ตอนที่ 8 ฮูหยินรอง

2190 Words
หลังจากตอนเช้าในวันนั้น คุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวก็ได้รับสมรสพระราชทาน จากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างที่ไม่คาดคิด เนื้อความในพระราชโองการ ถึงกับทำให้ผู้คนในจวน ได้แต่ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ สายตาของทุกคู่อดที่จะทอดมองไปยังบุรุษที่ถูกเอ่ยนาม ให้มารับราชการในครั้งนี้เป็นตาเดียวไม่ได้ "คุณชายใหญ่จ้าวฝูหมิงมีคุณงามความดี ที่ได้ช่วยเหลือองค์หญิงเผ่าซ่งหนูเอาไว้ ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของโจรป่าอย่างหวุดหวิด และยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเอาไว้ได้ สืบเนื่องมาจากการกระทำในครั้งนี้ จึงได้มอบสมรสพระราชทานระหว่างคุณชายใหญ่จ้าวฝูหมิงของตระกูลจ้าวและองค์หญิงใหญ่เผ่าซ่งหนู ให้องค์หญิงซิ่วอิงดำรงตำแหน่งฮูหยินรอง ให้ครองรักกันอย่างยาวนานสืบไป" จ้าวฝูหมิงเดินออกไป รับพระราชโองการฉบับนั้น อย่างนอบน้อม พร้อมกับมอบสินน้ำใจให้กับกงกง ตามธรรมเนียมปฏิบัติ กงกงผู้นั้นก็รับถุงเงินไปเก็บไว้พร้อมกับเผยรอยยิ้ม แสดงความยินดีให้กับจ้าวฝูหมิง "ยินดีกับคุณชายใหญ่ ด้วย องค์หญิงซิ่วอิงถือว่ามีพระสิริโฉมงดงาม หาผู้ใดเทียบเคียงได้ยาก ถือว่าเป็นโชควาสนาของท่านจริงๆ ที่ได้ตกแต่งนางเข้ามาในฐานะฮูหยินรอง เสียดายนักหากท่านไม่มีฮูหยินเอกอยู่ก่อน ทุกอย่างคงจะเหมาะสมกว่านี้ สตรีที่ไม่มีหัวนอนปลายแถวจะมาเทียบเคียงกับองค์หญิง ที่ถึงแม้จะเป็นเพียงชนเผ่าเล็กๆ แต่ก็ยังถือว่ามีศักดิ์ที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ได้อย่างไร คุณชายใหญ่ลองไปคิดดูถึงความเหมาะสมนี้ให้ดีๆ " กงกงผู้นั้นไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจหานหลินปิง ที่นั่งอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่น้อย การกล่าววาจาเช่นนี้มิเท่ากับว่าดูถูกนางอย่างเปิดเผยหรอกหรือ แต่หากนายไม่ว่าขี้ข้าจะกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ได้อย่างไร คงเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายมา เพื่อกดดันให้ปลดนาง แล้วให้องค์หญิงผู้นั้นขึ้นดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมฐานะมากกว่ากระมัง แต่ไม่ว่าจะได้ยินถ้อยคำดูถูกมากเพียงใด นางยังคงมีใบหน้าที่เรียบเฉย คล้ายกับสมรสพระราชทานและคำกล่าวของกงกงเมื่อสักครู่นี้มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับนางแต่อย่างใด "ยินดีกับท่านด้วย" นางหันไปกล่าวเพียงเท่านี้กับผู้เป็นสามี เพราะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างชัดแจ้งจากคำบอกเล่าของจ้าวฝูหมิงตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว จะมีก็แต่ต่อจากนี้ ที่จ้าวฝูหมิงคงต้องไปอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวที่ตอนนี้มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้ถึงเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด "หลินเอ๋อร์ …!!!" จ้าวฝูหมิงเหมือนอยากจะกล่าวถ้อยคําใดกับภรรยามากกว่านี้ แต่ติดตรงที่กงกงผู้นั้นยังคงยืนจ้องมองเขาอยู่ เขาจึงทำได้เพียงเก็บคำพูดที่คิดจะกล่าวออกมาจากใจตนเองกลับไป พร้อมกับทอดมองแผ่นหลังของผู้เป็นภรรยาที่เดินลับหายไปในจวน ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ตั้งแต่ที่เขาได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับนางได้รับทราบ นางไม่มีแม้แต่คำถามแม้แต่เพียงคำเดียว ใบหน้าของนางเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใด จนเขายากที่จะคาดเดาความคิดของนางได้ออก... เมื่อกงกงได้ลากลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวก็ไม่สามารถทนเก็บความสงสัยของตนเองเอาไว้ได้ นางรีบกล่าวถามบุตรชายออกไปอย่างใคร่รู้ในทันที "หมิงเอ๋อร์ เจ้าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แม่ได้ทราบมาบัดเดี๋ยวนี้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงได้รับสมรสพระราชทานกับองค์หญิงผู้นั้นได้" จ้าวฝูหมิงหันมาจ้องมองที่ใบหน้าของผู้เป็นมารดา พร้อมกับถอนหายใจออกมา อย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับนางได้ทราบ "หลังจากที่ลูกได้รับสารจากหลินเอ๋อร์ ว่าขบวนเดินทางของท่านแม่ ได้ถูกกลุ่มโจรป่าบุกทำร้าย ลูกก็ได้รีบเดินทางตามไปพร้อมกับคนของลูก แต่ในระหว่างทางลูกได้พบกับสตรีผู้หนึ่งกำลังจะถูกชายฉกรรจ์ หลายคนรุมย่ำยี จึงไม่รอช้ารีบเข้าไปช่วยเหลือ แต่ด้วยสภาพของนางในตอนนั้น…" จ้าวฝูหมิงกล่าวมาเพียงเท่านี้ ก็ได้ให้คนของตนเองออกไปจนหมด เหลือเพียงผู้เป็นมารดา "สภาพของนางในตอนนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเปลือยเปล่า หลังจากที่คนของลูกได้จัดการกับชายฉกรรจ์เหล่านั้นจนแล้วเสร็จแล้ว ท่านแม่คงไม่ต้องให้ลูกกล่าวกระมัง สตรีที่ถูกบุรุษอื่นพบเห็นเรืองร่างในสภาพเช่นนั้น จะเป็นเช่นไร? ...เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบถึงเรื่องราวทั้งหมด จึงให้ลูกรักษาเกียรติของนางเอาไว้" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวแทบจะกล่าวความใดไม่ออก สตรีที่ถูกบุรุษอื่นแตะต้องเรือนร่าง เช่นนั้น ถึงแม้นจะเป็นถึงองค์หญิง แต่จะคู่ควรให้บุตรชายของนางต้องมารับผิดชอบกระนั้นหรือ จ้าวฝูหมิงเองเมื่อเห็นถึงใบหน้าของผู้เป็นมารดา แสดงออกมาเช่นนั้นเขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่ามารดากำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงต้องรีบเร่งกล่าวบางประโยคออกไปก่อนที่ผู้เป็นมารดาจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ "ถึงแม้ในสภาพตอนนั้นของนาง แทบจะเรียกได้ว่าเปลือยเปล่า แต่ลูกก็มั่นใจว่าพวกมันยังไม่ได้กระทำสิ่งใดกับนางไปมากกว่านั้น ท่านแม่สบายใจได้" "เป็นเช่นนั้นหรือ ถือว่าดียิ่งนัก ตระกูลคหบดีเล็กๆ อย่างเรา จะได้มีสะใภ้เป็นถึงราชนิกูล ถึงแม้จะเป็นเพียงชนเผ่าเล็กๆ แต่แม่คิดว่าคงจะสามารถสนับสนุนเจ้าและตระกูลของเราให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างแน่นอน" จากใบหน้าที่เต็มไปด้วย ความไม่สบายใจก่อนหน้า ก็ถูกแทนที่ด้วยความดีอกดีใจเข้ามาแทน และเหมือนกับว่านางจะคิดสิ่งใดออก จึงได้รีบกล่าวมันออกมาอย่างกระตือรือร้น "เมื่อกี้ที่กงกงผู้นั้นกล่าว ก็ไม่ผิดนัก นางเป็นถึงองค์หญิงจะให้ดำรงตำแหน่งเป็นเพียงฮูหยินรองของเจ้าได้อย่างไร เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ แม่ว่าปลดสะใภ้หาน ให้เป็นเพียงฮูหยินรองของเจ้า เพื่อที่จะให้ทุกอย่างดูสมฐานะขององค์หญิงดีหรือไม่ แม่ว่านางคงไม่กล้าคัดค้านเป็นแน่" "ท่านแม่…!!!" จ้าวฝูหมิง แทบจะตะคอกออกไปในทันที จะให้เขาปลดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของตนเอง เพราะได้เจอกับสตรีคนใหม่ที่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ เขาไม่สามารถทำเรื่องที่น่าอับอายเช่นนั้นได้ลงคอหรอก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังเมื่อทอดมองไปที่ผู้เป็นมารดา "อย่าได้กล่าวประโยคเช่นนี้ให้ลูกได้ยินอีกเป็นอันขาด หลินเอ๋อร์จะยังเป็นฮูหยินเอกของลูกต่อไปเพียงคนเดียวเท่านั้น" "เจ้ามันโง่ ก็แค่สตรีที่ไร้หัวนอนปลายเท้า จะเชิดหน้าชูตานางเพื่ออันใดกันเล่า เจ้าควรจะตาสว่างและทำในสิ่งที่สมควรเสียที" ในขณะที่ 2 แม่ลูกกำลังทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น ก็ได้มีบ่าวรับใช้มาแจ้งถึงข่าวของคุณหนูใหญ่จ้าวเฝิงยู่ร์และอี้เหนียงทั้งสองเสียก่อน พวกเขาจึงต้องหยุดการโต้เถียงนั้นลง และหันไปให้ความสนใจกับข่าวคราวที่เพิ่งได้รับมา "เจ้าว่าอันใดนะ…!!! มีผู้พบเห็นคุณหนูใหญ่ และอี้เหนียงทั้งสองในตลาดอย่างนั้นหรือ" "ขอรับ" "เร็วเข้ารีบพาข้าไปหาพวกนางบัดเดี๋ยวนี้ ไปเตรียมรถม้าเร็วเข้า" หญิงชราแทบจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังรถม้าที่ได้ถูกเตรียมไว้ ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง เพียงแค่ได้ยินว่านางยัง 'มีชีวิตอยู่' เพียงเท่านี้ นางก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเสียแล้ว ความกลัดกลุ้ม ก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปสิ้น แต่เมื่อเดินทางมาเห็นสภาพบุตรสาวในตอนนี้ นางก็ถึงกับเข่าทรุด น้ำตาของหญิงชราไหลรินออกมาอาบแก้มที่เหี่ยวย่นนั้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ บุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง ที่เฝ้าฟูมฟักมาเป็นอย่างดี ในตอนนี้มีสภาพกระเซอะกระเซิงเสื้อผ้าขาดวิ่น จนแทบจะเปิดเปลือยเนื้อหนัง จ้าวเฝิงยู่ร์ นั่งกอดตนเองร้องไห้อยู่ในมุมหนึ่ง โดยมีผู้คนรุมล้อมพร้อมกับจ้องมองพวกนางและยังซุบซิบนินทากันอย่างออกรสออกชาติ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พวกเขาทำเพียงพูดคุยกันอย่างสนุกปากเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวรีบให้คนของตนเอง นำเสื้อคลุมไปคลุมให้กับสตรีทั้ง 3 พร้อมกับเดินฝ่าฝูงชนออกมาอย่างรีบเร่ง เมื่อสตรีทั้งสามได้ถูกนำมาขึ้นรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวเฝิงยู่ร์ก็ได้โผเข้ากอดผู้เป็นมารดา พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้น ส่วนอี้เหนี้ยงทั้งสองนั้น ก็เหมือนกับว่าจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ พวกนางโผเข้ากอดผู้เป็นสามีที่ตามมาด้วย พร้อมกันด้วยท่าทีน่าสงสารคล้ายกับต้องการๆ ปลอบใจ แม้นแต่ถ้อยคำสักประโยคพวกนางก็ไม่สามารถกล่าวมันออกมาได้ ด้วยความอัดอั้นตันใจที่พึ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายเหล่านั้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวลูบไปบนหลังของบุตรสาวอย่างปลอบประโลม นางเองก็น้ำตานองหน้าอย่างเสียใจที่เห็นบุตรสาวในสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ ต่อไปบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง จะสามารถหาบุรุษดีๆ ที่ไหน มาตกแต่งได้อีกเล่า ป่านนี้ไม่ใช่ว่าข่าวที่พวกนางถูกโจรป่าจับตัวไป และมาพบเจอในสภาพเช่นนี้จะถูกแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงแล้วกระนั้นหรือ "ท่านแม่" "เจ้าอย่าเพิ่งกล่าวความใดเลย ผู้ใดที่มันทำเรื่องราวเช่นนี้กับเจ้า แม่สัญญาว่าจะล้างแค้น ให้มันได้รับสิ่งที่มันทำไว้ ร้อยเท่าพันเท่า" ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวกล่าวออกไปอย่างหมายมาด ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกนางว่าหานหลินปิงจะต้องมีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างแน่นอน... เห็นทีว่านางและสตรีผู้นั้น คงไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไปแล้วกระมัง จ้าวฝูหมิงในตอนนี้ มิได้ล่วงรู้ความคิดของผู้เป็นมารดาว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ในความคิดของเขาตอนนี้กำลังคิดว่า เป็นโชคดียิ่งนัก ที่มีเหล่าราชองครักษ์ผ่านมาช่วยเหลือหลินเอ๋อร์ของเขาเอาไว้ หากไม่เช่นนั้นผู้ที่จะมีสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้ คงเป็นภรรยาสุดที่รักของเขา อย่างแน่แท้ เพียงแค่คิดว่า สตรีอันเป็นที่รักของตนเองจะมีสภาพคล้ายกับอี้เหนียงทั้ง 2 ที่กำลังโอบกอดเขาอยู่ก็ให้รู้สึกเจ็บปวดใจ เขาได้แต่แปลกใจ ว่าเหตุใดในวันนั้น ถึงได้มีโจรป่าออกมาอาละวาดได้มากมายถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เส้นทางแห่งนั้น ก็เป็นเส้นทางที่ใกล้กับเมืองหลวง ถึงแม้นจะดูรกร้าง และมีผู้คนสัญจรไปมาน้อยแต่ก็ไม่ควรที่จะมีกลุ่มโจรป่า ถึง 3 กลุ่ม ปรากฏขึ้นในวันเดียวได้ และโจรป่าทั้งสามกลุ่มนั้น ก็หาใช่กลุ่มเดียวกันแต่อย่างใด หลังจากที่กลับมาถึงจวนตระกูลจ้าวแล้ว ถึงแม้นว่าพวกนางจะยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่ามิได้ถูกโจรป่าเหล่านั้นย่ำยี แต่ด้วยสภาพที่พบเห็น จะยังมีผู้ใดเชื่อได้อีกเล่า นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ จวนคหบดีเล็กๆ อย่างตระกูลจ้าวเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดในตอนนี้ ทั้งข่าวสมรสพระราชทานที่เหมือนกับมีทองหล่นทับ ตระกูลคหบดีเล็กๆ สามารถได้ตกแต่งองค์หญิงต่างเผ่าเข้ามาเป็นสะใภ้ นั้นถือเป็นข่าวดี และข่าวร้ายก็คือ บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลจ้าวถูกกระทำย่ำยีโดยโจรป่า จนทำให้ชื่อเสียงป่นปี้ ยากนักที่จะมีผู้ใดมาสู่ขอนางไปเป็นสะใภ้ และยังมีอี้เหนียงของบุตรชายอีก 2 คน ที่ตอนนี้ถูกส่งไปอยู่วัด เนื่องด้วย เหตุการณ์ในครั้งนั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD