เดิมทีไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลึกๆ ในใจของเจียงซูหลันก็ยังคาดหวังว่าจะได้พบหน้าสามีของตน แต่สามวันที่ผ่านมาคนที่นางได้พบกลับเป็นพ่อบ้านผู้หนึ่ง คนผู้นี้ดูภูมิฐานกว่าพ่อบ้านจวนอื่นอยู่มาก อาจเป็นเพราะมีอายุเพียงสามสิบต้นๆ เท่านั้น ที่สำคัญจนป่านนี้นางยังไม่มีโอกาสไปคารวะลี่อี๋เหนียงเลยสักครั้งเดียว ราวกับว่านางเป็นเพียงนกตัวหนึ่งที่บินพลัดหลงเข้ามาในจวนสกุลหาน อีกไม่นานก็ต้องบินออกไปโดยที่ผู้อื่นไม่รับรู้การมีตัวตนของนกตัวนี้เลยแม้แต่น้อย
เพราะคุณหนูถูกคนสกุลหานหมางเมิน จากวันแรกที่ปลาบปลื้มในอก
ตอนนี้ความรู้สึกที่เสี่ยวถงมีให้ผู้คนในสกุลหานจึงเหลือเพียงความโกรธเคือง ทว่าตนเป็นเพียงสาวใช้ติดตามคุณหนูมาจากบ้านเดิม หากผู้เป็นนายไม่สั่งการอะไรก็คงเคลื่อนไหวไม่ได้ ยามนี้จึงได้แต่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วถอนใจ
ผ่านมาสามวันแล้วคุณหนูสิบห้ายังไม่เคยพบหน้าสามี ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนจึงจะได้พานพบกันสักครั้ง
ดีหน่อยที่ต่อให้ไม่ได้พบกัน บ่าวรับใช้ชายหญิงที่ควรมาปรนนิบัติรับใช้ก็ยังอยู่พร้อมเพรียง ไม่ได้ปล่อยให้เรือนเหิงเยว่แห่งนี้มีเพียงพวกนางสองนายบ่าวกับคนที่ติดตามมาจากบ้านเดิมอีกสามสี่คน
ชีวิตหลังแต่งงานของเจียงซูหลันผ่านไปเช่นนี้อีกหลายวัน
ยามซวีของวันที่แปด ในที่สุดก็ได้พบหน้าผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีเสียที
นับตั้งแต่สองสกุลแลกเปลี่ยนใบชะตา หานไป่จิ้งก็ออกคำสั่งให้ไห่ฉวนตกแต่งปรับปรุงเรือนเหิงเยว่แห่งนี้ให้เหมาะกับคุณหนูสิบห้าสกุลเจียง ทว่าหลังจากสั่งการลงมาแล้วเขากลับไม่เคยแวะมาดูเลยสักครั้ง บัดนี้มาเห็นแล้วนับว่าไห่ฉวนผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดา
ดูเหมือนสตรีผู้นั้นคงชื่นชอบเรือนเหิงเยว่หลังนี้เช่นกัน เพราะแม้ไม่เคยพบหน้าสามีนางก็ยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ได้ยินมาว่านับตั้งแต่ขึ้นเกี้ยวแบกหามเข้ามาในฐานะภรรยาเอกนางก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เช้าเย็บปัก บ่ายอ่านตำรา หัวค่ำก็เข้านอนแล้ว หนำซ้ำยังไม่เคยก้าวออกจากเรือนแห่งนี้แม้แต่ก้าวเดียว ไม่รู้ว่านางมีจิตใจเข้มแข็งสามารถเก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ หรือแท้จริงนั้นเพียงแสดงท่าทีเฉยเมยให้ผู้อื่นชมกันแน่
ท่าทางไม่สนใจสิ่งที่อยู่รอบกายเช่นนี้นับว่าไม่ธรรมดา ดังนั้นหลังจากแผลแห้งสนิทดีเขาจึงนึกอยากเห็นหน้าภรรยาเอกของตนสักครั้ง อยากรู้เหลือเกินว่าแท้จริงแล้วคุณหนูสิบห้าตระกูลเจียงผู้นี้เป็นเช่นใดบ้าง
แต่ไม่ว่าก่อนหน้านี้ หรือเดี๋ยวนี้นางจะแสดงท่าทีอะไรออกมา อีกไม่นานเขาย่อมต้องรู้เรื่องราวทั้งหมดที่ข้องเกี่ยวกับนางอย่างละเอียดอยู่ดี
จะไม่ให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาคือหานไป่จิ้ง บุตรชายเพียงคนเดียวของหานเต๋อ ผู้ถือครองป้ายหยกร้านขายยาเหิงเยว่ที่มีร้านรวงประจำอยู่ทุกมุมเมืองในแคว้นเว่ย เรื่องราวน้อยใหญ่ของผู้ใด หากเขาสนใจย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาไปได้
สำหรับเจียงซูหลันแล้ว ในเมื่อสามวันแรกไม่ได้พบหน้าสามี หลังจากนั้นนางก็ไม่วาดหวังจะได้พบหน้าเขาอีก ทุกวันทำเพียงใช้ชีวิตของตนอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้น อีกอย่างนางเองก็ปรารถนาไม่ให้ผู้อื่นมาวุ่นวายกับตนเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ยินยอมแต่งเข้าสกุลหานตั้งแต่แรกหรอก
สกุลหานนับว่าเป็นสกุลใหญ่ลำดับหนึ่งของแผ่นดิน สาแหรกตระกูลนั้นยาวเหยียดจนจดจำไม่ไหว แต่ที่น่าสนใจก็คือจวนสกุลหานในเมืองหลวงกลับมีเพียงทายาทสายตรงเท่านั้นที่จะอยู่อาศัยและครอบครองได้ และทายาทสายตรงของสกุลหานมีเพียงหานไป่จิ้งสามีของนางผู้นี้เพียงคนเดียว ดังนั้นแม้พ่อสามีจะทิ้งอนุภรรยาผู้หนึ่งไว้แต่นางรู้ดีว่าอำนาจแท้จริงหาได้เป็นของอนุภรรยาผู้นั้นไม่
นางคาดว่าหานไป่จิ้งผู้นี้หาใช่คุณชายธรรมดาทั่วไป มิเช่นนั้นด้วยเขาเพียงคนเดียวจะสามารถจัดการกับตระกูลที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ธรรมดานั่นก็หมายความว่า เขาย่อมมีงานในมือให้จัดการอีกมาก ดังนั้นแม้นางจะแต่งเข้ามาในฐานะภรรยาเอกของเขาหากไม่ได้รับความไว้วางใจแล้วเขาย่อมไม่ยอมข้องเกี่ยวกับนาง
เจ็ดวันมานี้นับว่านางคาดการณ์ได้ถูกต้อง เพราะคนผู้นี้ไม่มีเวลามาใส่ใจภรรยาเอกอย่างนางเลยจริงๆ
จนกระทั่งได้ยินเสียงสาวใช้ด้านนอกส่งเสียงเรียกนายท่าน เจียงซูหลันจึงรู้ว่าวันเวลาที่เงียบสงบของตนในจวนสกุลหานแห่งนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว
แต่ถึงกระนั้นกลับทำเพียงปรายตามองเสี่ยวถงทีหนึ่งแล้วนั่งแผ่นหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ กระทั่งเห็นบุรุษผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีม่วงเข้มก้าวเข้ามาจึงยอบกายคำนับเขา
“ท่านพี่”
ในระหว่างยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่เป็นภรรยาเอกของตนนั้น หานไป่จิ้งย่อมลอบสำรวจนางไม่มากไม่น้อย สตรีผู้นี้สวมอาภรณ์สีฟ้าปักลวดลายด้วยดอกฮุ่ยจื่อ แขนเสื้อนั้นมีผีเสื้อตัวเล็กๆ กำลังโฉบบิน ยามนางขยับเดินคงคล้ายกับผีเสื้อกำลังดอมดมดอก ฮุ่ยจื่อเหล่านั้น ดูแล้วแม้จะเรียบง่ายอยู่บ้างแต่เขากลับไม่อาจปล่อยให้นางยอบกายคำนับอยู่เช่นนั้นนานไป
“ฮูหยินหาต้องมากพิธี ธรรมเนียมเหล่านี้เจ้าอย่าได้วุ่นวายอีกเลย” ว่าพลางดึงรั้งนางกลับไปนั่งบนตั่งตัวยาวด้วยกัน มือข้างหนึ่งกุมมือบอบบางเอาไว้ราวกับว่าเป็นสามีภรรยารักใคร่ผูกพันกันมาเนิ่นนาน หาใช่คนเพิ่งพานพบหน้ากันเมื่อครึ่งถ้วยชาก่อนไม่
เจียงซูหลันหลุบตามองมือของตนที่ถูกอีกฝ่ายกุมไว้เล็กน้อย คนผู้นี้ไม่เอ่ยถึงคืนเข้าหอ นางก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้น จึงฉวยโอกาสดึงรั้งมือกลับพร้อมยกน้ำชาให้เขา
“น้ำชาเจ้าค่ะ”
หานไป่จิ้งย่อมรู้ว่าฮูหยินเอกของตนกำลังเสแสร้ง ภายในใจของนางคิดเช่นไรเขาย่อมรู้แก่ใจดี แต่ถึงกระนั้นเขามิเพียงไม่เปิดโปงแต่ยังรับน้ำชามาจิบลงคอคำหนึ่ง เพียงน้ำชาเข้าปากก็รับรู้ได้ถึงความฝาดขม แต่กลืนลงไปกลับหอมหวานยิ่ง
“ชาดี ฮูหยินใส่ใจยิ่งนัก”
“ข้าภรรยาเพียงชื่นชอบชาชนิดนี้ จึงสั่งให้เสี่ยวถงเตรียมไว้ ในเมื่อท่านพี่ชื่นชอบก็ตบรางวัลให้เสี่ยวถงสักหน่อยเถิด”
“รางวัลของเสี่ยวถงย่อมมี” หานไป่จิ้งโบกมือทีหนึ่ง พ่อบ้านไห่ฉวนก็นำทองคำก้อนมอบให้เสี่ยวถง หลังจากนั้นก็เรียกสาวใช้กลุ่มหนึ่งเข้ามา ในมือของสาวใช้เต็มไปด้วยเครื่องประดับอาภรณ์มากมาย แต่ละชิ้นแต่ละชุดล้วนงดงามยิ่ง มองไปจนทั่วเมืองหลวงจะมีสตรีสักกี่คนที่ได้รับของล้ำค่าเช่นนี้
ในเมื่อเขาใส่ใจ เจียงซูหลันย่อมรู้ว่าตนควรแสดงออกเช่นไร ยามนี้นางจึงยิ้มทั้งปากทั้งตา หาได้เปิดเผยความขุ่นเคืองออกมาสักเล็กน้อยไม่
“ฮูหยินชอบหรือไม่”
“ชอบเจ้าค่ะ” นางสบตาผู้เป็นสามี ตอบด้วยสีหน้าจริงใจยิ่ง “ขอบคุณสามี”
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว นับว่าการทุ่มเทของข้าในครั้งนี้ไม่เสียเปล่า” ในเมื่อนางเสแสร้งได้ หานไป่จิ้งย่อมทำได้เช่นกัน หลังจากนั้นจึงโบกมือให้ทุกคนถอยออกไป กระทั่งภายในห้องไม่มีผู้อื่นอยู่แล้ว จึงเอ่ยปากออกมา
“คืนแรกที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ ข้าทำผิดต่อเจ้าไม่น้อย หวังว่าเจ้าคงไม่โกรธเคือง”
“ท่านพี่ไม่อาจมาร่วมหอในคืนแรก ข้าภรรยาแม้จะโกรธเคือง แต่ข้าภรรยารู้ดีว่าท่านพี่ย่อมมีกิจธุระต้องสะสางมากมาย ในเมื่อข้าภรรยาเป็นสตรีของท่าน จะได้ร่วมหอหรือไม่นั้นฐานะของข้าภรรยาก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี ท่านพี่อย่าคิดมากเลย วันนี้ท่านพี่มาเยี่ยมเยือน ข้าภรรยาซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
“เจ้าเข้าใจเช่นนี้ นับว่าเป็นวาสนาของข้า”
“ได้แต่งงานกับท่านพี่ ก็ถือเป็นวาสนาของข้าภรรยาเช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้น...”
ก่อนที่เขาจะเอ่ยถ้อยคำบางคำออกมา เจียงซูหลันกลับเม้มปากแน่น หลุบตาลงด้วยท่าทีกระดากอาย “แต่วันนี้ ข้าภรรยาคงปรนนิบัติท่านพี่ไม่ได้ เพราะข้าภรรยา...”
“ฮูหยินเจ้า...”
“เลือดลมของข้าภรรยาไม่สู้ดี ท่านพี่ออกไปค้างที่เรือนอื่นสักเจ็ดวันเถิด”
ปากบอกว่าไม่โกรธ สีหน้าท่าทางแสดงออกว่าชื่นชมผู้เป็นสามีของตนไม่น้อย แต่สุดท้ายกลับลุกขึ้นยอบกายส่งเขา หานไป่จิ้งมองแล้วก็ได้แต่เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้ แน่นอนว่านอกจากความไม่พอใจก็ยังมีอีกความรู้สึกหนึ่ง
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ไห่ฉวนเตรียมการ อีกเจ็ดวันข้างหน้าข้ากับเจ้าร่วมหอกันดีหรือไม่”
เจียงซูหลันไม่รับคำ ทำเพียงยิ้มแย้มแต่นัยน์ตาไร้ซึ่งรอยยิ้ม ไม่ว่าเจ็ดวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็ล้วนยอมรับทั้งสิ้น แต่วันนี้ขอเพียงไล่คนผู้นี้ออกจากเรือนไปได้ก็พอ
มาถึงขั้นนี้นางรู้แล้วว่าหานไป่จิ้งผู้นี้หาใช่ธรรมดา เพราะคนธรรมดาผู้หนึ่งคงไม่อาจเสแสร้งแกล้งตบตาผู้อื่นได้มากมายขนาดนี้
นางกับเขาล้วนไม่เคยพบหน้ากัน ความสัมพันธ์ลึกซึ้งจิตใจพันผูกไม่มีให้กันแม้แต่น้อย ทว่ากลับเอ่ยปากหวานซึ้งราวกับรักใคร่กันมาหลายปี ยิ่งพูดยิ่งฟังนานเท่าไหร่ ก็คล้ายจะรู้สึกสะอิดสะเอียนจนไม่อาจทนไหว
ดังนั้นทันทีที่ผู้เป็นสามีก้าวออกออก เจียงซูหลันพลันทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ รินน้ำชาดื่มดับความโกรธเคืองในใจจนสงบลงได้จึงเอ่ยปากออกมาเสียงเบา
“เสี่ยวถง”
เจ้าของชื่อรีบก้าวเร็วๆ มายอบกายคำนับเบื้องหน้า เห็นท่าทางของคุณหนูแล้วเสี่ยวถงจึงรีบบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่ง “บ่าวนำของที่คุณชายเขยให้ไปเก็บไว้ในคลังหมดแล้ว ไม่มีชิ้นไหนอยู่ในห้องนี้ให้คุณหนูต้องขุ่นเคืองสายตา” พูดแล้วก็รีบขยับเข้ามาหา นวดมือนวดเท้าให้ “คุณหนู ท่านสงบใจลงก่อนเถิด บางทีคุณชายเขยอาจ...”
“หยุดเรียกคนผู้นั้นว่าคุณชายเขยเสียที เขาคือหานไป่จิ้ง เป็นนายท่านของสกุลหาน ข้ากับเจ้าควรเรียกเช่นไรเราสองคนล้วนรู้แก่ใจดี”
เสี่ยวถงมิเพียงเปลี่ยนคำเรียก แม้กระทั่งกับคุณหนูของตนก็ต้องเปลี่ยนด้วย “บ่าวทราบแล้ว ฮูหยินท่านอย่าโกรธเลย”
นางกัดฟันแล้วเค้นออกมาคำหนึ่ง “คนผู้นั้น น่าฆ่าให้ตายนัก”
เสี่ยวถงได้ยินแล้วต้องรีบปิดปากคุณหนูเอาไว้ แถมยังมองรอบๆ ด้วยความระวัดระวัง กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีผู้อื่นได้ยินถ้อยคำนี้จึงสามารถผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูท่าทางแล้วคุณหนูของนางกับคุณชายเขยผู้นั้นมิเพียงไม่อาจปรองดองกันในฐานะสามีภรรยา แต่อาจจะถึงขั้นใช้ชีวิตร่วมกันได้ยากลำบากยิ่ง นึกถึงวันเวลาต่อจากนี้แล้วไม่รู้ว่าทำไมจึงเย็นสันหลังขึ้นมา