สตรีที่มีใบหน้างดงามรูปร่างอรชรผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง นางกวาดตาไปโดยรอบ ก็พบเข้ากับบุรุษที่นอนอยู่บนเตียง ด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ นางจ้องมองไปที่ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นด้วยความหลงใหล ในที่สุดบุรุษที่นางหลงรักมานานหลายปี ก็จะได้กลายมาเป็นของนางจริงๆ เสียที คอยดูเถิดสิ่งใดที่เป็นอุปสรรคในการขัดขวางความรักของนางนางจะกำจัดไปให้สิ้นหลังจากนี้
"หมิงเกอ ข้ารอท่านมานานเหลือเกิน..."
นางละสายตาจากใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาของบุรุษที่นอนอยู่บนเตียง พร้อมกับเดินไปจุดกำยานที่ตนเองได้เตรียมเอาไว้ และกลับมานั่งที่บนเตียงของบุรุษผู้นั้นต่อ หญิงสาวลูบไล้มือของตนเองไปตามกรอบหน้าของเขา เพียงไม่นานเมื่อถูกปลุกคนที่นอนหลับไหลก็ได้ตื่นลืมตาขึ้น เขาพยายามกระพริบตา 2-3 ครั้ง เพื่อปรับให้ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น ก่อนที่เขาจะแสดงออกว่าตกใจเป็นอย่างมาก
"ไห่ถิงเหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่" เขากวาดตาไปโดยรอบ เมื่อพบว่านางนั่งอยู่บนเตียงของตนเอง ด้วยท่าทีที่ใกล้ชิดนี้ ถึงกับทำให้จิตใจของชายหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ กลิ่นหอมแปลกๆ ที่โชยเข้ามาในจมูก ถึงกับทำให้เลือดลมในร่างกายของเขาสูบฉีดขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ด้วยไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
"ข้าเพียงแค่ได้ยินข่าวว่าท่านล้มป่วย จึงได้คิดที่จะมาดูแลด้วยความเป็นห่วง เหตุใดท่านถึงได้เหงื่อท่วมกายเพียงนี้เล่า หมิงเกอให้ข้าดูแลท่านดีหรือไม่"
นางยื่นมือของตนเองไปสัมผัสกรอบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างยั่วยวนยิ่ง เมื่อปลายนิ้วของนางแตะถูกผิวของชายหนุ่ม เขายิ่งรู้สึกร้อนวูบวาบมากยิ่งขึ้น จนยากที่จะควบคุม หูไห่ถิงยิ่งขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ จนชายหนุ่มได้กลิ่นหอมออกมาจากกายของหญิงสาว คล้ายกับว่าในตอนนี้ เส้นความอดทนบางอย่างของเขาได้ขาดผึงลง ชายหนุ่มกระชากตัวนางให้เข้ามาแนบชิดกับตนเอง พร้อมกับจูบริมฝีปากแดงสดอันเย้ายวนตรงหน้าอย่างยากจะควบคุม
"อื้อ…!!! หมิงเกอ ท่านคิดจะทำอะไรเจ้าคะ" ถึงแม้นปากจะถามออกไปคล้ายกับไม่ยินยอมเช่นนั้น แต่เนื้อตัวของนางกลับไร้ซึ่งท่าทีต่อต้านใดๆ เมื่อร่างกายของหญิงสาวได้แนบชิดจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ก็เกินที่จะควบคุมเสียแล้ว แทนที่เขาจะตอบคำถามใด กลับกระชากเสื้อคลุมของหญิงสาวออกจนเผยให้เห็นเอี้ยมบังทรงสีแดงสด ที่คล้ายจะปกปิดบางสิ่งบางอย่างไม่มิด ดวงตาของชายหนุ่มจ้องมองไปที่ปราการด่านสุดท้ายนั้นพร้อมกับกระชากมันขาดติดมือออกมาอย่างแรง
"อะ...หมิงเกอ หยุดก่อนเจ้าค่ะ"
ถึงแม้นจะถูกห้ามปรามเช่นนั้น แต่มีหรือที่อารมณ์มาถึงตอนนี้แล้ว บุรุษผู้นั้นจะฟังเสียง... เขาก้มลงไปดูดเลียปทุมถันสีชมพูที่ตั้งเด่นเป็นสง่าทั้งสองข้างของนางอย่างอดใจไม่ไหว จนเกิดเสียงดังจ๊วบจ๊าบน่าอาย มืออีกข้างก็ขย้ำไปที่ปทุมถันที่ยังว่างอยู่อย่างหิวกระหายคล้ายกับหมาป่าที่ต้องการล่าเนื้อไม่มีผิดเพี้ยน หูไห่ถิงครางออกมาด้วยเสียงกระเส่า เมื่อได้รับการกระทำเช่นนั้น
เพียงไม่นานร่างของทั้งสองคนก็ได้เปลือยเปล่า ร่างกายแนบชิดจนแทบกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ไอร้อนจากทั้งคู่ได้แผ่กำจายออกมา ทั้งความรู้สึกที่ยากจะควบคุม ด้วยแรงปรารถนาที่ถูกผลักดันอยู่ในห้วงความรู้สึก
…
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวนั่งอยู่ภายในวัดอานจิ้ง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขคล้ายกับว่าการมาทำบุญที่วัดในครั้งนี้ จะทำให้หญิงชรามีจิตใจที่เบิกบาน แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนางกำลังมีความสุขในเรื่องใดอยู่กันแน่
"ท่านแม่บรรยากาศที่นี่ช่างดูร่มรื่นยิ่งนัก พลอยทำให้จิตใจดูมีความสุขสงบตามไปด้วย" หม่าอี้เหนียง ประคองร่างของฮูหยินผู้เฒ่าให้เดินไปอย่างระมัดระวัง ด้วยท่าทางที่ใส่ใจอย่างเต็มที่ อีกด้านหนึ่งของหญิงชราก็ได้มีหลัวอี้เหนียง คอยปรนนิบัติพัดวีอยู่ไม่ห่าง ไร้ซึ่งเงาของผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ ที่คอยอยู่เคียงข้าง อย่างเช่นที่ตระกูลอื่นทั่วไปควรจะเป็น
สายตาที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยของอี้เหนียงทั้งสองส่งมาให้กับหานหลินปิงเป็นระยะ แต่นั่นกลับไม่ส่งผลให้นางรู้สึกอันใด สำหรับนางแล้วแค่การดูแลหญิงชราผู้นี้ที่ไม่เคยเห็นค่าความดีของนาง จะมีความหมายอันใดเล่า เหตุใดนางต้องใส่ใจกับความรู้สึกของหญิงชราผู้นี้ด้วย นั่นจึงทำให้การแสดงออกของหานหลินปิง ไม่เป็นไปอย่างที่อี้เหนียงทั้งสองได้คาดหวังว่าจะได้เห็น จึงทำให้พวกนางอดที่จะกล่าววาจาดูถูกถากถางหญิงสาวอย่างอิจฉาริษยาเสียไม่ได้
"ท่านแม่การได้มาทำบุญในครั้งนี้ บุญกุศลอาจจะส่งผลให้คนบางคนรู้ถึงสถานะที่แท้จริงของตนเองก็เป็นได้"
"ใช่เจ้าค่ะ… เชิดหน้าชูคอเหนือผู้อื่นมาเนิ่นนาน แท้ที่จริงแล้วก็เป็นได้เพียงแค่สตรีที่ไร้ภูมิหลังผู้หนึ่ง เช่นนี้ จะคู่ควรอันใดให้สามารถเชิดหน้าชูตาได้เล่า"
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวตบไปที่หลังมือของอี้เหนียงทั้งสองคนอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะกล่าวออกมา ด้วยถ้อยคำที่ถากถางไม่ต่างกัน "อีกไม่นานหรอก คงจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเสียที สิ่งใดที่อยู่ในที่ๆ ไม่สมควร ก็ถึงเวลาที่จะต้องกำจัดไปเสียให้พ้นทาง…พวกเจ้าวางใจเถิด"
หานหลินปิงได้แต่กระพริบตาปริบๆ ฟังประโยคเหล่านั้นประโยคแล้วประโยคเล่า นี่นางได้ทำอันใดให้กับสตรีพวกนี้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจกระนั้นหรือ นางก็อยู่ในที่ของนาง มีแต่สตรีพวกนี้ที่เป็นเดือดเป็นร้อน ไม่พอใจถึงการมีอยู่ของนางใช่หรือไม่ หานหลินปิงคนเก่าแทบจะทำตัวให้ลีบเล็ก เพื่อหวังว่าจะลดการบาดหมางในตระกูล แต่ดูเอาเถิดสตรีพวกนี้ ยิ่งจะได้ใจจากการที่คุกคามผู้อื่นกระนั้นหรือ เมื่อคิดได้ว่าสตรีเหล่านี้ควรจะถูกสั่งสอนเสียบ้าง หญิงสาวจึงได้แต่ยกยิ้มขึ้นมุมปากและกล่าวถ้อยคำ ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจอยู่หลายส่วน
"ใช่แล้วละ อีกไม่นานคงถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งเสียแล้ว บางสิ่งบางอย่าง ต่อให้วางแผนมาดีเพียงใด ก็มิอาจจะสำเร็จได้ เตรียมรับมือกับความผิดหวังไว้เสียบ้าง เข้าใจหรือไม่มู่หลัน"
ประโยคนี้คล้ายกับเป็นการกล่าวกับสาวใช้ของตนเอง แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวกลับรู้สึกว่า นี่เป็นประโยคที่นางได้เอ่ยกับตนอย่างไรอย่างนั้น นางจึงรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก
เพียงหานหลินปิงกล่าวได้เท่านั้น ก็เดินนำหน้าสตรีทั้งสามคนไปยังรถม้าของตนเอง ทิ้งไว้เพียงถ้อยคำปริศนาเหล่านั้นให้สตรีทั้งสามได้แต่รู้สึกงุนงง
"ท่านแม่ที่นางกล่าวเช่นนี้ ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ นางกำลังหมายถึงอะไร"
"ไม่เพียงแต่ประโยคของนางที่ข้าไม่เข้าใจ แต่ที่ท่านแม่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ท่านแม่กำลังหมายถึงอะไรหรือ ที่ว่าอีกไม่นานจะเกิดการเปลี่ยนแปลง"
หม่าอี้เหนียงและหลัวอี้เหนียง ไม่ได้รู้ถึงแผนการของฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวมาก่อนจึงได้งุนงงสงสัย แต่มีหรือที่หญิงชรา จะบอกความใดกับสตรีทั้งสองได้ ถึงแม้นางจะให้ความโปรดปรานกับอี้เหนียงทั้งสองอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกันกับหลานสาวแท้ๆ ที่กำลังจะได้มาเป็นหลานสะใภ้อีกคนของตนเองแล้ว แน่นอนว่านางต้องเลือกสายเลือดมากกว่าอย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวเป็นสตรีที่มีความฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอยู่ไม่น้อย ดังนั้นประโยคสักครู่นี้ของหานหลินปิง จึงได้สร้างความไม่สบายใจให้กับหญิงชราให้ต้องครุ่นคิด เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงได้คำนวณดูเวลาทั้งหมด ก็รู้ได้ทันทีว่าป่านนี้ หากเรื่องราวเป็นไปอย่างที่ได้วางแผนไว้ คงใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว หญิงชราจึงไม่รอช้าที่จะเร่งให้ขบวนเดินทางเดินทางกลับไปยังจวนของตัวเอง เพื่อที่จะดำเนินการตามแผนของตนเองได้วางเอาไว้ให้เสร็จสิ้น…
เมื่อขบวนเดินทางของตระกูลจ้าวได้เดินทางมาถึงในป่ารกชัฏ ที่ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร ก็ได้มีกลุ่มโจรโผล่ออกมาอย่างที่ไม่มีผู้ใดจะได้คาดคิด กลุ่มโจรป่าเหล่านี้หาใช่โจรป่าธรรมดาสามัญไม่เพราะพวกมันมีถึง 30 คนที่มารุมล้อมขบวนรถมาเอาไว้อีกทั้งยังมีอาวุธครบมือ คล้ายกับมีการเตรียมการมาแล้วอย่างดี แต่ที่น่าแปลกที่สุดเห็นจะเป็น พวกมันหาได้รุมล้อมทั้งขบวนเอาไว้ แต่กลับรุมล้อมแค่เพียงรถม้าของหานหลินปิงที่อยู่ขบวนสุดท้ายเสียอย่างนั้น
"หากรักตัวกลัวตาย ก็ให้ทิ้งสิ่งของมีค่าเอาไว้ พวกข้าอาจจะใจดีไว้ชีวิตพวกเจ้าก็เป็นได้" เสียงหัวหน้ากลุ่มโจรตะโกนออกมาดังกึกก้อง แต่ในขณะที่บ่าวรับใช้และคนคุ้มกันขบวนรถม้า กำลังจะยื่นมือมาช่วยเหลือ ก็ได้ถูกขัดโดยเสียงแหบแห้งของฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวเสียก่อน
"นั่นพวกเจ้าคิดจะทำสิ่งใด รีบพาพวกข้าออกไปจากที่แห่งนี้เสีย ก่อนที่พวกมันจะเปลี่ยนใจหันมาเล่นงานพวกเรา เรื่องช่วยเหลือสะใภ้ใหญ่ พวกเราค่อยไปแจ้งทางการให้ส่งคนมาช่วยเหลือพวกนางอีกทียังไม่สาย"
ถึงแม้นหานหลินปิงจะอยู่ไกล แต่ก็สามารถได้ยินประโยคนั้นได้อย่างชัดเจนนางถึงกับมุมปากกระตุก... 'ค่อยกลับมาช่วยทีหลัง' โดยที่ทิ้งนางไว้ให้เผชิญโชคชะตาอันเลวร้ายกับพวกโจรป่าเหล่านี้เพียงลำพังอย่างนั้นหรือ หากไม่เกลียดชังกันจริงๆ คงไม่สามารถทำได้อย่างที่หญิงชราผู้นั้นกล่าวออกมากระมัง
เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย มีหรือที่เหล่าบ่าวรับใช้ และคนคุ้มกันของตระกูลจ้าว จะสามารถโต้แย้งได้พวกเขาจึงได้แต่จำใจหันหลังกลับมาทำตามคำสั่ง พร้อมกับเร่งขบวนรถม้าจากไปด้วยสีหน้าท่าทางลำบากใจอย่างรู้สึกผิด