EP.2 เด็กน้อยที่รอดชีวิต
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นเมื่อคำพูดสุดท้ายของเดยาน่าสิ้นสุด ร่างไร้วิญญาณล้มลงบนผืนทรายสีทองอร่าม เลือดสีข้นไหลย้อมผืนทรายจนเป็นสีแดงชาด
“ยกโทษให้ผมด้วยเถอะครับท่านเดยาน่า” เขาลดปืนลงแนบลำตัว มองร่างไร้วิญญาณเนิ่นนานราวกับกำลังไว้อาลัยให้กับเธอ หญิงสาวตรงหน้าจะไม่พบจุดจบเช่นนี้หากเธอใช้ชีวิตอยู่ที่เวเนซุเอล่าเฉกเช่นที่ผ่านมา มิใช่มาเป็นภรรยาคนที่สี่ของท่านชีคอิมราน
“พวกเรากลับ” เมื่อได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเหล่าทหารก็กระโดดขึ้นม้าเตรียมจะควบออกไป
อุแว้ๆๆ
เสียงเด็กส่งเสียงร้องทำให้ทุกคนหยุดนิ่งก่อนจะมองมายังต้นเสียงซึ่งเป็นกระเป๋าเดินทางขนาดกลาง
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง พวกแกกลับไปได้แล้ว” ยูซุปสั่งเสียงเครียดก่อนจะเดินย้อนกลับไปเปิดกระเป๋าใบนั้น เสียงร้องเงียบหายแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากถูกใจเมื่อเห็นใบหน้าคนคุ้นเคยที่เคยหยอกล้อตนอยู่บ่อยครั้ง
มือที่ยกปืนขึ้นสูงค่อยๆ ลดต่ำลง เขาจะฆ่าเด็กบริสุทธิ์ได้อย่างไรกัน ยูซุปขบกรามแน่น ก่อนจะมองไปยังลูกน้องที่กำลังควบม้ากลับรัฐฮาดิยะห์
ปัง! เสียงปืนยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัด
“คุณหนูเซรินะห์ถ้าพระอัลเลาะห์ทรงมีพระประสงค์ให้คุณหนูมีชีวิต คุณหนูก็จักมีชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์” เขาเดินจากมาปล่อยเด็กน้อยไว้ตามลำพังท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ ไม่ว่าจะฆ่าหรือไม่คงมิต่างกันเท่าใดนักเพราะหนูน้อยคงตกเป็นเหยื่อของแร้งกาในไม่ช้า
“เสียงปืนดังมาจากทางด้านทิศตะวันออก อาติฟนายได้ยินเหมือนฉันรึเปล่า” เด็กหนุ่มวัยรุ่นผิวคล้ำกร้านแดด ดวงตาสีเขียวมรกตสดใสมองออกไปยังผืนทรายเบื้องหน้า
“ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนี่ครับ” องครักษ์หนุ่มเอ่ยขึ้น เมื่อตนไม่ได้ยินเสียงผิดปกติดังที่เจ้านายหนุ่มได้ยิน
“แต่เราได้ยิน” ชีคราเซม บินฮาดีน อัลอัชมาวีย์ ควบม้ามุ่งหน้าไปยังต้นเสียงทันที องครักษ์ไม่รอช้ารีบควบม้าตาม ก่อนจะร้องถามออกไป
“ท่านชีคแต่นี่ก็เย็นมากแล้วนะครับ ถ้าไม่รีบกลับคฤหาสน์ท่านชีคฮาดีนจะเป็นห่วง”
“เราขอไปดูให้เห็นกับตาว่าไม่มีอะไร เราถึงจะกลับ”
“แต่ท่านชีค...” องครักษ์อึกอัก
“ที่นี่เป็นผืนแผ่นดินของเรา บ้านของเรา นายยังจะกลัวอะไร” ราเซมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ก่อนจะควบม้าให้เร็วขึ้น เขาเชื่อว่าต้องมีอะไรผิดปกติทางด้านทิศตะวันออกของรัฐมาห์จาอย่างแน่นอน
แล้วก็เป็นจริงดังที่คาดคิด...ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือกองคาราวานขนาดเล็ก ผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาดราวกับผักปลา บนผืนทรายสีทองจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วบริเวณ สัมภาระมากมายกระจุยกระจาย ฝูงแร้งบินโฉบลงต่ำสนุกสนานกับการเลือกอาหารที่มีมากมายจนจิกกินไม่หมด
“เกิดอะไรขึ้น” ชีคราเซมกระโดดลงจากหลังม้า
“คงจะโดนปล้นครับ” องครักษ์อาติฟสรุปจากสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เป็นไปได้ยังไง รัฐเราไม่มีโจรทะเลทรายมานานมากแล้ว”
ชีคหนุ่มเดินสำรวจทีละศพเผื่อว่าจะพบผู้รอดชีวิต ก่อนจะสะดุดใจกับศพหญิงสาวคนหนึ่ง เมื่อพลิกศพขึ้นผ้าผืนบางที่ปิดบังใบหน้าไว้หลุดออกเผยให้เห็นวงหน้างดงามแม้ว่าเจ้าของร่างนั้นจะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม ชีคราเซมหยุดพิศเนิ่นนานก่อนจะเดินผ่านไปสำรวจศพอื่นๆ แต่ก็หมดหวัง
“เดี๋ยวกลับไปบอกทหารให้ออกมานำศพพวกเขาเหล่านี้ไปฝัง ยังไงเสียเขาก็มาตายในรัฐของเรา เราคงนิ่งดูดายไม่ได้”
“ครับท่านชีค”
องครักษ์อาติฟขานรับคำสั่งจากเจ้านายหนุ่ม ถึงแม้ว่าชีคราเซมจะเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ด ทว่าความคิดความอ่านกลับเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ ภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่แบกไว้บนบ่าทำให้ชีคหนุ่มมีวุฒิภาวะมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน
อุแว้ๆๆ
เสียงเด็กร้องทำให้ชีคราเซมชะงักฝีเท้าก่อนจะเดินกลับมายังกองคาราวานอีกครั้ง
“เสียงเด็กที่ไหนน่ะอาติฟ”
“เสียงน่าจะมาจากกองสัมภาระทางนั้นครับ” อาติฟเดินนำไปยังต้นเสียงทันที
ชีคหนุ่มรีบเดินไปยังกองสัมภาระเมื่อแน่ใจว่าเสียงร้องของเด็กน้อยมาจากกระเป๋าเดินทางสีดำขนาดกลาง รีบเปิดมันออกทันที เด็กหญิงตัวน้อยกำลังแผดเสียงร้องไห้จนหน้าแดงก่ำหยุดเสียงร้องเพียงชั่วครู่ก่อนจะตะเบ็งเสียงร้องอีกครั้ง
“คงจะหิวนม” ชีคราเซมอุ้มเด็กน้อยออกจากกระเป๋าด้วยท่าทางเก้งก้าง โดยที่เด็กน้อยยังคงร้องไห้ไม่หยุด
“อาติฟนายลองหาดูซิว่า มีกระเป๋านมของแม่หนูคนนี้ตกอยู่ตรงไหนหรือเปล่า” ชีคหนุ่มมองเด็กตัวน้อยที่ยังหลับหูหลับตาร้องไห้แม้ว่าเขาจะพยายามปลอบสักเพียงใดแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“เจอแล้วครับ”
อาติฟรีบหยิบขวดนมออกจากกระเป๋าใบเล็กส่งให้เจ้านายหนุ่มทันที ชีคราเซมวางเด็กน้อยไว้ในกระเป๋าอีกครั้งก่อนจะจับขวดนมป้อนใส่ปากที่กำลังร้องไห้จ้า
เสียงร้องไห้งอแงเงียบหายไป แทนที่ด้วยเสียงดูดนมดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยคงจะหิวจัดจึงดูดนมจนแทบไม่หายใจหายคอ สองหนุ่มต่างศักดิ์มองดูเด็กน้อยราวกับเป็นสัตว์ประหลาด
‘เกิดมาก็เพิ่งเคยอุ้มเด็กครั้งแรกนี่ล่ะ’ ชีคหนุ่มรู้สึกประหลาดกับสัมผัสแรกเมื่อได้อุ้มเจ้าตัวน้อยที่กำลังตะกละตะกลามดูดนม ความรู้สึกเมื่อได้อุ้มเด็กน้อยไว้แนบอกเมื่อสักครู่คืออะไรกันนะ
เพียงไม่นานหนูน้อยก็ปัดขวดนมออก ชายหนุ่มทั้งสองถึงกับผงะเมื่อขวดนมหลุดออกจากปากด้วยกลัวว่าเด็กน้อยจะร้องไห้ขึ้นมาอีก ต่างชะโงกหน้ามองเด็กด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ชีคหนุ่มเอื้อมมือหมายจะหยิบขวดนมออกทว่าเด็กน้อยกลับคว้ามือเขาแล้วกำไว้แน่น ไม่ถึงวินาทีเด็กน้อยก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากจับมือเขาโยกไปมา ชีคหนุ่มยืนอึ้งก่อนจะเผลอยิ้มออกมา
“อิ่มแล้วเลยอารมณ์ดีสินะยัยหนู”
แม่หนูน้อยหัวเราะชอบใจ ยิ้มจนแก้มแดงๆ แทบปริเมื่อเห็นชายหนุ่มขยับปากคุยกับตน
“อาติฟเราจะเลี้ยงเด็กคนนี้” ชีคหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เด็ก มองไปยังสร้อยคอที่พันรอบแขนของเธอไว้ ดึงมันออกมา
“เดยาน่า...” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น พลันสายตาก็ไปสะดุดที่กำไลข้อเท้าสีทองแวววาว
“เซรินะห์” เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยเรียก เด็กตัวน้อยก็จ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต ใสแจ๋ว