บทที่ ๗ หวาดหวั่นในใจ

1903 Words
ยังไม่ถึงยามเหมาดีหานไป่จิ้งก็ตื่นนอนแล้ว มองไปข้างกายก็เห็นแพขนตาโค้งงอนของหญิงงามนิ่งสนิท เขาขยับเข้าหาหวังว่าจะมีโอกาสใกล้ชิดกับนางมากกว่าที่เคยเป็น เดิมทีเจียงซูหลันก็เป็นสตรีของเขา เขาย่อมสามารถร่วมรักกับนางได้ ไม่ว่านางจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่พอคิดถึงคนผู้หนึ่งที่อยู่ในใจนาง เขากลับอยากให้นางได้เห็นธาตุแท้ของคนผู้นั้นเสียก่อน ดังนั้นยิ่งมองใบหน้าพริ้มหลับของเจียงซูหลันนานเท่าไหร่ ดวงตาดำเข้มก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีคำพูดหนึ่งเล็ดลอดออกมา “ซูหลัน เหตุใดเจ้าไม่มอบใจให้ข้าบ้าง” ถามออกมาแล้วมุมปากพลันโค้งสูงคล้ายเยาะหยันตนเอง หลังจากนั้นก็วาดขาก้าวลงจากเตียง หยิบเสื้อคลุมตัวนอกห่มกายได้ก็หายออกจากห้องชั้นในไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่รู้เลยว่าทันทีที่ประตูห้องปิดลงนั้นเจียงซูหลันลืมตาตื่นขึ้นเสียแล้ว หนำซ้ำนางยังได้ยินสิ่งที่เขาพูดชันเจน ‘ซูหลัน เหตุใดเจ้าไม่มอบใจให้ข้าบ้าง’ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่ คนผู้นั้นรู้อะไรมา ยิ่งคิดเหงื่อกาฬแห่งความหวาดหวั่นยิ่งไหลอาบไปทั่วเรือนร่าง จนต้องรีบหยิบเสื้อตัวนอกมาสวมใส่แล้วเร่งฝีเท้ากลับเรือนเหิงเยว่อย่างรวดเร็ว กระทั่งมื้อเช้าที่คิดปรนนิบัติผู้เป็นสามีนางก็ลืมกระทำไปสิ้น กลับมาถึงเรือนก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย น้ำชาของว่างไม่แตะเลยสักคำเดียว “ฮูหยิน” เสี่ยวถงร้องเรียก หลังจากเห็นมื้อเช้ายังอยู่สภาพเดิม “เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเจ้าคะ เหตุใดกลับจากเรือนก้งเยว่แล้วฮูหยินถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่า...นายท่านรังแกฮูหยิน” เดิมทีเจียงซูหลันไม่อยากสนใจสาวใช้คนสนิท แต่พอได้ยินคำพูดนี้กลับไม่อาจไม่สนใจ “เสี่ยวถง นายท่านไม่ได้รังแกข้า” “แล้วเหตุใด ฮูหยินจึงเป็นเช่นนี้” เสียงของเสี่ยวถงเบาลงกว่าเมื่อครู่มากนัก “เสี่ยวถง เจ้ารู้หรือไม่คำว่า เหตุใดเจ้าไม่มอบใจให้ข้าบ้าง หมายความว่าอย่างไร” “เป็นคำตัดพ้อคนรักหรือเจ้าคะ แบบว่าข้ารักเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าไม่รักข้า” เสี่ยวถงพูดออกมาพลันเบิกตาโต “คำพูดนี้ นายท่านเป็นคนพูดออกมาหรือเจ้าคะ” “ใช่” เจียงซูหลันบิดผ้าเช็ดหน้าในมือไปมา แววตาที่มองสาวใช้คนสนิทในครานี้มีแต่ความตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว “หมายความว่า...เขารู้เรื่องข้ากับคุณชายซุนหรือ” “ฮูหยิน” เสี่ยวถงเบิกตากว้างแล้วรีบปิดปากคุณหนูของตนไว้ “บางทีๆ นายท่านอาจไม่รู้ก็ได้ ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ฮูหยินอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ” “ข้าคิดว่า...เขารู้” “ฮูหยิน” ด้วยความสามารถของหานไป่จิ้ง ด้วยอำนาจของสกุลหาน ไม่ว่าเรื่องใหญ่น้อยเพียงใดหากเขาอยากรู้ย่อมไม่อาจเล็ดลอดสายตาไปได้ นึกถึงท่าทาง สีหน้าและการกระทำทั้งหมดของเขาแล้วเจียงซูหลันคล้ายจะมองเห็นอนาคตของตนเอง สตรีแต่งงานแล้วนอกใจสามีจะมีจุดจบเช่นไร ในเมืองหลวงล้วนมีตัวอย่างให้เห็น บางคนถูกจับถ่วงน้ำ บางคนถูกโบยจนตาย บางคนถูกส่งไปเป็นทาสบำเรอกามตามชายแดน ทุกๆ โทษทัณฑ์ล้วนตายอย่างทรมานยิ่ง แต่นางกับซุนเจ้าเฟิงผู้นั้น เพียงรักใคร่หาได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งเกินเลย หวังเพียงว่าหานไป่จิ้งคงไม่เหี้ยมโหดถึงขั้นสังหารนางกระมัง ทว่าบุรุษผู้หนึ่งรู้ว่าสตรีของตนมอบใจให้ชายอื่น ไม่รู้จะมีเมตตาได้แค่ไหน ไม่โบยจนตายก็นับว่ามีคุณธรรมแล้ว เพียงเห็นสีหน้าของนายหญิงไร้สีเลือดเช่นนั้น เสี่ยวถงได้แต่นวดมือนวดเท้าให้ “ฮูหยิน อย่าคิดมากเลย บางทีนายท่านอาจเห็นว่าฮูหยินหมางเมิน ไม่ได้ปรนนิบัตินายท่านมากนักจึงพูดเช่นนั้นออกมา ต่อไปนี้ขอเพียงฮูหยินเอาใจใส่นายท่านให้มาก คอยรับใช้ให้ดี ไม่แน่ว่าหลายวันผ่านไปนายท่านอาจลืมเลือนความรู้สึกนั้นไปก็ได้” ฟังเสี่ยวถงแล้ว เจียงซูหลันพลันเม้มปากแน่น ก่อนจะพูดออกมาประโยคหนึ่ง “มีเพียงแสดงออกว่ารักเขา ข้ากับเจ้ารวมถึง...จะปลอดภัย” แม้แต่ชื่อและฐานะของคนผู้นั้นเจียงซูหลันก็ไม่กล้าเอ่ย และยิ่งนึกถึงคนอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในสกุลหานแห่งนี้นางยิ่งรู้ว่าไม่ควรเผยจุดอ่อนของตน เส้นทางที่ต้องเดินจากนี้คงมีเพียงทำให้ฐานะฮูหยินเอกมั่นคงเท่านั้น คิดได้เช่นนี้แววตาที่มองออกไปด้านนอกคล้ายจะเข้มแข็งและมุ่งมั่นมากกว่าเดิมนัก ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้วก็ได้แต่หันไปพยักหน้าให้กับเสี่ยวถง อีกฝ่ายคล้ายจะรู้ว่าควรทำสิ่งใด ไม่นานนักเสื้อผ้าชุดใหม่ เครื่องประดับก็พลันถูกยกเข้ามา วันนี้เจียงซูหลันแต่งหน้าแต่งตัวด้วยความพิถีพิถันมากกว่าวันวาน หวังแค่เพียงว่าความงามของนางจะทำให้หานไป่จิ้งหลงใหล ให้เขาเลิกคิดว่านางมีผู้อื่น แน่นอนว่ามิเพียงความงามที่นางจะมอบให้เขา แม้แต่ร่างกายนี้หากเขาต้องการนางล้วนเต็มใจมอบให้ ขอแค่เพียงสิ่งที่วาดหวังในใจสัมฤทธิ์ผลก็พอ เมื่อแต่งกายเรียบร้อยก็หลุบตามองเสื้อผ้าบนร่างของตนเองพร้อมถามคนสนิทเสียงสั่นเครือ “เสี่ยวถง ข้างามหรือไม่” ดวงตาของเสี่ยวถงชื้นแดงยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็พยักหน้า “งามเจ้าค่ะ” “นายท่านเห็นแล้ว จะหลงใหลข้าใช่หรือไม่” “แน่นอนเจ้าค่ะ” “ถ้าเช่นนั้น เตรียมตัวไปเรือนก้งเยว่กันเถิด” เสี่ยวถงเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ยอบกายทำตามคำสั่งคุณหนู ระหว่างทางออกจากเรือนเหิงเยว่ไปยังที่พำนักของนายท่านนั้นแม้จะลอบมองแผ่นหลังเหยียดตรงของคุณหนูมากเพียงใดก็ไม่อาจเอ่ยปากหักห้ามออกมาได้อีก คงมีเพียงทำเช่นนี้พวกนางนายบ่าวจึงจะมีชีวิตรอด ใช้เวลาไม่นานนัก เจียงซูหลันก็มาถึงหน้าเรือนก้งเยว่ ที่นี่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แต่ใจของนางในครานี้กลับแตกต่างคล้ายแฝงความเจ็บปวดเอาไว้มากมายนัก นางยืนสูดหายใจชั่วครู่ แล้วก้าวเข้าเรือนไป ในมือของเสี่ยวถงนั้นมีชามน้ำแกงบำรุงที่ตระเตรียมไว้ “ส่งน้ำแกงมาให้ข้า ส่วนเจ้าก็กลับไปเถิด” เสี่ยวถงลังเล แต่สุดท้ายก็รับคำ “บ่าวจะกลับไปรอคุณหนูที่เรือนนะเจ้าคะ” เจียงซูหลันคลี่ยิ้มบางๆ ให้ หลังรับน้ำแกงมาแล้วก็ก้าวเข้าไปในเรือนก้งเยว่ด้วยฝีเท้าหนักแน่นยิ่ง แต่พอเข้ามาแล้วเห็นว่าเจ้าของเรือนนั่งหน้าขรึมอยู่บนตั่งตัวยาว นางก็ได้แต่สูดหายใจคราหนึ่งแล้วก้าวเข้าไปหาเขา ได้กลิ่นน้ำแกงหอมกรุ่นหานไป่จิ้งพลันเงยหน้าขึ้น โฉมสะคราญในอาภรณ์เรียบง่ายแต่งดงามยวนตาเช่นนี้ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวไม่น้อย แต่พอคาดการณ์ถึงสาเหตุที่ทำให้นางเปลี่ยนแปลงไม่รู้ว่าทำไมแววตาถึงได้เยียบเย็นขึ้น “เจ้ามาแล้วหรือ” ปลายนิ้วของเจียงซูหลันสั่นเทาเล็กน้อย แต่พอนึกถึงสาเหตุที่เขาทำเช่นนี้ก็พลันเอ่ยออกมา “เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นว่าท่านพี่อยู่ข้างกาย ข้าภรรยาจึงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนเหิงเยว่ รอกระทั่งน้ำแกงบำรุงได้ที่จึงกลับมา” พูดแล้วก็เหลือบตามองผู้เป็นสามีทีหนึ่ง “ไม่รู้ว่าบาดแผลท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากหรือไม่” นางไม่พูดเปล่าแต่ยังรั้งมือใหญ่มาคลายผ้าพันแผลดู “แผลยังปริอยู่เลย ใส่ยาแล้วท่านพี่ก็พักสักหน่อยเถิด วันนี้อย่าได้ฝึกกระบี่อีกเลย” “เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” หานไป่จิ้งถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบก็จริง แต่แววตากลับแฝงความล้ำลึกไว้ไม่น้อย การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเช่นนี้มีหรือจะพลาดจากการสังเกตของเขาไปได้ ดูท่าคำพูดเมื่อเช้านี้นางคงได้ยินชัดเจนกระมัง ทว่ายิ่งนางทำเช่นนี้ความแค้นเคืองในใจกลับเพิ่มมากขึ้น มากเสียจนพลั้งเผลอคว้ามือข้างหนึ่งของนางไว้อย่างแรง ความเจ็บปวดตรงข้อมือนั้นทำให้เจียงซูหลันต้องเม้มปากแน่น ดวงตากลมโตเอาแต่สบดวงตาดำเข้ม “ว่าอย่างไร เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” “ข้าภรรยาย่อมเป็นห่วงท่านพี่” บอกออกมาแล้วพลันกัดฟันเอ่ยต่อ “ท่านพี่รีบดื่มน้ำแกงเถิด” “ป้อนข้า” เขาสั่งเสียงขรึม กลิ่นอายเย็นชาแผ่ออกมาจนคนยืนอยู่ด้านข้างสัมผัสได้ เจียงซูหลันข่มความหวาดหวั่นเอาไว้แล้วค่อยๆ ยกชามน้ำแกงขึ้น ตักป้อนใส่ปากผู้เป็นสามีช้าๆ เมื่อเปื้อนมุมปากก็หยิบผ้ามาเช็ดให้ ค่อยๆ ป้อนไปเช่นนี้จนหมดถ้วย น้ำแกงหมดย่อมถึงเวลาที่นางควรหลีกหนี “ท่านพี่นอนพักสักหน่อยเถิด” “เจ้าจะนอนเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่” แม้ในใจลึกๆ จะไม่ยินยอม แต่หลังเรียกบ่าวรับใช้ยกชามเปล่าออกไปนางก็ประคองผู้เป็นสามีกลับไปยังเตียงนอนอีกครั้ง ส่งเขาขึ้นเตียงรั้งผ้าม่านลงมาแล้วจึงปลดเสื้อคลุมตัวนอกออก ทว่าสาบเสื้อยังไม่ทันร่วงจากหัวไหล่มนกลับต้องยืนตัวแข็งทื่อ เมื่อคนที่เพิ่งขึ้นเตียงไปเมื่อสักครู่กลับขยับฝีเท้าก้าวลงมา ร่างกายสูงใหญ่งโอบล้อมแผ่นหลังบอบบางของนาง ลมหายใจอุ่นร้อนนั้นเป่ารดข้างลำคอชวนหนาวสะท้านยิ่ง “ให้ข้าช่วยเจ้าถอด ดีหรือไม่” นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นเพียงคำบอกกล่าวเพราะหลังจากนั้นเสื้อคลุมตัวนอกของนางพลันร่วงหล่นออกจากเรือนร่างอย่างช้าๆ หนำซ้ำร่างกายยังถูกผู้เป็นสามีโอบอุ้มขึ้นไปวางบนเตียงอีกด้วย ยามนอนลงแล้วรู้ว่ามีคนอีกผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่ข้างกายเช่นนี้ย่อมทำให้เจียงซูหลันรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงพยายามขยับออกห่างเท่าที่จะทำได้ ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาแล้วต่อให้อยากหลีกหนีเพียงใดนางย่อมไม่อาจทำได้ สุดท้ายก็พลิกตัวตะแคงเข้าหา หวังว่าการยอมร่วมมืออย่างง่ายดายของนางจะช่วยให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้าง มิเช่นนั้นวันข้างหน้ามิใช่เพียงเสื้อคลุมตัวนอกที่ต้องร่วงหลุด แม้กระทั่งเสื้อตัวในก็ไม่อาจปล่อยไว้ได้เช่นกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD