บทที่ ๑ เจ้าสาวสิบห้า
แคว้นเว่ย
วันที่ยี่สิบเดือนสามรัชสมัยเว่ยเสียนตี้ปีที่สามสิบหก
บุตรสาวห้าคนของใต้เท้าเจ้ากรมพิธีการเจียงโหย่งเล่อล้วนขึ้นเกี้ยวแต่งออกไป ในเมื่อเจียงซูหลันเป็นบุตรธิดาคนที่สิบห้าของใต้เท้าเจ้ากรมพิธีการย่อมต้องอยู่ในขบวนเจ้าสาวขบวนหนึ่งเช่นกัน
พี่สาวน้องสาวที่แต่งออกไปพร้อมกันในครั้งนี้มีทั้งหมดห้าคน ไม่รู้ว่าแต่ละคนนั้นต้องพบเจอกับสามีเช่นไร แต่สำหรับนางต่อให้ต้องใช้ชีวิตกับบุรุษที่แต่งด้วยนานแค่ไหน นางก็ไม่มีวันมอบใจให้เขา
เจียงซูหลันตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ชีวิตนับจากนี้ล้วนไร้รักไร้ใจ แม้ร่างกายจะถูกผู้เป็นสามีครอบครองก็ตาม
ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนห่างจากจวนตระกูลเจียงขึ้นไปทางทิศเหนือ
ใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วยามก็มาถึงที่ตั้งของจวนตระกูลหานเสียที
จวนตระกูลหานแห่งนี้ตั้งมั่นอยู่ทางเหนือของเมืองหลวงมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ต่อให้ผู้ปกครองแคว้นเว่ยเปลี่ยนไปกี่ รัชสมัย ไม่ว่าสกุลอื่นจะล่มสลายไปมากเพียงใด จวนสกุลหานก็ยังยืนหยัดอยู่เช่นเดิม แถมนับวันยังมีอำนาจมากขึ้น
บัดนี้นายท่านหลายคนในสกุลหาน ล้วนแยกจวนออกไปเป็นหลายสาย กระจายตัวไปทั่วทุกหนแห่งของแคว้นเว่ย ปล่อยให้นายท่านใหญ่ปกครองจวนสกุลหานในเมืองหลวง ทว่าห้าปีก่อนนายท่านใหญ่และฮูหยินใหญ่ได้จากไปแล้ว อำนาจทั้งหมดจึงตกเป็นของทายาทเพียงคนเดียว นั่นคือ หานไป่จิ้ง
แต่ถึงอย่างไรก่อนที่นายท่านใหญ่จะจากไปนั้นก็ยังรับอนุภรรยาผู้หนึ่งเข้ามา ธุระภายในจวนทั้งหมดจึงตกเป็นของอนุภรรยาผู้นั้น ยามนี้แม้ไม่มีใครเอ่ยปากแต่ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็อดคิดไม่ได้ว่า เห็นทีจวนสกุลหานที่ยืนหยัดมาหลายชั่วอายุคนอาจถึงวันล่มสลายเสียแล้ว จนกระทั่งวันที่บุตรสาวสายตรงของใต้เท้าเจียงโหย่งเล่อแต่งเข้าไป จึงทำให้คนทั้งเมืองหลวงโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง
การให้ภรรยาเอกของคุณชายหานเป็นผู้จัดการธุระภายในจวน ถึงอย่างไรก็ย่อมดีกว่าให้อนุภรรยาของนายท่านใหญ่ที่จากไปแล้วจัดการอยู่ดี
อีกอย่างคุณหนูสิบห้าตระกูลเจียงผู้นี้ ก็เป็นถึงบุตรสาวของใต้เท้ากรมพิธีการ แถมยังเป็นบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินใหญ่อีก
เรื่องขนบธรรมเนียมการปฏิบัติต่างๆ อนุภรรยาผู้หนึ่งจะเทียบนางได้อย่างไร
สำหรับเจียงซูหลันแล้ว ไม่ว่าอำนาจจัดการธุระในจวนจะตกอยู่กับผู้ใดล้วนไม่ใส่ใจเลยสักนิด นางคิดเพียงแค่ขอให้ตนใช้ชีวิตอยู่ในจวนตระกูลหานไปอย่างดีจนกว่าจะถึงวันสิ้นลม
ในเมื่อความหวังหนึ่งในใจไม่สัมฤทธิ์ผล นางก็ยินดีใช้ชีวิตเช่นนี้ หวังเพียงว่าคุณชายสกุลหานผู้นั้นคงไม่ใจร้ายจนเกินไป
หรือถ้าหากสามีของนางผู้นี้ใจร้ายจริงๆ ละก็ การจบชีวิตด้วยมือตนเองก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่เลวแม้แต่น้อย
คิดถึงตรงนี้คุณหนูสิบห้าตระกูลเจียงพลันหลับตาลง หากชาตินี้ไม่อาจครองคู่กับคนที่ตนรัก เกิดชาติหน้าสวรรค์คงมอบโอกาสให้นางกับคนผู้นั้นกระมัง
ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นมือขาวนวลของคนผู้หนึ่งรั้งผ้าม่านขึ้น เบื้องหน้าของนางในตอนนี้ปรากฏเรือนหลังใหญ่ที่งดงามยิ่ง ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าจวนสกุลหานร่ำรวยมั่งคั่งเป็นสกุลใหญ่สกุลหนึ่งของแผ่นดิน แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า คำเล่าลือเหล่านั้นกลับด้อยกว่ามากมายนัก
สาวใช้ผู้ติดตามมาจากบ้านเดิมอย่างเสี่ยวถงยอบกายลงก่อนจะประคองคุณหนูลงมาจากเกี้ยวเจ้าสาวด้วยท่าทางระมัดระวังยิ่ง หนำซ้ำแววตาสีหน้ายังเผยให้เห็นความเคารพเลื่อมใสถึงเก้าส่วน
“คุณหนู” เสียงของเสี่ยวถงในตอนนี้สั่นเทาด้วยความปลาบปลื้มยินดี
เจียงซูหลันแตะหลังมือเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เข้าไปกันเถิด”
ในเมื่อขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวผ่านประตูใหญ่ของจวนสกุลหานมาถึงเรือนหลังนี้แล้วก็หมายความว่า นางไม่อาจหันหลังกลับหรือหลีกหนีฐานะภรรยาเอกของหานไป่จิ้ง ดังนั้นมีเพียงต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติเท่านั้น ที่สำคัญนางไม่อาจปล่อยให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับภายในใจเด็ดขาด มิเช่นนั้นมิเพียงเป็นการทำลายชีวิตตน แต่ยังทำให้ตระกูลเจียงของนางต้องมัวหมองไปด้วย
เรื่องราวความรู้สึก ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นล้วนต้องเก็บไว้เป็นความลับในใจ
พอเงยหน้ามองป้ายอักษรหน้าเรือนหลังใหญ่ตรงหน้าพลันหรี่ตาลงเล็กน้อย เรือนเหิงเยว่ ชื่อนี้ช่างมีความหมายดียิ่งนัก ดูไปแล้วอาจคล้ายกับจวนสกุลหานแห่งนี้ก็เป็นได้ นางสูดหายใจแล้วก้าวเข้าสู่ด้านใน มองด้านนอกว่าใหญ่โตโอ่อ่า ด้านในช่างเหนือกว่ามากมายนัก ต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้ ภูเขาจำลอง สะพานโค้งเหนือสระบัว ที่นี่ล้วนมีทุกอย่างไม่ขาดแม้สิ่งเดียว
แต่ดูเหมือนจวนเจ้าบ่าวแห่งนี้จะแตกต่างจากจวนอื่นมากนัก ที่อื่นบรรยากาศคงคึกครื้นทว่าที่นี่กลับเงียบเหงายิ่ง แม้กระทั่งโคมแดงก็ยังไม่มีแขวนไว้ ไม่รู้ว่าความจริงแล้วสถานที่จัดงานเลี้ยงอยู่ไกลเกินไป หรือสามีของนางผู้นั้นไม่ได้ใส่ใจกันแน่
หานไป่จิ้งไม่ได้ใส่ใจ นั่นคือ สิ่งที่เจียงซูหลันสัมผัสได้ในวันรุ่งขึ้น
คืนเข้าหอไร้เงาเจ้าบ่าว ไร้พิธีการกราบไหว้ฟ้าดิน แม้แต่การคารวะน้ำชา คุกเข่ากราบไหว้บรรพชนตระกูลหานก็ไม่มี เจียงซูหลันจึงรู้ว่าไม่เพียงนางที่คิดไร้ใจไร้รักแต่เขาก็เป็นเช่นเดียวกัน
ค่ำคืนที่ผ่านมาเห็นคุณหนูยังสวมชุดเจ้าสาว นั่งแผ่นหลังตรงอยู่เช่นนั้น ขอบตาของเสี่ยวถงแดงก่ำด้วยความสงสาร สุดท้ายจึงขยับเข้าใกล้เอ่ยเรียกออกมาคำหนึ่ง
“คุณหนู”
“เก็บโต๊ะเถิด” เบื้องหน้าของนางยังมีอาหารคาวหวานหลายจาน แม้หน้าเรือนจะไม่ผูกโคมแดงแต่ด้านในก็ยังมีเทียนมงคลเล่มใหญ่ บัดนี้เทียนดับแล้วแต่ยังเหลือน้ำตาเทียนให้เห็น “ช่วยข้าเปลี่ยนชุด” นางเอ่ยปากเพียงเท่านั้นก็ลุกจากเก้าอี้ แต่กว่าจะเดินได้อย่างมั่นคงกลับต้องรวบรวมแรงใจไม่น้อย
หลังเปลี่ยนชุด จัดแต่งทรงผมเป็นหญิงสาวออกเรือนแล้ว ใบหน้าที่ปรากฏในกระจกนั้นย่อมเผยความขื่นขมออกมา แต่ชั่วอึดใจหนึ่งก็เลือนหายไป
นางจะเจ็บปวดไปทำไม ในเมื่อก่อนแต่งเข้ามาเป็นฮูหยิน ของเขา สิ่งเหล่านี้ล้วนคาดหวังเอาไว้แล้วทั้งสิ้น หนำซ้ำนางยังคาดหวังให้ผลลัพธ์เป็นมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
อย่างเช่น เขากับนางไม่ต้องพานพบ อยู่ในจวนเดียวกันก็เสมือนตายจากไปนานแล้ว
ไม่ต้องทำหน้าที่ภรรยาปรนนิบัติสามีนับว่าชาตินี้นางสมปรารถนาไม่ต้องอ้อนวอนต่อสวรรค์เบื้องบนให้เมตตา
ทางด้านเจ้าบ่าวที่หายไปในคืนแต่งงานน่ะหรือ
ท้ายจวนสกุลหานในฝั่งตะวันออกเป็นที่ตั้งของเรือนก้งเยว่
กว่าจะไปถึงเรือนก้งเยว่ได้ต้องผ่านภูเขาจำลองขนาดใหญ่ ยามนี้ดอกหลิงเซียวสีส้มกำลังเบ่งบานดูงดงามยิ่ง ทว่าพอก้าวเข้าเขตเรือนชั้นในบรรยากาศช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน ราวกับสถานที่อย่างเรือนก้งเยว่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในจวนสกุลหานอย่างไรอย่างนั้น
รอบเรือนทั้งภายนอกภายในเงียบสงัด ค่อนข้างวังเวงและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ด้านในนั้นมีบุรุษสองคนที่มีศักดิ์ฐานะแตกต่างกัน คนหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำนั่งอยู่บนตั่งตัวยาวสีหน้าแม้จะเรียบสนิทแต่กลับซีดเซียวอยู่บ้าง อีกคนท่าทางนอบน้อมดูปกติกระทำการสิ่งใดล้วนระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งกระทั่งช่วยคุณชายปลดเสื้อคลุมตัวนอกออก ห้าวอี้ในวัยยี่สิบเจ็ดปีถึงได้ลอบสูดหายใจคราหนึ่ง
กลิ่นเลือดคาวคลุ้งมาพร้อมกับลิ่มเลือดสีดำเข้มติดอยู่ตรงหัวไหล่ข้างซ้ายของหานไป่จิ้ง ร่องรอยที่เห็นคล้ายจะเกิดจากกระบี่แหลมคมทิ่มแทง และกระบี่นี้ยังอาบด้วยยาพิษอีกด้วย
“นายท่าน” ห้าวอี้เรียกแล้วรีบหยิบกล่องไม้ขนาดใหญ่ใต้ตั่งออกมา พอเปิดฝาออกก็จะพบกับขวดหยกหลากสี
หานไป่จิ้งเหลือบตามองทีหนึ่งก่อนจะหยิบขวดสีขาวพลางกัดฟันสั่ง “ใส่ยาให้ข้า”
ห้าวอี้ไม่พูดอะไร รีบใส่ยาพันแผลให้ เพราะรู้ดีว่าคุณชายของตนนั้นมีความเชี่ยวชาญในการใช้พิษและยาถอนพิษเป็นอย่างดี จัดการกับแผลเรียบร้อยจึงอดพูดออกมาไม่ได้ “ได้ยินมาว่าไห่ฉวนรีบร้อนมารอพบคุณชายตั้งแต่ยามจื่อที่ผ่านมาแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของฮูหยินที่เข้าจวนมาเมื่อเช้าวานนี้”
สกุลไห่ผู้นี้เป็นพ่อบ้านของจวนสกุลหานหลายชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่รุ่นปู่จนกระทั่งตอนนี้เป็นบุตรชายอายุสามสิบปีต้นๆ เรื่องฝีมือของไห่ฉวนนับว่าอยู่เหนือผู้อื่นอยู่มาก ในเมืองหลวงอาจจะร่ำลือกันไปว่าอนุภรรยาของหานเต๋อเป็นคนจัดการทั้งมัน แต่ความเป็นจริงนั้นลี่อี๋เหนียงหาได้มีอำนาจตัดสินใจเรื่องใหญ่น้อยภายในจวนแห่งนี้ไม่ นางเป็นเพียงคนที่ถูกผู้อื่นใช้งาน เป็นหมากเบี้ยที่สักวันหนึ่งต้องถูกจัดการทิ้ง ทว่ายามนี้นางยังพอมีประโยชน์หานไป่จิ้งจึงปล่อยให้ใช้ชีวิตอยู่ในจวนสกุลหานต่อไป
พอนึกถึงภรรยาเอกของตนที่เพิ่งเข้าจวนมา หัวคิ้วพลันขยับเข้าหากัน แต่หลังจากนั้นกลับไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ ให้เห็นอีกเลย
เมื่อคุณชายไม่มีคำสั่งอะไรออกมา ห้าวอี้จึงทำเพียงก้มหน้าเก็บกวาดทุกอย่างในเรือนให้กลับสู่ปกติ หนำซ้ำยังจุดกำยานเพื่อกลบกลิ่นคาวเลือดอีกด้วย