วันนี้ยังคงเป็นวันที่เงียบสงบเช่นเคย เวลาไหลเอื่อยค่อยๆเฉือนจิตใจผู้ที่รอคอยอย่างเยือกเย็น
นี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วหลังจากหยางรุ่ยจากไปโดยที่ผมยังไม่ทันได้บอกลาอีกฝ่ายสักคำ การสูญเสียที่เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะผมมัวแต่เศร้าเสียใจกับการจากไปของพ่อ จนไม่เป็นอันทำอะไร ในอีกวันที่ผมกำลังจะเสียเขาไป เขาก็จากไปอย่างไร้การบอกลา
ผมยังคงนั่งมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเช่นเคย แม้บนนั้นจะมีดวงจันท์ดวงใหญ่ประดับอยู่ แต่ไม่รู้เพราะอะไรแสงในตัวมันถึงได้หม่นนัก ใช่เพราะดวงจันทร์ในใจผมไม่อยู่รึเปล่า ท้องฟ้าสีน้ำเงินในใจผมถึงได้มืดขนาดนี้
ยังดีหน่อยที่หยางรุ่ยหนีออกไปได้ ถ้าหากมันเหมือนกับต้นฉบับล่ะก็ ผมคงต้องรออีกฝ่ายสักเจ็ดแปดปีเห็นจะได้ แค่คิดถึงก็น่าหดหู่แล้ว ระหว่างนี้ผมควรทำอะไรดี ผมไม่คิดจะทำตามต้นฉบับซะด้วยสิ แล้วต้นฉบับจะบังคับให้ผมต้องทำตามนั้นมั้ย
ตลอดสองเดือนนี้ผมบอกได้เลยว่าตัวเองค่อนข้างเหี่ยวเฉา บางทีก็เหม่อๆไปบ้าง อาจด้วยความรู้สึกผิดในใจ ทั้งๆที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตแต่ก็ช่วยใครไว้ไม่ได้เลย ความรู้สึกผิดกัดกินผมตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ผมจะเสียใจแค่ไหนแต่นั่นก็ไม่ทำให้คนที่จากไปแล้วกลับมาได้เลย
หกเดือนหลังจากหยางรุ่ยหายไป
เช้าของอีกวันวนมาอีกครั้ง หลายๆอย่างยังเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคงเป็นความสดใสของผมที่ถูกพรากไปพร้อมกับใครคนนึง
หยางรุ่ยคนนั้นไม่ใช่ขุนแผนในต้นฉบับ เขาไม่เหมือนกัน หยางรุ่ยสำหรับผมเขาคืนคนสำคัญ การที่คนๆนึงที่ทุกๆวันคอยอยู่เคียงข้างต้องหายไปมันก็ทำเอาใจผมโหว่งๆไปเช่นกัน ถึงแม้ว่าสุดท้ายเขาจะกลับมาแต่ผมก็ยังอดคิดถึงไม่ได้อยู่ดี
ทุกวันนี้ผมยังคงฝึกทำขนมที่อีกฝ่ายชอบเหมือนที่ทำทุกวัน เพราะหวังว่าสักวันหยางรุ่ยกลับมาจะได้กินขนมฝีมือผม ถ้ารสมือผมไม่เหมือนเดิม อีกฝ่ายอาจจะไม่ชอบก็ได้
ส่วนขนมที่ทำไว้ แน่นอนว่าถ้าผมกินมันทั้งหมดผมต้องเป็นเบาหวานแน่ๆ ผมเลยเลือกที่จะเอาไปบริจาคแทน ทั้งส่งให้คนรับใช้ในจวนบ้าง เอาไปฝากฉินหนิงบ้าง
ทางนั้นเองครอบครัวก็เหลือแค่สองคนแม่ลูกแล้วเหมือนกัน แต่ฉินหนิงก็ยังพอทำใจได้เพราะพ่อของเธอจากไปอย่างสงบหมดห่วง และอีกความเปลี่ยนแปลงสำคัญของทางฉินหนิงตอนนี้
ฉินหนิง เปลี่ยนชื่อเป็น ฉินเหม่ย
เหมือนกับต้นฉบับที่
พิมพิลาไลย เปลี่ยนชื่อเป็น วันทอง
หลายๆอย่างยังคงเหมือนกับต้นฉบับ การที่ผมมาอยู่ในร่างนี้ มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลยหรอ เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ และใครก็ตอบไม่ได้ ทำได้เพียงแค่รอดูผลลัพธ์เท่านั้น
หนึ่งปีต่อจากที่คนสำคัญทั้งสองของผมจากไป
ผมเริ่มจับพู่กันมากขึ้น ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยได้ขยับตัวจับงานวาดเท่าไหร่นัก เพราะชาติก่อนผมวาดจนเอียนวาดจนขี้เกียจไปหมดแล้ว แต่คงเพราะตอนนี้ผมว่างมาก ว่างจนไม่มีอะไรทำ หรือไม่ก็ เพราะคิดถึงคนๆนึงมากๆ เลยอยากกลับมาวาดรูปคนๆนั้นก็ได้
ท่านแม่เองที่ได้เห็นฝีมือการวาดภาพของผมก็ถูกอกถูกใจ ซื้อพู่กันซื้อสีมาเต็มคลัง หวังให้ผมวาดรูปเพื่อที่จะได้หายฟุ้งซ่านในหลายๆเรื่องได้บ้าง ซึ่ง ผมว่ามันได้ผล
พอได้จับพู่กันวาดรูปผมก็พลันสงบจิตสงบใจได้ขึ้นมา ผมมีสมาธิโฟกัสกับการวาดได้เต็มที่ ทำให้เวลาแต่ละวันของผมผ่านไปได้ไม่ยากนักมันทำให้ผมไม่ต้องทรมานกับหลากหลายความรู้สึกในใจที่ตีกันไปมาในหัวจนยุ่งเหยิง
สองปีหลังจากท่านพ่อของผมเสียไป และสองปีหลังจากคนๆนึงหายไปจากชีวิต
ผมเริ่มทำใจเรื่องการจากไปของท่านพ่อได้แล้ว ส่วนหยางรุ่ยเองผมเชื่อว่าเขาต้องกลับมาอย่างปลอดภัย ถ้าหลายๆอย่างเป็นแบบในต้นฉบับ หยางรุ่ยจะต้องกลับมาที่นี้อีกครั้ง และOPมากขึ้นแน่ๆ
ผมที่คิดได้แบบนั้นตอนนี้เลยหันไปเอาดีด้านการค้าบ้าง อย่างน้อยๆตระกูลผมจะได้ไม่ล่มจม ยังพอมีอะไรประค้ำประคองตระกูลได้บ้าง
ผมเริ่มพาตัวเองไปยังตลาดลงทุนเรื่องผ้าไหมผ้าแพร ภาพวาดของผมขายได้ในราคาสูง รวมถึงผมก็เป็นนักออกแบบหรือที่ในโลกปัจจุบันเรียกว่า ดีไซน์เนอร์ เป็นที่ยอมรับของวงการแฟชั่นในยุคนี้ทีเดียวก็ว่าได้
ผ้าไหมผ้าแพรของบ้านผมขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผมเริ่มเรียนรู้การทำโรงงานกรรมวิธีต่างๆ รวมไปถึงการผลิตเสื้อผ้าต่างๆอย่างจริงจัง ผมหวังว่าผลลัพที่ออกมาจะเป็นที่น่าพอใจ
อัพเดททางฝั่งฉินหนิง ทางนั้นยังคงมีความสุขดีกับขนมและภาพวาดที่ผมส่งให้ รวมไปถึงเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆที่ได้สวมใส่ก่อนชาวบ้านเขา ผมให้ฉินหนิงเป็นคนช่วยนำเทรนเสื้อผ้า อีกทั้งยังให้ที่บ้านอีกฝ่ายคอยโปรโมทเสื้อผ้าใหม่ๆไปยังท้องตลาด
แม่ของฉินหนิงเองก็ดูจะถูกอกถูกใจ ทางนั้นเองก็เข้ามาเป็นหุ้นส่วนกับที่บ้านผมด้วย และแน่นอนว่าแม่ของวันทองหรือฉินหนิงนั้นเป็นคนที่มีสายข่าวกว้างไกลแบบที่ว่ารู้จักกันแปดบ้านสิบบ้าน คิดไม่ผิดจริงๆที่ให้บ้านนี้เป็นพรีเซนต์เตอร์ให้
ห้าปีหลังจากเหตุการณ์นองน้ำตา
พอผมโตขึ้นทางด้านร่างกายของผมก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง ตัวผมสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด น้ำเสียงเองก็แตงหนุ่ม ไหล่กว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือ
ผมหล่อมาก
หล่อจนมีคนมาฝากลูกสาวตัวเองมาเป็นสะใภ้บ้านนี้ แบบหัวกระใดไม่แห้ง
การเป็นคนฮอตมันรู้สึกแบบนี้เองสินะ
แต่ใช่ว่าผมจะไม่ได้ผลประโยชน์นะครับเวลามีสาวๆมาหาที่จวน ผมก็มักจะเอาเสื้อผ้าที่ออกแบบไว้ให้อีกฝ่ายไปด้วย(เป็นการโปรโมทแบรนของตัวเองแบบ300%) ทางสาวน้อยสาวใหญ่ต่างๆก็ดูจะพอใจกับของที่ผมให้มาก
และเป็นไปตามคาด เวลามีงานที่ได้พบปะผู้คนสาวน้อยสาวใหญ่เหล่านั้นก็มักจะขิงพวกเสื้อผ้าที่ผมให้โดยการใส่ออกงานต่างๆโชว์ต่อสายตาผู้คน ก็แน่แหละ เสื้อผ้าที่ผมออกแบบน่ะ สวยสะกดเลยเชียว อีกทั้งเนื้อผ้าก็เป็นของบ้านผม ของดีๆทั้งนั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมากิจการทางบ้านผมก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ชื่อของหยินเฟิง(ผมเอง) เป็นที่รู้จักในสังคมวงการแฟชั่นและการค้าขาย ผมมีรายได้หลายทางเข้ามาไม่ขาดสาย ตอนนี้บอกเลยว่า
ผม รวย มาก ฮ่าๆ
ตอนนี้ชีวิตของผมดีขึ้นมามากจริงๆ แล้วคนทางนั้นล่ะจะเป็นยังไงบ้าง ผมยังคงพยามหาข่าวคราวของหยางรุ่ยเท่าที่จะทำได้ แม้ผมจะรู้จักคนในแวดวงธุรกิจเยอะ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมหาตัวหยางรุ่ยได้เลย
ตอนนี้เจ้าชิบะนั่นจะเป็นยังไงบ้างนะ
6ปี ที่จากกัน
ตอนนี้ผมอายุ17ปีแล้วหนาทุกท่าน ใกล้บรรลุนิติพาวะแล้ว เหตุการณ์ในจวนผมยังคงดำเนินเช่นเดิม แต่วุ่นวายมากที่จวนของฉินเหม่ย รายนั้นน่ะมีผู้มาสู่ขอแบบไม่หวาดไม่ไหวเลยนะ หัวกระไดไม่แห้งยิ่งกว่าบ้านผมอีก
ส่วนผมที่ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อ แน่นอนว่าสูงยาวเข่าดี เป็นที่หมายปองของสาวน้อยสาวใหญ่ทั่วแคว้นเลยก็ว่าได้ ถึงแม้หน้าที่การงานจะไม่ได้เป็นราชการ มียศฐาบรรดาสักสูงส่ง แต่ผมรวยย ผมรวยยย
ผมบอกแบบนี้รอบที่แปดหมื่นสี่พันได้แล้วแหละ
"ไม่แต่งๆๆๆ ข้าไม่แต่ง!"
วันนี้ผมมาเยี่ยมฉินเหม่ยที่จวน พร้อมกับนำขนมพร้อมด้วยผ้าแพรคอเลคชั่นใหม่มาให้อีกคนด้วย แต่เหมือนในจวนจะมีสงครามขนาดย่อมในนั้น
"ฉินเหม่ย เจ้าก็โตจนออกเรือนได้หลายปีแล้ว ใยจึงมิยอมตบแต่งกับผู้ใดเสียที"
เสียงนี้ดูจะเป็นเสียงของแม่ฉินเหม่ย นางดูจะอยากยัดเยียดให้ลูกสาวออกเรือนไปน่าดูเลย
"ไม่! ข้าจะเลือกคนรักของข้าด้วยตัวเอง"
"โอ้ยย อยู่ไปก็รักกันเองแหละลูก"
"แต่ตอนนี้ข้ามิได้รักไงท่านแม่"
ผมที่ยืนเก้ๆกังๆไม่รู้จะเข้าไปหรือเดินกลับจวนดี จู่ๆประตูที่ผมยืนลังเลอยู่ก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยหญิงสาวหน้าตาคุ้นเคย
"หยินเฟิง!"
เป็นฉินเหม่ย สาวงามประจำแค้วนั่นเอง ยิ่งโตยิ่งงามจริงๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโต จมูกนิดๆรั้นขึ้นขลับให้อีกฝ่ายดูดื้อดึงกับปากบางกระจับสวย
อ่า ภูมิใจจริงๆ เหมือนกับที่ผมวาดไว้ไม่มีผิด
"หยินเฟิงช่วยข้าด้วย!"
"ช่วย...ช่วยอะไรหรือ"
"ก็ท่านแม่จะจับข้าแต่งงาน เจ้าต้องช่วยข้านะ!"
โอ้วๆ ไม่นะสาวน้อย อย่าเป็นแบบที่ผมคิดเลย
"ให้ข้าช่วยอย่างไร"
ผมกลั้นใจถามออกไปอย่างคาดหวัง ฉินเหม่ยคงจะไม่ให้ผมแต่งกับเธอใช้มั๊ยยยย
"ช่วยข้าคุยกับท่านแม่ไง! เรื่องสิทธิ์สตรี และสิทธิในการเลือกคนรักของข้าน่ะ"
อ้อแล้วไป ผมถอนหายใจก่อนจะสบเข้ากับดวงตาดุๆของแม่ฉินเหม่ย
"อะไรกันนี่เจ้าถึงกับเอาหยินเฟิงมาขู่ข้าหรือ"
"ใช่!"
ผมที่ยังคงยืนงงๆไม่รู้ว่าตัวเองควรมีซีนต่อไปยังไงดีก็ถูกฉินเหม่ยคว้าแขนไปควง
"ถ้าหาคนที่รวยกว่าหยินเฟิงให้ข้าไม่ได้ ข้าก็ไม่แต่ง!"
เดี๊ยว! ฉินเหม่ยทำไมพูดแบบนั้น!
แต่จะว่าไปคนที่รวยกว่าผมมันจะมีสักกี่คนกัน ก็ในแคว้นนี้ผมดูเป็นระดับท็อปๆอายุน้อยร้อยล้านเลยนะ
ว่าไปนั่น
หลังจากสงครามขนาดย่อมจบลงผมกับฉินเหม่ยก็ได้มานั่งคุยกันดีๆสักที เด็กสาวลากผมมายังศาลาดอกบัว ที่นี่ค่อนข้างปลอดโปร่งอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าก็เปิดโปร่งไร้แท้จะมีเมฆบ้างก็ตาม
"เจ้าว่าตอนนี้หยางรุ่ยจะเป็นอย่างไรบ้าง"
ผมชะงักไปทันทีที่ได้ยินคำถามของอีกคน น้ำชาที่กำลังจะจรดปากก็ถูกค้างไว้แบบนั้น ฉินเหม่ยรู้ดีว่าคำว่าหยางรุ่ยนั้นมีผลต่อความรู้สึกของผมแค่ไหน แต่อีกฝ่ายเองก็คงจะอดถามไม่ได้
"ข้าหวังว่าเขาคงจะสบายดี" หวังว่านะ
ความเงียบเข้ามาปกคลุมเราทั้ง2 หลังจากยกชาขึ้นจิบอีกสองสามครั้งหญิงสาวตรงหน้าผมก็ถามออกมาอีกครั้ง
"เจ้า..ชอบหยางรุ่ยหรือ"
หลังจากฉินเหม่ยถามคำถามนั้นผมเองก็พลันนิ่งไปด้วย คำถามของอีกคนก็พาให้ผมคิดย้อนกับตัวเองอย่างอดไม่ได้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมคิดกับหยางรุ่ยแค่เพื่อน แต่พออีกฝ่ายหายไปความรู้สึกบางอย่างในใจผมก็เริ่มชัดเจนขึ้น
จะว่าไปหลายๆอย่างมันทำให้ผมไม่ทันยับยั้งความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ตอนอยู่กับหยางรุ่ยผมปล่อยทุกอย่างไปตามความรู้สึก ผมไม่เคยปิดมันเลย แต่หลายครั้งในใจผมมันก็มีคำว่า'เพื่อน'มาค้ำคออยู่เสมอ และอีกเหตุผลใหญ่ๆที่ผมกดความรู้สึกของตัวเองไว้ลึกที่สุด
"ฉินเหม่ย..แล้วเจ้าชอบเขาหรือ"
"ชอบ"
อีกฝ่ายตอบมาพลางสบตาผมอย่างไม่มีแววสั่นคลอน แต่สิ่งที่สั่นคลอนตอนนี้มันคือหัวใจของผม..
"นี่เจ้าชอบเขาจริงๆสินะ"
ผมหลุมตาต่ำก่อนจะเสมองไปทางอื่น แม้ตรงหน้าจะมีบ่อบัวสวยงามแค่ไหน ผมก็ไม่อาจมองเห็นมันได้อีกแล้วเพราะตอนนี้ม่านตาของผมมันรู้สึกขาวโพลนไปหมดเลย
ที่ความรู้สึกของผมกับหยางรุ่ยมันได้แค่คำว่าเพื่อน เพราะยังไงต้นฉบับหยางรุ่ยก็ต้องรักกับฉินเหม่ย พระนางยังไงก็ต้องคู่กัน และหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมันก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องยังคงเป็นไปในแบบต้นฉบับ
และดูเหมือนฉินเหม่ยจะสังเกตุเห็นสีหน้าที่หม่นลงจนน่าอึดอัดของผมอีกฝ่ายจึงได้เปิดปากพูดประโยคต่อไปที่ไม่ได้พูดออกมา
"แฮ่ม...จริงๆ..ข้ามิได้ชอบเขาหรอก เพียงแค่...อยากทดสอบเจ้าดูเท่านั้น"
อีกฝ่ายมีใบหน้าดูเหมือนจะสำนึกผิด ฉินเหม่ยยิ้มให้ผมบางๆ เป็นรอยยิ้มที่แสนจริงใจ
"เจ้าพูดจริงหรือ" ผมหันมองอีกฝ่ายทันที
"ตะกี้แววตาของเจ้าหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัดเลยตอนที่ข้าบอกว่าชอบน่ะ โถ่ เจ้าหมาหยางรุ่ย เจ้าคงมิได้กินแห้วแล้วล่ะ"
"หมายความเช่นไร"
"ข้าก็มิรู้เช่นกัน เอาเป็นว่า..ถ้าเขากลับมาเจ้าค่อยถามเขาเองเถิด เขาจะกลับมาหรือไม่ก็อีกเรื่อง เขาจะมีความรู้สึกเช่นเดิมหรือไม่ก็อีกเรื่อง"
ผมยังคงไม่เข้าใจที่หญิงสาวตรงหน้าบ่นพึมพำออกมา แต่ฉินเหม่ยก็ไม่ปล่อยให้ผมสงสัยนานเธอยังคงถามผมอีกหลายคำถาม
"แล้วนี่เจ้ารู้ตัวว่าชอบเขาตอนไหนกัน?"
"เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างตอนเข้าไปนอนด้วยบ่อยๆ"
"เจ้าเห็นสายตาที่เขามองเจ้าหรือไม่"
"แล้วเจ้าคิดว่าหยางรุ่ยคิดยังไงกับเจ้า"
ฮื้อออ ไม่รู้ๆๆๆๆ ไม่รู้วว๊อยยยยยยย
อะไรกันเนี่ย นี่ผมพลาดท่าซะแล้วหรอ?
ใครก็ได้เอาพิธีกรคนนี้ออกไปที!
TBC.