“มาอยู่เพื่อนฉันไม่ได้เลยเหรอ บ้านฉันไม่มีใครอยู่เลย แม่ก็พาคนในบ้านไปทำบุญกันหมด” หยาดฟ้าพยายามชวนให้มาลาแก้ว มาอยู่เป็นเพื่อน เธอในตอนนี้จะลุกจะเดินไปไหนนั้นแสนจะลำบาก แม้ว่าขาจะใส่เฝือกเพียงข้างเดียว แต่คนที่ไม่เคยต้องมีวัตถุแปลกปลอมมาหุ้มที่ขาแบบนี้ เฝือกเจ้าปัญหานี่จึงถือว่าทำให้ใช้ชีวิตลำบากเอาเรื่องเลยทีเดียว
(“ฉันก็พาคุณแม่มาทำบุญเหมือนกัน แล้วก็ต้องไปเจอกับคุณอาโสรยาด้วย”) คิ้วสวยขมวดมุ่น เพราะเธอไม่รู้จักคนที่เพื่อนกล่าวถึง และเพราะความไม่รู้จึงทำให้หยาดฟ้าอยากจะรู้ขึ้นมา
“ใครเหรอ ฉันไม่เห็นจะรู้จักเลย ญาติแกเหรอ?”
“เปล่า ไม่ใช่ญาติหรอก ก็...คนที่เขามาหมั้นฉันไว้ให้ลูกชายเขาไง” ปากเรียวของหยาดฟ้าเบะคว่ำโดยทันที เมื่อได้ยินประโยคเมื่อสักครู่ เธอเข้าใจว่าความจริงแล้ว มาลาแก้วคงจะไปนัดดูตัวกับว่าที่เจ้าบ่าว แต่เขินอายที่จะพูดก็เลยต้องเอาเรื่องทำบุญมาอ้าง
“จะไปดูหน้าเจ้าบ่าวว่างั้นเถอะ?”
“ไม่ใช่นะ ฉันจะไปทำบุญกันจริงๆ แค่อาโสรยาขอมาทำด้วย ส่วนลูกชายเขาน่ะ อยู่ต่างประเทศโน่น” มาลาแก้วคงจะเป็นคนเดียวในตอนนี้ ที่ยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ่าวของตัวเอง รูปสักบานก็ยังไม่เคยเห็น รู้ก็เพียงแต่ชื่อของเขาเท่านั้น
“เออๆ ฉันอยู่คนเดียวก็ได้” หยาดฟ้าพูดตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยใจ คนฟังพอได้ยินแบบนั้นก็พาลรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“ถ้าทำบุญเสร็จเร็วจะรีบไปหานะ” เพราะว่ามาแก้วนั้นไม่ได้ทำงานอะไร เธอมักจะใช้เวลาอยู่กับแม่เป็นส่วนใหญ่ ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะเงินทอง บ้านของเธอมีธุรกิจอสังหา และตึกแถว ห้องแถว ปล่อยเช่าจำนวนมาก งานของมาลาแก้วส่วนใหญ่จึงเป็นงานดูแลแม่เสียมากกว่า
หลังวางสายจากเพื่อน หยาดฟ้าก็ต้องหากิจกรรมอะไรทำแก้เบื่อ เฝือกที่ขาทำให้เธอลุกเดินลำบาก จนไม่อยากจะทำอะไร โทรทัศน์จอยักษ์ที่ตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น จึงดูจะเป็นตัวเลือกเดียวของหยาดฟ้าในเวลานี้ เพราะสมาร์ตโฟนของเธอนั้น ก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากแอปพลิเคชันสำหรับแชตกับเพื่อนฝูงเท่านั้น และเพื่อนๆ เวลานี้ก็ไม่มีใครว่างคุยกับเธอสักคน
ครืด!!!
เสียงสมาร์ตโฟนที่วางอยู่ข้างตัวสั่นดังขึ้น เมื่อมือเรียวพลิกขึ้นมาดู ก็พบว่าหน้าจอแสดงชื่อของใครบางคนที่เธอนั้นไม่อยากจะสนทนาด้วยสักเท่าไร แต่พอจะวางสามร์ตโฟนที่กำลังสั่นลงที่เดิม ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาก่อน
“ด่าคนระบายความเครียดดีกว่า” ปากเรียวสวยบ่นพึมพำก่อนจะกดรับสาย
“ไง หมอขี้เมา อาการเป็นยังไงบ้าง” เสียงจากปลายสายกล่าวทักทาย จากที่เธอตั้งใจจะเป็นฝ่ายด่าเขา ก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะน้อมรับความต้องการของเธอ โดยที่เธอไม่ต้องพูดอะไรสักคำ
“นี่เป็นคำถามติดตามอาการจากหมอที่ศิริอาโปเหรอ สุภาพจัง” คนรับสายพูดจิกกัด รู้สึกหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายเปิดมาก่อน
“ก็แล้วแต่ว่าคนไข้เป็นแบบไหน ถ้าปากไม่ค่อยดี คำถามก็ไม่จำเป็นต้องดี แล้วถ้ายิ่งนิสัยไม่ดีแล้วด้วยเนี่ย วิธีในการติดตามอาการก็อาจจะพิเศษกว่าคนไข้ปกติด้วย”
“นี่ไอ้สิบ!!!” หยาดฟ้าโวยลั่น แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากปลายสาย แน่นอนว่าอีกฝ่ายตั้งใจโทรมากวนประสาทตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอยั่วโมโหคนขาเจ็บให้แผดเสียงได้ เขาจึงหัวเราะชอบใจ
“ได้ข่าวว่าที่บ้านไปทำบุญกันหมดเลยเหรอ เหงาแย่เลยสิ” สิบทิศเอ่ยถาม จริงๆ พ่อแม่ของเขาก็ชวนเขาไปด้วย แต่เขาไม่ใช่คนที่ชอบเข้าวัดสักเท่าไร ก็เลยอ้างว่าติดงาน
“แสนรู้เหลือเกินนะ”
“คนถามดีๆ ดูพูดเข้าสิ เปลี่ยนใจไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วดีกว่า เห็นว่ากว่าจะเลี้ยงเพลเสร็จน่าจะอีกนานเลย แถมยังมีทำบุญถวายปัจจัยอะไรต่อด้วยก็ไม่รู้” ใจหนึ่งก็ไม่ได้อยากจะเจอกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่อีกใจก็อยากมีเพื่อนคุย หยาดฟ้านั้นเป็นคนชอบเข้าสังคมมาแต่ไหนแต่ไร สถานการณ์ที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เธอถูกใจเท่าไรนัก
“โดนัทร้านยายหลังโรงพยาบาลก็ไม่ต้องกินมันแล้ว อุตส่าห์ไปต่อคิวซื้อมาฝาก” เมื่อเห็นว่าหยาดฟ้าเงียบไปสิบทิศจึงกระตุ้นด้วยขนม ที่หญิงสาวชื่นชอบ อีกทั้งขนมร้านนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องคิวที่ยาวเหยียด หากไม่ใช่คนมีเวลาว่าง หรือพร้อมจะรออะไรนานๆ ก็ใช่ว่าจะได้กินง่ายๆ
“เฮ้ยเดี๋ยวๆ จะมาก็มา ซื้อชาเขียวมาฝากด้วยนะ ส้มสักกิโลฯ เอาส้มหวานไม่เอาเปรี้ยว หาซื้อป๊อปคอร์นมาด้วยก็ได้ ว่าจะดูหนัง เออ!!! แล้วก็...” พอตัดสินใจได้ว่าจะยอมให้เขามาอยู่เป็นเพื่อน หยาดฟ้าก็รัวออร์เดอร์ของเต็มที่ นี่เป็นโอกาสดีที่เธอจะมีไรเดอร์เข้ามาส่งของโดยไม่ต้องเสียค่าบริการ
“ใจเย็นๆ นะพิมพ์แชตส่งมาแล้วกัน จำไม่หมดหรอก ขับรถอยู่ เดี๋ยวจะแวะซื้อหน้าปากซอยไปให้ จะถึงแล้ว” สิบทิศบอกกับคนเจ็บที่สั่งของอย่างบ้าคลั่ง
“เออ ออกเงินให้ก่อนด้วยนะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า เลี้ยงก็ยังได้เลย”
“นี่พูดแล้วนะ มาโมเมเก็บเงินปลายทางฉันจะด่าให้”
“เออ ไม่เก็บก็โดนด่าอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ชิ พูดอย่างกับฉันเป็นพวกชอบด่าคน”
“เฮ้อ...พูดไปเดี๋ยวก็รับไม่ได้อีก เอาเป็นว่าเดี๋ยวเข้าไปก็แล้วกัน” หลังจบบทสนทนาหยาดฟ้าก็พยายามนึกให้ได้มากที่สุด ว่าตัวเองอยากได้อะไรบ้าง เพราะคำว่า เลี้ยง ของอีกฝ่ายทำให้เธอนึกสนุกขึ้นมา
สองคนนี้หากตัดคำว่าคู่แข่งทิ้งไป ก็จะกลายเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ทั้งคู่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล ทั้งยังอยู่ห้องเดียวกันมาโดยตลอด ด้วยความที่เรียนเก่งสูสีกัน ส่วนเรื่องที่เป็นหมอก็อาจจะเพราะทั้งคู่ต่างก็มีพ่อเป็นหมอเหมือนกัน เลยทำให้มีอาชีพในอุดมคติที่อยากจะเป็นเหมือนพ่อ อีกทั้งที่บ้านยังมีหุ้นโรงพยาบาลเอกชนเหมือนกัน เพียงแต่เป็นคนละแห่งเท่านั้น
และในตอนนี้โรงพยาบาลที่หยาดฟ้าทำงานอยู่ ก็ขาดทุนหนัก เพราะมีคู่แข่งที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่าอย่างโรงพยาบาลศิริอาโป ครอบครัวของหยาดฟ้าจึงมีความคิดที่จะขายหุ้นที่โรงพยาบาลเก่า แล้วไปฝากชีวิตไว้กับโรงพยาบาลศิริอาโปแทน
การแต่งงานของลูกสาวก็คือหนึ่งในเงื่อนไขที่ครอบครัวของสิบทิศเสนอมาให้ และเรื่องนี้หยาดฟ้าก็ไม่เคยรับรู้เลย เพราะพ่อและแม่ของเธอต่างก็รู้ดีว่า ลูกสาวรักโรงพยาบาลแค่ไหน
และถ้ารู้ว่าต้องไปแต่งงานเพื่อรักษาศักดิ์ศรีและหน้าตาของครอบครัว คนหัวแข็งอย่างหยาดฟ้าคงไม่ยอมง่ายๆ ที่บ้านของเธอจึงต้องอ้างว่า อยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา และที่เลือกสิบทิศก็เพราะรู้จักกันดีอยู่แล้ว
แจ้งเตือนข้อความเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของ สิบทิศอย่างไม่หยุดหย่อน ขณะที่เขากำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังตลาด ถึงยังไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ เขาก็รู้ว่าต้องเป็นข้อความของหยาดฟ้าอย่างแน่นอน ชายหนุ่มอมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา เขารู้สึกชอบเวลาที่หยาดฟ้าแกล้งเขา ฟังดูแล้วมันก็พิลึก เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน
จริงๆ ก็อยากจะคุยกับอีกฝ่ายดีๆ เหมือนที่คนปกติเขาคุยกัน แต่เพราะเขากับหยาดฟ้านั้น จะเรียกว่ากัดกันมาตั้งแต่เด็กก็ยังได้ พอจะคุยกันดีๆ ทีไร มันต้องมีเรื่องให้ทะเลาะให้เถียงกันอยู่ทุกที
ก็คงจะเป็นเพราะแบบนี้ด้วย หยาดฟ้าถึงไม่เข้าใจเสียทีว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ หรือถ้าแย่กว่านั้น ต่อให้เขาไม่เป็นคู่กัดกับหยาดฟ้า เธอก็คงจะมองเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่ง ต่างกันกับเขาที่ไม่เคยเห็นเธอเป็นแค่เพื่อนเลยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร