะ” ผิงผิงแกล้งตะโกนถามนายสาวเสียงดัง
เมื่อดูว่าเซียวเฟิงกับซูหนิงซ่อนตัวเรียบร้อยแล้ว จ้าวเยว่จึงได้อนุญาตให้พี่ชายของตนเข้ามาให้ห้องได้
“ให้เข้ามาได้” จ้าวเยว่ขึ้นเสียงดัง เพื่อให้ทั้งสองคนที่หลบอยู่รู้ว่ากำลังมีคนจะเข้ามาในห้อง
“เจ้าทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่คนเดียว เหตุใดจึงได้เปิดประตูช้านัก” จ้าวอวี้เฉินถามน้องสาวขึ้นเมื่อเข้ามาในห้องนอนของนาง
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าแค่รู้สึกจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไร เลยนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปลื่อย” จ้าวเยว่ตอบกลับเรียบ ๆ แววตาของนางฉายแววอ่อนล้า
จ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉินนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับนาง พวกเขานิ่งไม่เอ่ยวาจาอยู่สักพัก เพราะไม่รู้จะให้ใครเริ่มก่อนดี ในที่สุดด้วยฐานะของความเป็นพี่ใหญ่ จ้าวหลู่เจินจึงเอ่ยขึ้นมาก่อน
“น้องสาม เรื่องของเจ้าวันนี้ พวกข้าเองก็รู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ และที่จริงแล้ว เจ้าไม่ได้อยากแต่งงาน แต่ว่าก็ไม่มีหนทางใดที่จะทำได้แล้ว พวกเราจึงจะมาบอกให้เจ้าทำใจเสียเถิด”
“ใช่ ถึงแม้ว่าจะเป็นการแต่งงานที่เจ้าไม่ได้เต็มใจ แต่ก็ถือว่าเป็นการแต่งงานที่ดีอยู่ไม่น้อย ว่าที่สามีของเจ้านั้นก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้มีตำแหน่งเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้าย ด้วยความสามารถของเขา อีกไม่นานตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ต้องตกเป็นของเขาแน่” จ้าวอวี้เฉินกล่าวเสริม พวกเขาหวังจะใช้เรื่องนี้ปลอบโยนน้องสาวเพียงคนเดียวของตนเอง
“อือ” จ้าวเยว่ทำเพียงตอบรับในลำคอ นางเอาคางเกยกับขอบโต๊ะอย่างคนหมดหวัง
“นี่น้องสาม เจ้าช่วยร่าเริงหน่อยได้หรือไม่ พวกข้าพยายามเอ่ยข้อดีของว่าที่สามีเจ้าอยู่นะ” จ้าวอวี้เฉินกล่าวตัดพ้อ เพราะท่าทีของน้องสาวไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
จ้าวเยว่ยืดตัวขึ้นมาจากโต๊ะ พลางมองไปที่พี่ชายทั้งสองคน
“ข้ารู้ ๆ ว่าเขาน่ะมีข้อดีมากมาย แต่ข้อดีของเขาสำคัญอย่างไรกับข้ากันเล่า เขาเป็นรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายซ้าย ข้าแต่งเข้าไปแล้วก็ไม่ได้เป็นรองแม่ทัพใหญ่ฝ่ายขวาตามเขาไปเสียหน่อย”
ทั้งจ้าวหลู่เจินและจ้าวอวี้เฉินต่างก็ได้แต่ถอนหายใจ พวกเขาพยายามทำอย่างถึงที่สุด แต่น้องสาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสดใสขึ้นอยู่ดี