จูผิงมาตระเตรียมสำรับมื้อเช้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างทุกวันเช่นเคย ขณะที่นางกำลังจะยกสำรับเข้ามาในห้องโถงกลางเรือน นางได้ยินเหมือนฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพูดคุยอยู่กับใครบางคน เป็นเสียงของบุรุษซึ่งนางรู้สึกไม่คุ้นหูสักเท่าใด
ในจวนเฉินตอนนี้มีเพียงนายท่านเฉินเหยี่ยนและคุณชายเฉินซือหยางเท่านั้นที่เป็นบุรุษ
เมื่อก้าวขาเข้าไปเห็นใบหน้าขาวผ่องปากแดงราวสตรีแย้มยิ้มส่งมาที่นางพอดี หญิงสาวจึงยอบกายเคารพเขาอย่างนอบน้อม ที่แท้ก็เป็นคุณชายหยางนี่อวิ๋นนี่เอง
หลี่อี้เล่าให้ฟังว่าคุณชายหยางคือน้องชายเพียงคนเดียวของสะใภ้ใหญ่หยางลี่อิง นานๆ ถึงจะมาเยี่ยมพี่สาวและหลานๆ ที่จวนเฉิน อีกทั้งเขายังเคยเป็นสหายรักคนสนิทของคุณชายรองด้วย
นางพึ่งเคยเจอเขาเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง อาจเป็นเพราะนางไม่ค่อยได้ไปที่อื่นๆ ในจวนนักนอกจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่าและเรือนของคุณชายรอง
หญิงสาวยกสำรับขึ้นโต๊ะเสร็จ แล้วจึงก้าวถอยหลังออกไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่เงียบๆ เผื่อมีสิ่งใดขาดเหลือจะได้เรียกใช้นางได้
ระหว่างนั้นนางรู้รับรู้ได้ถึงสายตาของหนุ่มสาวต่างวัยคล้ายจะสลับจับจ้องมาที่นาง จนนางรู้สึกอึดอัดขึ้นมา
หลังมื้อเช้าเสร็จ หยางนี่อวิ๋นอยู่พูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ขอตัวลา ระหว่างที่เดินผ่านหญิงสาวเขาก็หยุดแล้วหันมาพูดกับนาง
“ฝีมือทำอาหารเจ้าไม่เลว หากข้าได้ชิมฝีมือเจ้าทุกวันคงจะดีไม่น้อย” ชายหนุ่มยิ้มหวานจนตาหยีแล้วเดินจากไป
จูผิงยังไม่ทันปริปากอันใดได้แต่ยืนมองเขาอย่างงงงวย ก่อนจะมีเสียงจากฮูหยินผู้เฒ่าเรียกนางให้ไปหา
หญิงสาวนั่งลงกับพื้นข้างเก้าอี้โยกตัวใหญ่
“ฮูหยินผู้เฒ่ามีสิ่งใดจะใช้ข้าหรือเจ้าคะ”
หญิงชราหันไปพินิจใบหน้างามอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“เจ้าไม่อยากมีชีวิตที่ดีกว่าการเป็นสาวใช้บ้างหรือ” จะว่าไปหญิงสาวตรงหน้าก็นิสัยและมารยาทการวางตัวดีอยู่ไม่น้อย มิหนำซ้ำหน้าตาก็สะสวย นางน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่าการเป็นสาวใช้
เมื่อครู่หยางนี่อวิ๋นมาขอพบ ชายหนุ่มอยากขอให้ตนยกสาวใช้คนนี้ให้ เขาอยากรับนางไปเป็นอนุ หยางนี่อวิ๋นถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่งเช่นกัน นางรู้จักชายหนุ่มมาตั้งแต่วัยเยาว์ ที่สำคัญเขายังครองตนเป็นโสดยังไม่แต่งงาน คนในตระกูลหยางตนก็รู้นิสัยใจคออยู่บ้าง ก็นับว่าใช้ได้ไม่เลว
แม้นางจะอยู่ในตำแหน่งอนุ แต่วางใจได้ว่าชายหนุ่มคงดูแลนางอย่างดี นับว่าเป็นวาสนาของนาง นางมีโอกาสก็ควรรีบคว้าเอาไว้
“ข้าพอใจที่จะเป็นสาวใช้ในจวนเฉินเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างมาดมั่น หญิงชราก็เหมือนจะเดาเหตุผลของนางออกอยู่บ้าง
“ข้ารู้ว่าเจ้าสำนึกในบุญคุณที่ครั้งนั้นข้าช่วยไถ่ถอนตัวเจ้าจากหอนางโลม เจ้าจึงตั้งใจตอบแทนด้วยการดูแลรับใช้ข้าด้วยความซื่อสัตย์มานาน เรื่องนี้ข้าทราบดี
แต่เมื่อครู่คุณชายหยางมาขอให้ข้ายกเจ้าให้ไปเป็นอนุของเขา คุณชายผู้นี้ข้ารู้จักนิสัยใจคออยู่บ้าง นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง จูผิง ไม่ใช่ว่าข้าต้องการผลักไสไล่ส่งเจ้า เพียงแต่ข้าหวังดีอยากให้เจ้าคว้าโอกาสนี้ไว้”
จูผิงนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “ข้าเข้าใจในเจตนาท่านเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่อยากออกเรือน”
“ทำไมหรือ” หญิงชราเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เพราะเจ้าไม่ได้รู้สึกดีกับเขาเช่นนั้นหรือ”
“นั่นก็ส่วนหนึ่งเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าทอดมองหญิงสาวด้วยความอ่อนโยน นางก็รู้สึกเอ็นดูเสมือนลูกหลานคนหนึ่งเพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ
“อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง เช่นข้ากับสามีที่ล่วงลับไปแล้วอย่างไรเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มก่อนจะลองถามคำถามหยั่งเชิง
“หากเจ้าคิดจะครองตนเป็นโสดไปตลอดชีวิต แล้วยามเมื่อแก่ชราใครจะมาดูแลเล่า”
“ยามนั้นข้าก็จะอาศัยใต้ร่มกาสาวพัสตร์เจ้าค่ะ” จูผิงตอบคำถามอย่างแน่วแน่
สิ้นประโยคหญิงชราถึงกับหัวเราะลั่นจนตัวโยน นางอายุยังน้อย เหตุฉไนถึงคิดไปกาลไกลถึงเพียงนี้
จูผิงมองดูฮูหยินผู้เฒ่าขำจนตัวสั่น พลางคิดว่ามันน่าขำตรงไหน นางคิดไว้แล้วว่าจะอยู่รับใช้จวนเฉินไปจนแก่ เมื่อแก่ก็ออกไปอาศัยใต้ร่มกาสาวพัสตร์
นางคิดไว้แบบนี้จริงๆ
หญิงชราโบกมือให้ นางไม่คิดจะบังคับอันใดใครอยู่แล้ว เพียงแต่นำคำขอร้องจากชายหนุ่มมาบอกกล่าวก็เพียงเท่านั้น ส่วนใครจะตัดสินใจอย่างไรตนก็ไม่ขอสอดมือเข้าไปยุ่ง
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าลองศึกษาดูใจเขาดูก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีก็ยังไม่สาย”
“แต่ว่าข้า…”
“อือ ลองดูก่อนก็ไม่เสียหาย”
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ไล่ให้นางกลับเรือนอักษรไปทำงานของตนเสีย หญิงชรามองดูร่างเล็กเดินไปจนลับตา ใบหน้าเหี่ยวย่นระบายยิ้มออกมา
นางช่างเป็นหญิงสาวที่มีความคิดแปลกประหลาดเสียจริง