ก่อนถึงกำหนดการเดินทางสิบทิศก็เตรียมการลางานเพื่อนำรถไปตรวจเช็กสภาพ และเตรียมความพร้อมสำหรับเดินทางไกล นอกจากนั้นเขาก็ยังแวะซื้อเสบียงสำหรับเจ้าของความคิด ที่จะขับรถจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ เพราะมั่นใจเลยว่าเธอต้องหิวตลอดทางแน่
ความจริงนั้นสิบทิศไม่ได้ชอบขอบรถในระยะทางไกลขนาดนี้เลย แต่เขารู้ว่าคนหัวดื้ออย่างหยาดฟ้า ต่อให้เขาเกลี้ยกล่อมชวนขึ้นเครื่องบินไปอย่างไร เธอก็คงไม่ยอมแน่ก็เลยต้องตามใจคนเจ็บ
“ยายหยาด! ยายหยาด! นี่แม่บุญไปตามยายหยาดให้ที พ่อสิบเขามาถึงแล้ว ยายหยาดยังไม่ลงมาจากห้องเลย แล้วก็เรียกตาทิ้งมาขนของขึ้นรถด้วยนะ ดีนะเนี่ยที่ฉันสั่งให้เอาของบางส่วนลงมาก่อน ไม่งั้นล่ะไม่ได้ไปกันสักทีแล้ว” เสียงคุณนายยายเพชรดังเอ็ดตะโร เมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยขับรถมาจอดเทียบที่หน้าบ้าน ก็แม่ลูกสาวตัวดีเจ้าของความคิดที่จะขับรถไป ยังไม่ลงมาจากห้องเลย ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนกำหนดเวลาแท้ๆ
“สวัสดีครับคุณน้า ไม่ต้องเร่งเขาหรอกครับ ไปช้าๆ ชิลๆ อยู่แล้ว” เพราะทั้งคู่เลือกที่จะเผื่อเวลาเดินทางไปก่อนวันงานหลายวัน สิบทิศจึงไม่ได้ห่วงเรื่องไปถึงช้าสักเท่าไร วันนี้เขาแต่งตัวสบายๆ ด้วยกางเกงผ้าร่มสีเทาเข้มกับรองเท้าแตะและเสื้อยืดสีขาว
ร่างบางของหมอหยาดฟ้าถูกประคองให้เดินลงบันไดมาอย่างทุลักทุเล หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีขาวโดยบังเอิญ กับกางเกงขาสั้นสีฟ้าอ่อนๆ และรองเท้าแตะ ผมยาวสีดำถูกมัดรวบไปเป็นหางม้าที่กลางศีรษะ เพราะรู้ดีว่าต้องเดินทางไกล หยาดฟ้าจึงได้แต่งตัวสบายๆ แต่ไม่คิดว่ามันจะไปในทิศทางเดียวกับหมอสิบทิศจนเหมือนนัดกันแบบนี้
“นี่แม่บอกอีหมอสิบเหรอ ว่าหนูจะแต่งตัวแบบนี้” เมื่อเห็นชุดของคนขับรถหยาดฟ้าก็โวยขึ้นทันที คนถูกกล่าวถึงยักไหล่ ในใจก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ก็ไม่ได้มีใครบอกเขานี่นาว่าตุ๊กตาหน้ารถจะแต่งตัวแบบนี้ พอมันออกมาเหมือนตั้งใจใส่เป็นชุดคู่ ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนทั้งสองใจต้องกัน
“จะบ้าหรือไง ตั้งแต่เช้าฉันเพิ่งจะเห็นว่าแกแต่งตัวแบบไหน ว่าแต่ไม่ได้นัดกันหรอกเหรอ” เมื่อลูกสาวพูดขึ้นมาคุณนายหยาดเพชรจึงได้พิจารณาดูชุดของทั้งคู่สลับกันไปมา และรู้สึกว่าเหมือนทั้งคู่นัดกัน จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ใครจะไปอยากแต่งตัวเหมือนมันล่ะแม่ โอ๊ย!!” ไม่ทันที่ลูกสาวจะพูดอะไรต่อ คนเป็นแม่ก็หยิกเข้าที่แขนทันที เพราะเธอสอนลูกเรื่องนี้รอบที่ร้อยหรือล้านแล้วก็ไม่รู้ แต่หยาดฟ้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะจดจำคำสอนเลยสักนิด
“แม่หนูเจ็บนะ” คนถูกหยิกหันไปโวย
“เจ็บก็จำสิ บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้พูดกับพ่อสิบเขาดีๆ ” สิบทิศได้แต่หัวเราะชอบใจที่เห็นสองแม่ลูกยืนเถียงกัน
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า หยาดเขาก็พูดกับผมแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วผมไม่ถือหรอกครับ”
“นั่นสิ หนูพูดกับมันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว จะให้เปลี่ยนไปพูดดีดี ไม่เอาหรอกกระดากปาก”
“ตอนนี้แกไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ เปลี่ยนตัวเองหน่อย”
“ไม่ หนูจะเป็นตัวของตัวเอง ว้าย!!!” มืออวบของคุณนายหยาดเพชรทำท่าจะหยิกลูกสาวอีกครั้ง แต่หยาดฟ้าถอยหลบได้เสียก่อน แต่การขยับตัวอย่างกะทันหันของคนที่ขาใส่เฝือกไว้ข้างหนึ่งนั้นก็ทำให้เธอเซถลาจนแทบจะล้มลงไปนอนบนพื้น โชคดีที่สิบทิศมือไว้คว้าร่างบางของเธอเอาไว้ได้ทัน
“น่าจะปล่อยให้ล้มลงไปกองกับพื้นเสียเลย ดูสิขนาดแกพูดไม่ดีกับเขา ตาสิบยังช่วยแกไม่ให้ล้มเลย” เมื่อเห็นอย่างนั้นคุณนายหยาดเพชรก็พูดขึ้นทันที แต่คนถูกโอบก็รีบสะบัดตัวจากอ้อมแขนแกร่งของหมอสิบทิศเช่นกัน
“มันเป็นสัญชาตญาณเถอะแม่ มนุษย์เราเวลาเห็นอะไรแบบนี้ก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ทั้งนั้น” คนพูดว่าไปพลางหันไปค้อนคนที่เพิ่งช่วยตัวเองเอาไว้
“เหรอ มันแรงกล้ากว่าสัญชาตญาณความเป็นแม่ในตัวของฉันอีกหรือไง” คนเป็นมารดาแกล้งว่า ทั้งสามคนยืนคุยกันได้ไม่นานนัก เมื่อข้าวของของหยาดฟ้าถูกขนขึ้นรถไปจนครบ ก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทาง
“ถึงแล้วก็โทรหาแม่ด้วยล่ะ หรือจะให้ดีส่งข้อความมาบอกแม่ทุกๆ ครั้งที่แวะเลยก็ได้” แม้ว่าทั้งสองคนจะนั่งอยู่บนรถแล้ว คุณแม่ปากร้ายอย่างคุณนายหยาดเพชรก็ไม่วายตามมาสั่งลูกสาวถึงบ้างกระจกรถ เพราะถึงจะดุด่าอย่างไร ใจก็รักลูกสาวคนนี้มาก
“ค่ะคุณนาย ปล่อยให้หนูไปได้หรือยัง อีกหลายชั่วโมงนะคะ กว่าจะถึงเชียงใหม่”
“ก็แกอยากจะนั่งรถไปไม่ใช่หรือไง ลำบากพ่อสิบเขาต้องมาขับรถให้แกอีก”
“ก็ไม่ได้ขอสักหน่อย” หยาดฟ้าว่าพลางหันไปปรายตามองคนขับข้างๆ เขาเพียงยักไหล่ก่อนจะยกมือไหว้คุณนายหยาดเพชรเพื่อล่ำลาก่อนออกเดินทาง
“แล้วอย่ามางอแงปวดเมื่อยล่ะ อยากจะนั่งรถไปเนี่ย” เมื่อขับออกมาได้ไม่นานสิบทิศจึงได้ก่อบทสนทนาขึ้น เมื่อเห็นว่าบรรยากาศบนรถมันเงียบมากเกินไป
“ฉันไม่เมื่อหรอก แกนั่นแหละอยากเสนอตัวมาขับรถให้ฉัน อยากมางอแงทีหลังก็แล้วกัน” คนพูดว่าพลางหยิบเอาขนมในเก๊ะรถที่ค้นเจอออกมาแกะกิน เธอแอบคิดในใจว่าสิบทิศนี่ก็แอบมีมุมเป็นเด็กเหมือนกัน โดยหารู้ไม่ว่านี่คือการเตรียมการมาแล้วต่างหาก
“แกนี่ก็แปลกนะ ไม่ใช่เพื่อน ไม่ได้ถูกรับเชิญยังอยากจะไป” หยาดฟ้าหันไปพูดกับคนขับ
“รู้ได้ยังไงว่าไม่ถูกเชิญ คุณอิงส่งเมลการ์ดมาให้ด้วยตัวเองเลยนะ”
“ยายอิงเนี่ยนะ ไม่มีทาง” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ในใจก็คิดว่าอาจจะเป็นไปได้ เพราะสมัยเรียนอิงนรีก็รู้จักกับสิบทิศค่อนข้างมาก และที่บ้านของอิงนรีก็ยังสนิทกับบ้านของสิบทิศพอใช้ได้
“คุณอิงยังสั่งอีกว่าให้ฉันพาแกไป อย่ายอมให้แกไปเองเด็ดขาด” สิบทิศไม่ได้พูดโกหก เพราะใครๆ ต่างก็รู้จักหยาดฟ้าดีทั้งนั้น ต่อให้กระดูกหักทั้งตัวถ้าเธอจะไปยังไงก็จะไปให้ได้ และคุณนายหยาดเพชรคงไม่ว่างมาร่วมงานที่เชียงใหม่แน่ เพราะอย่างนั้นคนเดียวที่จะพาหยาดฟ้ามาได้ก็คือสิบทิศ
“หนอยยย ยายอิงไปถึงฉันต้องเอ็ดหน่อยแล้ว กล้าดียังไงมาบงการฉัน หา!!!” หญิงสาวโวยลั่น ที่รู้แบบนั้น อิงนรีเพื่อนสนิทของเธอ ควรจะรู้ดีแท้ๆ ว่าเธอนั้นไม่ค่อยลงรอยกับสิบทิศ แล้วทำไมถึงได้ไปขอร้องเขาแบบนั้นกัน
“เขาก็หวังดีกับแกกันทั้งนั้นแหละ ขาเดี้ยงแล้วยังจะอวดดี” ชายหนุ่มต่อว่าคนที่กำลังโวยวาย เขาละอยากจับเธอตีก้นเสียจริง ทำไมถึงได้ดื้อนักหนา ตอนเด็กดื้อยังไง โตมาก็ยังดื้ออยู่แบบนั้น
“นี่...”
“ก็พูดจริง ถ้าเชื่อฟังกันตั้งแต่คืนนั้น คงไม่เจ็บตัวแบบนี้หรอก” สิบทิศหลุดพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเขารู้ตัวจึงได้หยุดเอาไว้เท่านั้น
"แกพูดเรื่องอะไร" สิบทิศขนลุกวาบ เมื่อรู้ตัวว่าตัวเองพลั้งปากพูดบางอย่างออกไป แถมหยาดฟ้าก็ดูจะสนใจเสียด้วย
"เปล่าก็พูดไปเรื่อยนั่นแหละ แกสนใจด้วยเหรอ” เขาพูดแก้ตัว
“ไม่รู้สิ บางอย่างมันบอกว่าที่แกพูดเมื่อกี้น่าสนใจ ไหนเล่ามาสิ” หยาดฟ้าดูจะไม่ยอมง่ายๆ
“อย่าชวนคุยได้ไหม คนจะตั้งใจขับรถ"
“ไม่ จนกว่าแกจะยอมเล่าเรื่องที่แกพูด มันต้องเกี่ยวกับที่ฉันขับรถชนเสาไฟฟ้าใช่ไหม แกรู้อะไร พูดมาเดี๋ยวนี้นะ”
“เดี๋ยวนี้แกสนใจฉันมากขึ้นนะ หวั่นไหวแล้วเหรอ” สิบทิศตัดสินใจตัดจบบทสนทนาด้วยไม้ตายสุดท้าย และมันก็ใช้ได้ผล หยาดฟ้าสะบัดหน้าหนีทันที และไม่ย้อนกลับมาคาดคั้นอะไรจากเขาอีกเลย