“เอะอะอะไรกันเสียงดังลั่นบ้าน”
ต้นเสียงมาจากชายชราร่างท้วมบนรถวีลแชร์ซึ่งมีคนรับใช้ และพยาบาลประจำตัวเข็นออกมาให้ เด่นชัยหรือเจ้าสัวเด่นชัยผู้ก่อตั้งธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคม อีกทั้งธุรกิจการเงินและการธนาคาร ที่สร้างรายได้ให้กับครอบครัวต่อปีด้วยจำนวนเงินมหาศาล แต่ตอนนี้เขาได้วางมือมอบธุรกิจเหล่านั้นให้ลูกชายทั้งสองสืบทอดต่อ ได้เอ่ยถามลูกชายคนโต
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณพ่อ ว่าแต่คุณพ่อออกมาทำไมครับ ผมนึกว่าคุณพ่อเข้านอนแล้วเสียอีก”
สองสามีภรรยาหันมาทางต้นเสียง พลางเดินมาย่อตัวทรุดนั่งลงข้างๆ รถวีลแชร์พลางเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“ยังหรอก พ่อนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องงานแต่งของตาวิตอยู่”
“ทำไมครับคุณพ่อ งานแต่งของวิตมีปัญหาอะไรงั้นเหรอครับ”
คณิตเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง เก็บซ่อนความกังวลเกี่ยวกับลูกชายไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบขรึม
“ไม่มีปัญหาหรอก ทางนั้นเขาพร้อมแล้ว เหลือแต่ทางเรานี่แหละ ไม่รู้ว่าตาวิตของเราพร้อมจะเข้าประตูวิวาร์หรือยัง ฉันละรู้สึกตื่นเต้นแทนจริงๆ”
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานแต่งแล้ว พร้อมไม่พร้อมก็ต้องพร้อมแหละครับคุณพ่อ”
แม้ในตอนแรกคณิตจะไม่เห็นด้วยที่เจ้าสัวเด่นชาย ผู้เป็นบิดา ได้จับหลานชายคลุมถุงชน แต่เมื่อท่านได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวและคำหมั้นสัญญาที่ท่านเคยให้ได้กับเพื่อนสมัยที่ท่านยังหนุ่มๆ คณิตก็ไม่อาจขัดได้
เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่เขากับน้องชายยังเป็นเด็ก ตอนนั้นครอบครัวลำบากมากไม่มีแม้แต่เงินที่จะไปโรงเรียน กระทั่งได้เพื่อนของเด่นชัยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจึงค่อยๆ ทำให้ครอบครัวที่ไม่มีอะไรมาก่อนเริ่มก่อร่างสร้างตัวมาได้จนตอนนี้ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย
ส่วนเพื่อนของเจ้าสัวเด่นชัยตอนนั้นได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ขอนแก่น ผันตัวไปเป็นชาวไร่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่บ้านนอก กระทั่งลูกชายเพียงคนเดียวได้แต่งงานมีลูกก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์คร่าชีวิตของลูกสะใภ้และลูกชายของท่านไป หลงเหลือเพียงเด็กสาววัยสี่ขวบไว้ต่างหน้าสองสามีภรรยาเลยต้องเลี้ยงหลานสาวที่กำพร้าทั้งพ่อและแม่ตั้งแต่เด็กตามลำพังขณะที่ตัวเองนั้นก็เริ่มแก่ชราลงทุกวัน
เจ้าสัวเด่นชัยที่ไม่รู้จะตอบแทนเพื่อนยังไง เลยให้คำหมั้นสัญญาว่าจะรับเด็กน้อยคนนั้นมาเป็นหลานสะใภ้ในวันที่เธอเรียนจบปริญญาตรี และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องทำตามสัญญากับเพื่อนที่เคยให้ไว้ในอดีตเสียที แต่น่าเสียดายที่เมื่อวันนั้นมาถึงเพื่อนและภรรยาก็ได้จากไปเสียก่อน ทำให้ไม่ได้เห็นงานแต่งที่เขาได้ตั้งใจจัดเตรียมให้หลานๆ ในวันนี้
“แล้วเท่าที่คุยกับตาวิต มีปัญหา หรือติดขัดอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ครับคุณพ่อ วิตเขาพร้อมจะแต่งงานครับ”
คณิตเลือกที่จะปดคำโต เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นบิดาต้องมาหนักอกกับเรื่องของหลานชายที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ อีกทั้งไม่อยากให้เรื่องวุ่นๆ ทำให้โรคหัวใจของท่านกำเริบด้วย
“งั้นเหรอ ฮ่าๆๆ ดีจริงๆ สมกับที่เป็นหลานรักของฉันจริงๆ”
เจ้าสัวเด่นชัยหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ก่อนจะเอ่ยถามถึงลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้ไปทำธุระอยู่ต่างประเทศ
“แล้วได้ติดต่อน้องบ้างหรือเปล่า ว่าจะกลับบ้านวันไหน”
“อีกสองวันครับคุณพ่อ เราเพิ่งจะวางสายจากกันเมื่อบ่ายนี้เอง”
“อืม” เจ้าสัวเด่นชัยพยักหน้ารับรู้
“คุณพ่อจะกลับไปนอนเลยหรือเปล่าครับ เดี๋ยวผมไปส่งเข้านอน”
“อืม ดีเหมือนกัน”
ด้วยการที่เขาเป็นลูกชายคนโต อีกทั้งเป็นพี่ชายที่แสนดีทำให้คณิตต้องแบกรับภาระและความเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลายมาโดยตลอด ในสายตาของทุกคนเขาเป็นลูกที่ดีและพี่ชายที่แสนดี ทว่ากับลูกชายเขานั้นไม่ต่างจากซาตานร้ายที่พูดคุยกันเมื่อไหร่เป็นอันต้องทะเลาะกันทุกที
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเขามีลูกชายเพียงคนเดียวที่แสนจะเอาแต่ใจด้วยกระมัง ส่วนลูกสาวคนเล็กซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในวัยมัธยมปลายนั้นค่อยยังชั่วหน่อย ถึงจะไม่อยู่ในกรอบมาก แต่ก็ถือว่ายังเชื่อฟังอยู่บ้าง
………………………………………….
สองวันต่อมา…
“หนูดาวเรืองโตเป็นสาวแล้วสวยจนปู่จำไม่ได้เลย นึกไม่ถึงว่าจะสวยขนาดนี้”
เจ้าสัวเด่นชัยเอ่ยชมหลานสะใภ้ในชุดเจ้าสาวตัวยาวสีขาวลายลูกไม้ รูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม ผิวขาวอมชมพูเกลี้ยงเกลาหมดจดสมกับเป็นตระกูลผู้ดีเก่า กรอบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งงาม แพขนตางอนยาวอย่างเป็นธรรมชาติ จมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีหวานที่ช่างแต่งหน้าเลือกโทนสีอ่อนๆ บางๆ แต่งเติมเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความโด่ดเด่นให้กับใบหน้าครบเครื่องลงตัว
“ขอบคุณค่ะคุณปู่ คุณปู่ก็ยังแข็งแรงมากเลยนะคะ”
เสียงหวานกล่าวขอบคุณตามมารยาท พร้อมกับเอ่ยชมอีกฝ่าย ตอนเด็กๆ เธอเคยพบกับเด่นชายหลายครั้ง เพราะท่านมักจะไปเที่ยวหาคุณปู่ที่ไร่อยู่บ่อยๆ เลยทำให้เธอสนิทกับท่านอยู่ไม่น้อย เจอท่านล่าสุดก็ตอนที่ได้สูญเสียคุณปู่ไปด้วยโรคประจำตัว ในตอนนั้นเจ้าสัวเด่นชัยให้คำมั้นสัญญาว่าจะปกป้องดูแลเธอต่อจากปู่เอง ดาวเรืองเลยอบอุ่นหัวใจและไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องโดดเดี่ยวอยู่บนโลกนี้เพียงลำพังอีกต่อไป
“แล้วนี่ตาวิตไปไหนเสียล่ะ ไม่มาดูเจ้าสาวหน่อยเหรอ”
เจ้าสัวเด่นชายเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองหาหลานชายสุดที่รัก ที่ตอนนี้ไม่รู้หายหน้าหายตาไปที่ไหน คณิตที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สะดุ้งกับคำถามนั้นน้อยๆ เนื่องจากลูกชายตัวดีหายออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ทะเลาะกัน จนป่านนี้ไม่ยอมกลับบ้านและยังติดต่อไม่ได้เลย แต่กระนั้นเขาก็เลือกที่จะเอ่ยให้บิดาสบายใจ
“คงมาตอนพิธีเริ่มครับคุณพ่อ”
“อย่างนั้นเหรอ แล้วตาคีย์มาถึงหรือยัง ฉันยังไม่เห็นหน้าเลย”
เจ้าสัวไม่ได้ติดใจอะไร ก่อนจะเอ่ยถามถึงลูกชายคนเล็กบ้าง ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหน้าเหมือนกัน
“คีย์โทรมาบอกว่าเพิ่งจะลงเครื่อง ก่อนพิธีเริ่มก็น่าจะถึงครับ”
“เอ่อ ดีๆ”
“คุณพ่อไปพักด้านในเถอะครับ ไว้ใกล้พิธีเริ่มผมจะไปตาม”
“อืม ฝากทางนี้ด้วยนะ”
เมื่อเห็นว่างานไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เจ้าสัวเด่นชัยก็กลับเข้าไปพักในห้องของโบสถ์ที่จัดเตรียมไว้สำหรับเจ้าภาพงาน ปล่อยให้หน้าที่รับแขกเป็นของลูกหลานต่อไป