หมอสิบทิศเดินเข้าบ้านมาอย่างพะรุงพะรัง เขาซื้อของตามรายการที่หยาดฟ้าส่งให้จนครบทุกอย่าง เจ้าตัวรู้ดีว่าคงถูกอีกฝ่ายแกล้งแน่ๆ แต่ก็ยอมทำตามเพราะอยากจะเอาชนะ คนขาหักที่นอนดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนหอบข้าวของรุงรังเดินเข้ามาก็หันไปมองด้วยความตกใจ แม้จะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นสั่งของไปมากมาย แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากเท่านี้
“นี่แกซื้อตามที่ฉันสั่งทุกอย่างเลยเหรอ” หยาดฟ้าค่อนข้างตกใจนิดหน่อย เพราะเธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะซื้อทุกอย่างที่เธอสั่งมาจนครบ ก็แน่ล่ะเธอสั่งไปเยอะมาก บางอย่างก็ไม่ได้อยากได้แค่อยากจะแกล้งเฉยๆ แต่ดูจะที่สิบทิศเดินหิ้วเข้ามาแล้วนั้น ไม่ต้องเช็กก็มั่นใจว่าได้มาครบอย่างแน่นอน
“เออสิ สั่งอะไรเยอะแยะนักหนา แค่ขาหักนะเว้ย ไม่ได้กักตัวหนีซอมบี้ถึงต้องตุนข้าวของขนาดนี้” แม้ปากจะพูดบ่นแต่เขาก็ยังยอมซื้อทุกอย่างมาจนครบ ข้าวของพะรุงพะรังถูกวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา บางส่วนก็ต้องวางกองลงพื้นเพราะมันเยอะเสียจนวางบนโต๊ะทั้งหมดไม่ได้
“ก็อยากบ้าจี้ซื้อมาทำไม อะไรไม่จำเป็นตัดทิ้งไปก็ได้นี่” คนสั่งพูดกลั้วหัวเราะ พอเห็นอีกฝ่ายซื้อของมาเยอะแยะก็นึกสนุก
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย นี่บิลค่าของ จะจ่ายเงินสดหรือว่าโอนมาก็ยืนดีรับทุกช่องทาง” คนตัวสูงว่าพลางยื่นใบเสร็จให้กับคนที่นั่งหัวเราะอยู่ที่โซฟา มือเรียวหยิบกระดาษตรงตักขึ้นมาถือและพบว่ามันยาวจนลากถึงพื้น
“อีคนขี้งก มาเยี่ยมคนเจ็บทั้งที ยังจะมาคิดเงินอีก อ๋อ! ไม่ต้องมาเนียนเลยนะ ฉันจำได้ว่าแกบอกว่าจะเลี้ยง ฉันบอกแล้วไงว่าถ้ามาเก็บเงินปลายทาง ฉันจะด่าให้ยับ” หยาดฟ้าหันไปต่อว่าคนที่กำลังเลือกหาถุงผลไม้ เพื่อจะนำไปล้าง แล้วปอกให้กับเธอ
“ซื้อมาฝากก็ส่วนซื้อมาฝาก อันไหนฝากซื้อก็ต้องจ่ายเงิน ก็ถูกแล้วหรือเปล่าวะ” เขาว่าก่อนจะเดินหายไปทางครัว พร้อมกับถุงผลไม้ที่แวะซื้อมาจากตลาดสดหน้าทางเข้าหมู่บ้าน
บ้านของหยาดฟ้าและสิบทิศรู้จักกันมานาน เนื่องจากเป็นคนในวงการแพทย์และธุรกิจโรงพยาบาลเหมือนกัน ส่วนเด็กทั้งสองคนก็เติบโตเสมือนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ทั้งคู่มักจะแข่งขันกัน จนมีฝ่ายหนึ่งมองว่าอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งก็เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้สิบทิศจึงเข้านอกออกในบ้านของหยาดฟ้าได้แทบทุกซอกทุกมุม ด้วยความสนิทสนมและมาที่นี่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ก่อนจะถูกจับหมั้นกันเสียแล้ว
“แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บอยู่ไหม” จานแอปเปิลถูกวางลงที่โต๊ะ ก่อนที่ร่างสูงจะทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวเดียวกันกับเจ้าของบ้าน เพียงแต่เว้นระยะห่างให้เหมาะสม เพราะถึงอย่างไร ทั้งคู่ก็ยังเป็นเพียงคู่หมั้นลอยๆ ที่ผู้ใหญ่หมั้นกันเองเท่านั้น
“จากประสบการณ์การเป็นหมอของแกเนี่ย มันเดาไม่ได้เลยเหรอว่าฉันจะยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” คนเจ็บว่าพลางเอื้อมมือไปที่จานผลไม้ หมายจะหยิบชิ้นแอปเปิล แต่ไม่ทันได้แตะแม้แต่ชิ้นเดียว จานก็ถูกดึงไปหลบโดยคนที่จัดจานมา
“ไม่ต้องกินแล้ว ปากดีขนาดนี้น่าจะหายดีแล้วละมั้ง” สิบทิศว่าพลางหยิบชิ้นแอปเปิลเข้าปาก พลางหันเคี้ยวเยาะเย้ยคนที่อยากกิน ปากเรียวเป็นกระจับเม้มแน่นด้วยความแค้นใจ เอื้อมจะถึงอยู่แล้วเชียวดันโดนดึงไปเสียได้
“อีสิบ นี่แกจะมาเยี่ยมฉัน หรือะมาแกล้งฉันกันแน่” คนถูกถามหันมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะกัดชิ้นแอปเปิลอีกคำ และไม่ลืมที่จะทำหน้าเยาะเย้ยคนอยากกิน ยิ่งเห็นหยาดฟ้าเม้มปากแน่นก็ยิ่งอยากแกล้ง
“นั่นสินะ ตอนแรกว่าจะมาเยี่ยม แต่เห็นว่าที่บ้านไม่มีคนอยู่ แถมขาแกก็เจ็บอยู่แบบนี้ ถ้าเปลี่ยนไปแกล้งคงจะสนุกน่าดู” เขาว่าพลางทำท่าหัวเราะเหมือนตัวร้ายในละคร ฝ่ามือเล็กฟาดเข้าที่แขนเขาอย่างจัง ก่อนที่สองมือน้อยจะแย่งเอาจานผลไม้ไปถือไว้ได้สำเร็จ
“ถึงขาจะเดี้ยง แต่มือฉันก็ยังใช้งานได้อยู่ คิดจะแกล้งฉันเหรอ ไม่มีทางซะหรอก” เธอว่าพลางกำชิ้นแอปเปิลสองสามชิ้นยัดเข้าปากจนเต็ม แถมยังหันไปทำหน้าล้อหลอกคนตรงหน้าเป็นการเยาะเย้ย
ตลอดมาหยาดฟ้าไม่เคยรู้เลยว่า สิบทิศชอบการกระทำนี้ของเธอมาก มันดูน่ารักเหมือนกับเด็ก เขาจึงมักทำตัวแข่งกับเธอเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดและได้เธอทำหน้าแบบนี้
“แล้วนี่ไม่ไปทำงานหรือไง หรือว่าเป็นลูกหุ้นใหญ่โรงพยาบาลแล้วจะทำหรือไม่ทำก็ได้” เมื่อได้กินผลไม้จนพอใจแล้ว หยาดฟ้าก็หันไปถามคนที่เอาแต่มองดูเธอกิน
“วันหยุดสิครับ ใครจะไปทำงานทุกวัน”
“มีวันหยุดด้วยแฮะ”
“แน่นอนสิ ที่ศิริอาโปหมอเยอะ เลยมีตารางงานที่แบ่งกันสมดุลพอให้ได้มีวันหยุดพักหายใจบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็หยุดไปทำคลินิกกันต่ออยู่ดี” คนพูดว่าพลางมองดูคนฟัง เธอทำท่าทางเหมือนกำลังจะสนใจ หลายครั้งที่เขาเอ่ยชวนให้เธอไปทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกัน แต่ก็ถูกปฏิเสธเสมอ เพราะหยาดฟ้าปักใจจำว่าโรงพยาบาลที่เธอทำอยู่ เป็นโรงพยาบาลที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธออยากเป็นหมอ เป็นโรงพยาบาลที่ส่งเธอเรียนจนจบ โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้พ่อของเธอนั้นกำลังจะขายหุ้นให้กับคนอื่น
“ชวนมาทำด้วยกันก็ไม่มา”
“ไม่เอาหรอก ฉันก็ภูมิใจในโรงพยาบาลของพ่อฉัน เหมือนกับที่แกภูมิใจในโรงพยาบาลของพ่อแกนั่นแหละ” ไม่ทันที่สิบทิศจะได้พูดจนจบ ประโยคปฏิเสธก็แทรกขึ้นก่อนอย่างทุกครั้ง เขาได้แต่มองหยาดฟ้าด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
สิบทิศนั้นรู้เรื่องที่โรงพยาบาลของครอบครัวหยาดฟ้ากำลังจะเจ๊งแล้ว และก็ยังรู้อีกว่าหยาดฟ้าเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องนี้
“ก็ลองมาเรียนรู้งานเฉยๆ ก็ได้นี่ อุปกรณ์การแพทย์ของที่นี่นำเข้ามาทั้งนั้น” สิบทิศพูดต่อ
“คนเก่งใช้ของโบราณก็เก่งหรอกน่า”
“แกก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้โรคมันพัฒนาไปไกลแล้ว บางอย่างเราก็ต้องพึ่งเทคโนโลยี” ชายหนุ่มพยายามอธิบายอย่างใจเย็นที่สุด
“นี่แกจะมาเพื่อขิงฉันเหรอ ฉันรู้หรอก ว่าจุดแข็งของโรงพยาบาลแกน่ะคือเทคโนโลยี แต่โรงพยาบาลฉันก็อัดแน่นไปด้วยหมอมืออาชีพนะเว้ย” หยาดฟ้าพูดไปอย่างนั้นเอง เธอรู้ดีว่าคนเก่งๆ ลาออกไปทำงานที่โรงพยาบาลของครอบครัวสิบทิศกันเยอะแล้ว ด้วยสวัสดิการที่ดีกว่า และผู้คนก็ไปรักษาที่นั่นมากกว่า
นอกเหนือไปจากการรักษาอาการป่วย ที่ศิริอาโปก็ยังมีแผนกด้านความงาม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหลายอย่าง
“ฉันก็แค่แนะนำให้ ถ้าแกไปเรียนรู้ ไปเจออะไรใหม่ๆ อยากจะเอามาพัฒนาโรงพยาบาลของแกมันก็ได้ไม่ใช่หรือไง อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วหน่อยเลยน่า” หยาดฟ้าไม่ได้พูดเถียง เธอกำลังคิดตามคำพูดของเขาอยู่ และเริ่มรู้สึกเห็นด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่ง คือถึงแม้ว่าพ่อเธอจะเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจขนาดนั้น ส่วนหนึ่งที่โรงพยาบาลของเธอยังพัฒนาไปได้ไม่ไกลเท่ากับศิริอาโป ก็เพราะว่ายังมีกรรมการบริหารหัวโบราณอยู่เยอะ และต่อต้านเทคโนโลยีอย่างไม่มีเหตุผล
หลายครั้งที่เธอเองก็คิดว่า เทคโนโลยีเป็นจุดอ่อนของโรงพยาบาลเธอ แต่ไม่ว่าจะพยายามอธิบายให้กรรมการบริหารฟังยังไง พวกเขาก็ไม่ยอมรับฟัง และฝังหัวเธอด้วยคำว่า คนเก่งไม่จำเป็นต้องพึ่งเทคโนโลยี ถึงหยาดฟ้าจะไม่ได้เห็นด้วยกับคำนี้ แต่เธอก็รู้สึกว่ามันจริงเพียงแค่ไม่ทั้งหมดเท่านั้นเอง
หยาดฟ้าไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ เธอรู้สึกเหมือนมันเป็นปมด้อยที่ยากจะแก้ รู้สึกว่าแพ้สิบทิศ แบบที่ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปสู้เขาได้เลย