กองทัพเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ พลางคลี่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข บ้านที่เขาจากไปนานหลายสิบปี กลับมาวันนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวเหมือนเช่นเคย น้องสาวของเขาโตขึ้นมาก ทั้งแสบและซนจนแม่นับถึงกับส่ายหน้าหนี ในขณะที่พ่อเก้าดูจะชอบใจกับความห้าวของพราวฟ้า ที่มีป้าแก้มใสเป็นต้นแบบความเฟียร์ส
ส่วนคุณป้าสุดสวยของเขา กลับมาครั้งนี้ทำอาหารรสชาติกลมกล่อมถูกปากเขายิ่งนัก อีกทั้งบัวลอยไข่หวานที่ป้าแก้มลงมือทำเอง เพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา ยังรสชาติดีมากอีกด้วย มิน่าล่ะสายตาของลุงวายุที่มองป้าแก้มถึงมีแต่ความภาคภูมิใจ หลายปีผ่านไปทุกคนต่างมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนตัวเขาเองนั้นไม่รู้ว่าปีนี้จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเหมือนคนอื่น ๆ บ้างหรือเปล่า
“ดึกแล้วทำไมลูกชายของพ่อเก้าถึงยังไม่นอน”
เก้าทัพที่เพิ่งเคลียร์งานเสร็จ เดินออกมาหาลูกชายที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในสวนหน้าบ้าน โดยที่บนโต๊ะมีแก้วนมที่ยังไม่พร่องเลยแม้แต่น้อยวางอยู่ ก่อนที่เก้าทัพจะนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับลูกชายที่หันมาส่งยิ้มน้อย ๆ ให้บิดา
“ทัพยังปรับตัวกับเวลาไม่ได้น่ะครับ ตอนนี้เมืองไทยสี่ทุ่มกว่าแล้วก็จริง แต่ที่อิตาลีเพิ่งสี่โมงเย็นเอง ทัพเลยยังไม่ค่อยรู้สึกง่วงครับพ่อ”
กองทัพหันมาตอบบิดา แล้วเอื้อมไปยกแก้วนมที่มารดาชงมาให้ขึ้นดื่ม ในขณะที่เก้าทัพได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของลูกชายคนโตด้วยความภาคภูมิใจ ลูกชายของเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างดี จากการดูแลของลุงเรย์เพื่อนรักของบิดา ที่กลายมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแสบทั้งเขาแล้วก็กองทัพ
“แล้วนี่ลูกจะเริ่มงานที่โรงพยาบาลเมื่อไหร่ พรุ่งนี้เลยเป็นไง ปู่คงดีใจน่าดูที่ได้หมอศัลย์มือหนึ่งของอิตาลีมาช่วยงานที่โรงพยาบาล”
คำถามของบิดาทำเอากองทัพแทบสำลักนม ก่อนที่เขาจะวางแก้วนมลง แล้วหันมามองบิดาอย่างอ้อน ๆ นิสัยอย่างหนึ่งของกองทัพที่ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่เด็กจนโตก็คือ งานอ้อนพ่อกับแม่ ที่นับวันสกิลการอ้อนนี่ไม่เบาเลย อ้อนทีไรทั้งเขาและนับดาวเป็นต้องใจอ่อนให้เจ้าลูกชายทุกครั้งไป
“โธ่ พ่อครับ ให้พี่ทัพได้พักผ่อนเที่ยวเล่นสักอาทิตย์ไม่ได้เหรอครับ อยู่ที่อิตาลีพี่ทัพยังไม่ได้พักเลย วันหนึ่งต้องเข้าเวรเกือบ 24 ชั่วโมง ตอนนี้กลับมาเมืองไทยแล้ว พี่ทัพขอพักก่อนนะครับ อยู่กับกลิ่นเลือดจนแทบเอียนแล้ว”
คำพูดที่ออดอ้อนของลูกชายทำคุณพ่อลูกสองได้แต่ส่ายหน้าไปมาน้อย ๆ ถ้าเรียกชื่อตัวเองว่า “พี่ทัพ” เมื่อไหร่ เป็นต้องมีเรื่องให้อ้อนทุกครั้ง แต่เขาก็เข้าใจที่ลูกชายจะขอหยุดพักก่อน เพราะตั้งแต่เรียนจบกองทัพก็ไม่เคยได้เที่ยวเล่นพักผ่อนเลยสักครั้ง
กองทัพทุ่มเทกับอาชีพแพทย์มาก ลูกชายของเขาช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วยเอาไว้มากมาย จะเรียกว่าโชคดีได้ไหมนะ ที่ยังไม่เคยมีคนไข้ในการดูแลของหมอกองทัพเสียชีวิตเลยสักราย ทุกคนต่างหายป่วยและกลับไปใช้ชีวิตต่ออย่างดี จากการช่วยเหลือของนายแพทย์กองทัพ พิสิฐกุลวัตรดิลก
“ถ้าลูกต้องการพักผ่อนพ่อก็ไม่ขัด พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเริ่มต้นทำงานที่ลูกรักก็ยังไม่สาย”
เก้าทัพบอกลูกชายที่ยิ้มด้วยความดีใจให้บิดา คุยเล่นกันสักพัก หัวหน้าครอบครัวของบ้านจึงขอตัวกลับขึ้นห้องนอนไป เพราะป่านนี้ภรรยาคงรอเข้านอนพร้อมกันอยู่แน่ ๆ พออายุมากขึ้นภรรยาคนสวยก็ต้องคอยเขารอเข้านอนพร้อมกันตลอด ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนนับดาวก็รอเสมอ ช่างเป็นภรรยาที่แสนดีเหลือเกิน ขอบคุณโชคชะตาในวันนั้น ที่ทำให้เขาได้กลับมาพบกับเธอและได้ร่วมสร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกันมาจนถึงตอนนี้
แกรก แอด
หลังจากที่นั่งเล่นรับลมชมจันทร์เป็นเวลาเกือบชั่วโมง กองทัพก็ขึ้นมาบนห้องนอนห้องเดิม กวาดตามองเล็กน้อยก็เห็นว่า ทุกอย่างก่อนที่เขาจะไปยังคงอยู่เหมือนเดิม รวมถึงสาวน้อยที่กำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงของเขาตอนนี้ด้วย ถึงจะโตเป็นสาวแล้วแต่พราวฟ้าก็ยังคงติดนิสัยชอบนอนกับพี่ชายอยู่เสมอ
“พี่ทัพไปไหนมา น้องพราวรอตั้งนาน”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสดใสเอ่ยทักเขา พร้อมกับย่นจมูกใส่พี่ชายอย่างน่ารัก ก่อนที่กองทัพจะเดินไปหยุดลงที่ข้างเตียงแล้วค่อย ๆ ยกผ้าห่มผืนใหญ่ขึ้นมาห่มให้น้องเล็กของบ้านอย่างอ่อนโยน
“พี่ทัพยังไม่ค่อยง่วง เลยไปนั่งเล่นที่สวนหน้าบ้านมา แล้วทำไมวันนี้น้องพราวถึงไม่นอนที่ห้องตัวเองล่ะคะ”
คำถามของกองทัพทำให้สาวน้อยวัยใสยิ้มหวานอย่างอ้อน ๆ พี่ชาย มือบางยื่นมาจับแขนของพี่ชายเอาไว้ พร้อมกับขยับใบหน้าเล็กมาถูไถแขนแกร่งอย่างอ้อน ๆ
“ก็น้องพราวคิดถึงพี่ทัพนี่คะ พี่ชายของน้องพราวกลับมาแล้ว น้องพราวก็อยากมานอนกอดให้ชื่นใจ จะได้นอนหลับฝันดี”
คำพูดของน้องสาวทำเอากองทัพอดมันเขี้ยวไม่ได้ มือใหญ่ยกขึ้นขยี้ผมน้องสาวด้วยความเอ็นดู ถึงภายนอกเด็กคนนี้จะดูห้าวแค่ไหน แต่สำหรับเขาแล้ว พราวฟ้าก็คือน้องสาวที่น่ารักและอ่อนหวานกับเขาเสมอ ซึ่งเธอก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เวลาที่อยู่กับเขา
“โอเคค่ะ ดึกแล้วนะ รีบเข้านอนกันดีกว่า พาน้องสาวนอนดึกเดี๋ยวจะแก่ก่อนวัย พี่ทัพว่าให้แก่แดดแค่นิสัยก็พอ หน้าคงไม่ต้องมั้ง”
คำแซวของพี่ชายทำเอาสาวน้อยหน้ามุ่ยเล็ก ๆ ที่โดนว่าแก่แดด โดยมีเสียงหัวเราะของพี่ชายตามมาติด ๆ สองพี่น้องพากันก้าวขึ้นเตียงและล้มตัวลงนอน โดยที่มีน้องน้อยหลับตาพริ้มนอนกอดแขนพี่ชายอย่างมีความสุข ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเธอดีใจกับการกลับมาของพี่ชายแสนดีคนนี้ขนาดไหน
คอนโด A
เจ้าขาดีดตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะลากสังขารเดินหายเข้าไปในห้องน้ำและกลับออกมาในชุดคลุม หลังจากที่กลับมาจากอิตาลีได้เพียงหนึ่งวัน งานถ่ายโฆษณาที่รับไว้ก่อนไปเที่ยวก็ถูกเลื่อนการถ่ายทำให้เร็วขึ้น จากที่คิดว่าจะขอหยุดพักผ่อนสักสองสามวัน หลังจากที่กลับมาแล้วค่อยรับงาน กลับกลายเป็นว่าเธอต้องทำต่อกันยาวทั้งอาทิตย์
เพราะเมื่อวานก็มีงานถ่ายแบบติดต่อเข้ามา ซึ่งพี่เอมมี่ที่ไม่เคยปฏิเสธงานก็ตกลงรับเช่นเคย ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่ เจ้าขาก็ไม่เคยเลือกงานเลยสักครั้ง มันทำให้ผู้ใหญ่ในวงการต่างรักและเอ็นดูเธอ
อ้อ ยกเว้นนักเขียนละครชื่อดังเอาไว้คนหนึ่งแล้วกัน ที่ไม่เลือกเธอให้รับบทนางเอก บทนั้นเธอใฝ่ฝันอยากเล่นมาตั้งแต่ที่หนังสือนิยายของท่านออกวางขายด้วยซ้ำ
“ดีนะรอยที่คอหายหมดแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นพวกช่างแต่งหน้าต้องรู้แน่นอนว่า ลูกสาวแม่ไปเสียตัวมา”
คำพูดที่ตรงราวกับไม้บรรทัดของพี่เอมมี่ ทำเอาเจ้าขาที่กำลังจิ้มผักสลัดเข้าปากรู้สึกอิ่มขึ้นมาเสียดื้อ ๆ มือบางรวบช้อนเก็บทั้ง ๆ ที่สลัดยังพร่องไม่ถึงครึ่งจาน ซึ่งเมื่อคุณผู้จัดการเห็นอย่างนั้น ก็จ้องมองอย่างกดดันทันที จนมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบน้ำส้ม จำต้องหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมาจิ้มผักสลัดเข้าปากเหมือนเดิม
“กินเยอะ ๆ จะได้มีแรงทำงาน งานวันนี้กว่าจะเสร็จก็เกือบเย็นแล้ว ขืนกินแค่นี้มีหวังเป็นลมเป็นแล้งกลางกองถ่ายแน่นอนค่ะลูกสาว”
ถึงประโยคแรกของพี่เอมมี่จะทำให้เธอรู้สึกอิ่ม แต่ประโยคต่อมาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงใย กลับทำให้เจ้าขายิ้มกริ่ม จัดการตักผักสลัดในจานกินด้วยความเอร็ดอร่อย เพราะที่เมืองไทยคนที่เป็นห่วงเธอมากที่สุดคือพี่เอมมี่คนนี้ ที่เจ้าขายกให้เป็นทั้งผู้จัดการส่วนตัว ที่คอยดูแลรับงานให้เธอ เป็นเพื่อนที่คอยอยู่กับเธอในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ พี่สาวจะคอยดูแลปกป้องเธอเสมอมา และสุดท้ายก็เป็นผู้ปกครองของเธอ ในขณะที่บิดาผู้ให้กำเนิด เธอกลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนอื่นคนไกลที่เธอไม่ค่อยสนิทใจสักเท่าไหร่
เพราะบิดาของเธอมีภรรยาใหม่และลูกสาวคนใหม่ที่ท่านรักดั่งแก้วตาดวงใจ ในขณะที่เจ้าขาไม่มีใคร หลังจากที่บิดากับมารดาหย่ากัน เธอก็ต้องกลับมาอยู่ที่เมืองไทยภายใต้ความดูแลของบิดา ในขณะที่มารดากลับใช้ชีวิตอยู่ที่อิตาลีเพียงลำพังและไม่มีใครคนใหม่ เธอจึงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เป็นเด็กที่สดใสร่าเริงตลอดเวลา จนกระทั่งได้มาเจอกับพี่เอมมี่ ชีวิตที่เคยโดดเดี่ยวของเธอก็เปลี่ยนไป
“ไม่กลัวเจ้าขากินเยอะจนอ้วนเหรอคะ” เจ้าขาเอ่ยถามคนข้าง ๆ ที่กำลังกินสลัดเหมือนกันกับเธอ ผู้จัดการสาวสวยหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขำขันกับประโยคคำถามแสนซื่อนั้น
“ผู้หญิงที่รักสวยรักงามอย่างลูกสาวแม่ ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองอ้วนเลยสักครั้งนี่จริงไหม แค่พุงออกก็บ่นไปสามสี่วันว่า ใส่ชุดไม่สวยแถมยังบ้าออกกำลัง แบบนี้แม่ยังต้องห่วงอะไรคะลูกสาว อ้อ อ้วนเดียวที่แม่เป็นห่วง ก็อ้วนเพราะท้องแค่นั้นแหละที่ลูกสาวแม่จะไม่สวย”
คำพูดหยอกล้อนั้น ทำเอาเธอต้องส่งค้อนให้วงใหญ่เลยทีเดียว ไม่ว่าเจ้าขาจะพูดเรื่องอะไร พี่เอมมี่ก็รู้ทันเธอไปเสียทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องเดียวสินะที่ไม่รู้ทันเธอ ก็คือเรื่องผู้ชายคนนั้นที่เธอเผลอไปมีซัมติงจิงกาเบล ด้วยความพลั้งเผลอที่ไม่อาจไม่ยับยั้งชั่งใจ ก็นะหล่อราวกับลูกรักของพระเจ้า แถมยังมีอาวุธที่ทำลายล้างใจคนที่พบเห็นสูงขนาดนั้น
ใครไม่หลงก็บ้าแล้ว
ต่อให้ใจแข็งราวหินผา มันก็มักจะมีช่วงเวลาที่โอนเอนไปมาราวกิ่งไผ่ต้องลมบ้างแหละ
“โอเค เรียบร้อยแล้วก็ไปกัน เดี๋ยวผู้กำกับจะรอนาน แบบนั้นไม่ดีเลยเนอะ เช้า ๆ แบบนี้รถชอบติด พี่ว่าเราไปก่อนเวลาดีที่สุดแล้วแหละ”
เอมมี่บอกเจ้าขาที่กำลังหยิบกระเป๋าใบเก่งบนโต๊ะมาสะพาย ก่อนที่ทั้งสองคนจะรีบออกจากห้อง เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำโฆษณาในวันนี้ ซึ่งกว่าจะถึงก็คงกินเวลาเกือบสองชั่วโมง เพราะการจราจรติดขัดที่พวกเธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยที่เจ้าขาไม่อาจรู้ได้เลยว่า เส้นทางชีวิตของเธอนับจากนี้ กำลังจะมีใครบางคนเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกันตลอดไป
และเป็นตลอดไปที่มีจริง หาใช่เพียงความฝันที่ตื่นมาก็หายไปราวกับสายลมไม่
เส้นทางแห่งรักที่เต็มไปด้วยพรหมลิขิต ที่ดลบันดาลให้เธอกับเขาได้พบกันด้วยคำว่า “เรื่องบังเอิญ”