ผมจะบ้าตาย คำว่าแต่ ไม่มีผลอะไรในประโยคบอกเล่าของผมเลยยัยนี่ร้ายไม่เบา
“แต่เธอต้องทำงานบ้านทั้งหมดแทนแม่บ้าน ฉันไม่อยากให้ใครมาเห็นเธออยู่บ้านเดียวกับฉัน เดี๋ยวเขาจะมองเธอไม่ดีแล้วเอาไปนินทาในทางเสียหายได้”
“ขอบคุณมากลุง ขอบคุณมากนะคะ งานบ้านสบายมากไม่มีปัญหา แค่ลุงให้ฉันพักที่นี่ก็ดีมากแล้ว ขอบคุณนะลุง” ฉันพนมมือขึ้นไหว้เขาอย่างอ่อนน้อมอีกครั้ง อย่างน้อยเขาก็เป็นห่วงชื่อเสียงของฉัน สุภาพบุรุษพ่อของลูกชัดๆ ความคิดบ้าบอของฉันก็บังเกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะขี้เก๊กไปหน่อยก็เหอะ
“เธอนอนห้องซ้ายมือนะ นอนได้ใช่ไหม แล้วรู้ใช่ไหมห้องไหน”
“นั่นมันห้องเก่าที่ฉันเคยมาพักที่นี่ ช่วงปิดเทอม และเวลามาเยี่ยมป้าสา ไปแล้วนะลุง ฉันง่วงมากเลยตอนนี้ ยืนไม่ตรงแล้วเนี่ย ขอบคุณค่ะลุง” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินขึ้นบันได แต่ก็ยังคงตะโกนขอบคุณเขาอยู่ร่ำไป ในระหว่างที่เดินขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน
“ยัยเด็กบ้าเอ้ย! เธอนี่มันจริงๆ เลย” ผมบ่นพึมพำเบาๆ กับตัวเอง เมื่อเธอเดินขึ้นห้องไปแล้ว ปล่อยให้ผมนั่งงงอยู่คนเดียว ต่อไปนี้ชีวิตผมคงไม่เป็นสุข ความวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นกับผม แน่นอนนี่มันหายนะชัดๆ แค่คุยกับเธอคืนนี้คืนเดียวไม่กี่นาที ผมยังปวดประสาทขนาดนี้ ต่อไปผมต้องเป็นลูกค้าประจำ โรงพยาบาลประสาทแน่นอน
เวลาล่วงเลยผ่านมาจนจะครึ่งเดือนแล้ว แต่ฉันยังหางานทำไม่ได้เลย เรียนที่ว่ายากแล้วหางานทำยากกว่าเป็นหลายเท่า ทุกที่ที่ฉันไปสมัคร ก็ถามหาแต่ประสบการณ์ทั้งนั้น ถ้าฉันมีประสบการณ์ ฉันคงหาประสบการณ์ที่ทำงานเดิมนั่นแหละคงไม่ลาออก วิ่งโร่หางานจนแทบหมดสภาพขนาดนี้หรอก
ละแวกนี้ก็เหลือแค่ที่เดียว ที่ฉันยังไม่สมัครคือโรงงาน x x y group จำกัด มันคงเป็นทางเลือกสุดท้ายของฉันแล้วสินะ ที่ฉันไม่ยอมมาสมัครที่นี่ ก็เพราะว่าฉันมีเหตุผล ที่จะไม่สมัครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“โอ๊ย! เหนื่อยแล้วก็ร้อนมากเลย อากาศเมืองไทยเนี่ย! ฉันกำลังนึกว่าตัวเองกำลังซ้อมลงนรก อะไรจะร้อนขนาดนี้ตายแน่ๆ เลยถ้าเป็นแบบนี้" ฉันพูดกับตัวเองพร้อมกับเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่ง ข้างๆ โรงงาน ตอนนี้เลยเที่ยงมาแล้วอีกไม่กี่นาทีก็จะบ่าย ฉันทั้งเหนื่อยทั้งหิวยังไงโรงงานก็ใกล้บ้าน กินเสร็จอิ่มท้องก่อนแล้วค่อยไปสมัครก็ได้ ฉันไม่รอช้าเดินเข้าไปสั่งอาหารทันที เพราะหิวจนตาลายแล้ว
"ป้าเอาข้าวผัดกระเพราจานหนึ่งค่ะ” ฉันสั่งอาหารแล้วนั่งลง คนค่อนข้างเยอะ แต่ส่วนมากเขากินกันใกล้เสร็จแล้ว คงจะเป็นคนในโรงงานนี้มั้ง ฉันนั่งได้สักพักใหญ่ๆ ป้าคนนั้นก็เอาข้าวผัดกระเพราที่ฉันสั่งมาเสิร์ฟ
"ขอบคุณมากค่ะป้า"
"รับน้ำอะไรดีหนู น้ำอัดลมชาเขียว ชามะนาวน้ำแดงมะนาวโซดา" แล้วป้าแกก็พูดถึงเมนูน้ำเยอะแยะมากมายบลาๆ
"ขอเป็นน้ำเปล่าแล้วกันจ้าป้า" ตอนนี้ฉันต้องประหยัดเงินไม่รู้ว่าจะได้งานหรือเปล่า แค่พักบ้านตาลุงนั่นก็เกรงใจเขาจะแย่แล้ว แถมเช้าเย็นก็ยังกินข้าวที่บ้านนั้นอีก ขอให้ได้งานทำทีเถอะ ฉันจะเลี้ยงลุงให้พุงกางเป็นการตอบแทนเลย ฉันนั่งไปคิดไป โชคชะตาคงไม่เล่นตลกกับฉันหรอกมั้ง แค่นี้ฉันก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว
"เก็บตังค์จ้า เท่าไหร่คะป้า”
"สี่สิบบาทจ้า" ฉันก็ยื่นแบงค์ยี่สิบไปให้ป้าสองใบ ก่อนจะถามออกไป
"ป้าคะ หนูขอถามอะไรหน่อยสิ โรงงานนี้เขารับสมัครพนักงานเยอะเหรอคะป้า หนูเห็นเขาติดประกาศหน้าโรงงาน แต่ยังไม่กล้าไปสมัคร"
"ใช่แล้วหนู ผู้บริหารเขาเก่งนะ เห็นว่าโสดแถมหล่อด้วย เขาส่งออกหลายประเทศ ถ้าได้เข้าไปทำงานโบนัสดีด้วยนะหนู ลูกชายของป้าก็ทำอยู่โรงงานนี้แหละ”
"เหรอคะป้า ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวหนูจะลองไปสมัครดูค่ะ เอ่อ..ป้าคะของน้ำแดงมะนาวโซดาแก้วหนึ่งค่ะ" ฉันรู้สึกร้อนมาก จนอดใจไม่ไหวที่จะสั่งน้ำหวานกินต่อ ก่อนที่จะไปสมัครงาน
วันนี้ผมมาทานข้าวกับลูกค้ารายใหญ่ เธอเป็นสาวสวยมีนามว่าเจสซี่ เธอคือผู้หญิงอีกคน ที่มารดาของผมหมายมั่นปั้นมือ จะยัดเยียดให้กับผม เพื่อมาเป็นสะใภ้ของบ้าน
"อาหารร้านนี้อร่อยจังเลยนะคะพี่ภู ลองชิมนี่ดูนะคะ" เธอไม่พูดเปล่า แต่ตักอาหารมาจะป้อนผมให้ได้ ท่าทางของเธอมั่นอกมั่นใจ แน่นอนเธอเป็นสาวมั่นและเป็นลูกสาวนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ ชุดที่เธอสวมใส่แบรนด์เนมทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้าเป็นยัยเด็กนั่นคงจะไม่ใส่อะไรแบบนี้แน่ ทำไมนะผมถึงต้องนึกถึงยัยเด็กจุ้นนั่นตลอดเวลาด้วย
"ขอบคุณครับคุณเจสซี่ คือว่าผมแพ้กุ้งนะครับ” ความจริงผมก็พอรับประทานได้นะ แต่ผมไม่อยากปฏิเสธเธอออกไปตรงๆ ผมเลยพูดแบบอ้อมค้อม เพื่อรักษาน้ำใจเจสซี่เอาไว้ อย่างน้อยธุรกิจของเราก็ต้องอาศัยบิดาของเธอในฐานะลูกค้ารายใหญ่
"ตายจริง! ขอโทษนะคะพี่ภู เจสซี่ไม่รู้ เดี๋ยวเจสซี่จะสั่งอาหารอย่างอื่นเพิ่มให้พี่ภูนะคะ" ผมห้ามไม่ทัน เมื่อเจสซี่กวักมือเรียกพนักงานมาเก็บจานอาหาร ที่มีกุ้งไปจนหมด ก่อนจะสั่งอาหารอย่างอื่นมาเต็มโต๊ะ อาหารที่เธอสั่งมาสิบคนก็กินไม่หมด เธอไม่นึกถึงคนที่เขาไม่มีจะกินเลยหรือยังไง
"ผมว่าเรามาเซ็นสัญญากันเลยไหมครับ คุณเจสซี่"
"พี่ภูขา กว่าเจสซี่จะได้ทานข้าวกับพี่ภู โอกาสหาไม่ได้ง่ายๆ นะคะ เจสซี่งานเยอะพี่ภูก็เหมือนกัน ฉะนั้นเราทานไปคุยไปแล้วค่อยมาเซ็นกันก็ได้ว่าไหมคะพี่ภู” เธอไม่พูดเปล่า แต่ยังเอามือมาคล้องแขนแล้วลูบหัวไหล่ของผมไปมา จากนั้นเธอก็เอาใบหน้ามาถูไถ พร้อมกับซบที่ไหล่ของผมอีก บอกตรงๆ ผมอึดอัดมาก แต่ก็ยังคงนั่งนิ่ง ซึ่งการเพิกเฉยของผมนั้น ทำให้เธอยิ่งได้ใจ คราวนี้เธอก็เกาะติดหนึบเลย จนผมแทบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
ในขณะที่ผมทานข้าวกับเจสซี่อยู่ชั้นสองของร้าน ตรงข้ามกับโรงงาน เมื่อผมมองลงไปข้างล่าง ฝั่งที่มีร้านอาหารตามสั่ง นั่นมันยัยเด็กจอมจุ้นนี่นา เธอมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่าเธอจะมาสมัครงานที่โรงงานของผม
"ยัยเด็กจอมจุ้นเอ๊ย!" ผมบ่นพึมพำเบาๆ ขณะที่ผู้หญิงข้างๆ นั่งเล่นโทรศัพท์ไปซบไหล่ผมไป ตักอาหารใส่ปากไป อะไรของเธอเนี่ย บิดามารดาของเธอคงเลี้ยงให้สบายและตามใจเสียจนเคยตัว เธอถึงได้ทำอะไรโดยที่ไม่แคร์สายตาใครๆ ในร้านอาหารแบบนี้
"มีอะไรหรือเปล่าคะ เห็นพี่ภูมองลงไปข้างล่างนานแล้ว ใครเหรอ คนรู้จักหรือเปล่า” เธอพูดพร้อมกับชะโงกมองไปข้างล่างแล้วหันมายิ้มให้กับผม เจสซี่เป็นผู้หญิงสวยมีเสน่ห์ แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกชอบหรือมีความพิเศษกับเธอเลยแต่น้อย ผิดกับเด็กนั่นที่เธอดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษเหมือนใครๆ เธอกลับทำให้หัวใจของผมมันเต้นแรงทุกครั้งเวลาเข้าใกล้
“คุณเจสซี่ ผมขอตัวก่อนนะครับ เรื่องเซ็นสัญญาเดี๋ยวผมจะให้เลขานัดคุณอีกที ผมขอโทษจริงๆ พอดีผมมีนัดกับลูกค้าอีกราย แต่ผมลืมสนิทเลย เป็นเรื่องแน่ๆ ถ้าผมไม่ไป ผมขอตัวก่อนนะครับ"
"พี่ภู! พี่ภูจะทิ้งเจสซี่ไปแบบนี้ไม่ได้นะคะ พี่ภู! เจสซี่จะฟ้องคุณป้าคอยดู!" ผมไม่สนใจเสียงของเธอเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เป้าหมายของผมคือยัยเด็กนั่น ผมอยากรู้เธอมาทำอะไรแถวนี้ เด็กนั่นไม่เคยขอความช่วยเหลือจากผมเลยเรื่องงาน แต่ถ้าเธอมาสมัครงานที่โรงงานของผม ผมก็ยินดีจะช่วยเธอโดยไร้เงื่อนไข ทำไมนะเวลาที่ผมนึกถึงใบหน้าของนาราหัวใจถึงได้พองโต และตื่นเต้นทุกครั้ง