คืนนั้นทั้งคืนเฌอเอมครุ่นคิดตลอดกับคำพูดของขุนเขา คำพูดที่เป็นปริศนา คำว่าเมีย มันคืออะไรกันแน่ ยังไงเสียรุ่งเช้าเธอต้องได้คำตอบจากเรื่องนี้
รุ่งเช้า
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านนิกรปกคลุมไปด้วยความเงียบเพราะชายสูงวัยเอาแต่นั่งทานไม่ได้มองมาทางลูกสาวที่นั่งข้าง
ส่วนเฌอเอมเธอกับช้อนสายตามองคนเป็นพ่ออยู่บ่อยครั้ง เพราะมีเรื่องอยากถาม หากไม่ถามวันนี้เธอคงไม่มีจิตใจไปเรียนเป็นแน่
“พ่อคะ…”
นิกรเงยหน้าขึ้นมามองลูกสาวตัวน้อยในสายตาของเขา จากนั้นก็ฉีกยิ้มหวาน ก่อนที่ช้อนแล้วซ่อมจะถูกวางลงที่จานอาหาร
“หนูมีอะไร”
“เอมอยากถามอะไรพ่อสักอย่าง เรื่องเรากับบ้านของป้ากิ่ง”
“หนูสงสัยอะไรอีก คืนก่อนพ่อก็เล่าไปหมดแล้วนิ”
“คือ…ที่เรากับบ้านนั้นยังไปมาหาสู่กันอยู่ แถมช่วงนี้พ่อก็ให้หนูไปที่นั้นบ่อยๆ มันมีอะไรมากกว่าที่หนูไม่รู้หรือเปล่าคะ”
ประโยคที่เธอถามเหมือนพ่อจะดูอึกอักอยู่สักนิด นิกรนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพ้นลมร้อนออกมาเบาๆ จากช่องปาก จากนั้นก็ตัดสินใจเล่าในสิ่งที่ลูกต้องรู้
“เรื่องมันมีอยู่แล้ว เพียงแต่พ่อยังไม่พร้อมที่จะเล่าพ่ออยากให้หนูตั้งใจเรียน เรียนจบค่อยว่ากัน ในเมื่อหนูสงสัยอยากรู้ พ่อก็จะบอก ลุงเมศกับป้ากิ่งเป็นผู้มีพระคุณของเรา ที่จริงเรื่องนี้เราคุยกันก่อนที่แม่หนูจะเสีย คือ…” นิกรเว้นว่างไว้สักพักปล่อยให้สายตาของลูกสาวจ้องมองอยู่อย่างนั้น จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีก
“เราตกลงว่าเรียนจบจะให้หนูกับพี่ขุนเขาแต่งงานกัน!”
“แต่งงานเหรอคะ” แน่นอนว่าเธอตกใจกับคำว่าแต่งงาน เพราะเฌอเอมเองก็ไม่ได้รักขุนเขาแบบนั้น และสิ่งที่คิดในหัวก็ตามมาพร้อมคำถามที่เธอถามพ่อออกไป
“แล้วเรื่องนี้พี่ขุนเขา รู้เรื่องหรือเปล่า”
“ตอนนั้นยังไม่รู้นะ แต่ตอนนี้พ่อไม่แน่ใจว่าพี่เขารู้หรือเปล่า ว่าแต่ทำไมหนูถึงสงสัยละ” เธอไม่กล้าบอกพ่อด้วยซ้ำว่าเมื่อวานขุนเขาบุกมาที่บ้านแถมยังพยายามลวนลาม เธอได้แต่เก็บเงียบ จากนั้นก็ก้มหน้าไม่กล้าสบตาพ่อ ไม่นานนักนิกรก็พูดขึ้นอีก
“ทีแรกพ่อไม่ได้เห็นด้วยเรื่องที่จะให้หมั้นหมาย แต่ลุงเมศเป็นคนขอ ขอเอมให้ลูกชายเขาพร้อมกับจะช่วยเหลือเราทุกอย่าง หนูฟังแล้วคงคิดว่าพ่อกับแม่เห็นแก่ตัวเหมือนขายหนูทางอ้อม แต่ป้ากิ่งยืนยันเสียงแข็งว่าหนูต้องเป็นลูกสะใภ้ พ่อยอมรับว่าการเงินเราแย่มาโดยตลอดตั้งแต่ที่แม่เสีย หากไม่ได้บ้านนั้นช่วยป่านนี้พ่อก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใครได้”
เฌอเอมชะงักฟังเรื่องราวที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน ด้วยความที่เป็นเด็กเชื่อฟังพ่อแม่ เธอกับไม่ค้านอะไรในเมื่อพ่อเธอกำลังลำบากหากผู้ใหญ่คุยกันแล้วก็คงต้องปล่อย ทว่าผู้ชายคนนั้น คนที่เธอจะใช้ชีวิตคู่ด้วยในอนาคต ทำไมเขาถึงเป็นคนใจร้ายได้ลงแถมไม่ชอบหน้าเธออีกแบบนี้ เส้นทางความรักมันจะเกิดขึ้นแบบไหนกันแน่
มหาลัย
สาวน้อยปีหนึ่งนั่งนิ่งพร้อมความคิดในหัวเรื่องคู่หมั้นที่อยู่ปีสาม แถมเขาก็เป็นเหมือนพี่ชายที่เธอนับถือ ตอนนี้ต่างฝ่ายก็ต่างรู้แล้วว่าสถานะที่ครอบครัวมอบให้คืออะไร เธอมองไม่เห็นหนทางด้วยซ้ำว่าพี่ขุนเขาจะเดินมาประจบเส้นทางกับเธอโดยวิธีไหน
“เอม คิดอะไรอยู่นั่งเหม่อเชียว” เสียงที่ถามเป็นเสียงของเหมียวเพื่อนของเฌอเอมที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมจนกระทั่งมาต่อที่มหาลัยนี้ด้วยกัน
“ปะเปล่าหรอก”
“แต่วันนี้แกดูเหมือนคนมีความคิดมากมายนะ คิ้วแกขมวดกันยุ่งหมดแล้ว”
“เหรอ!”
เธอยกมือมาลูบสัมผัสที่คิ้วเรียว จากนั้นก็ลดมือลงพร้อมกับถามเพื่อนไปอีกครั้ง
“ฉันดูเครียดมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ดูเครียดนะ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอกแค่รู้สึกว่า พักนี้ฉันเจอแต่เรื่องที่คาดไม่ถึง”
“เรื่องคาดไม่ถึงเหรอ มันเรื่องอะไรละ”
เฌอเอมนิ่งลงไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฟัง เพราะกลัวว่าเพื่อนจะหัวเราะหรือกลัวว่าเพื่อนจะมองครอบครัวตัวเองเป็นคนขายลูกกิน ไม่นานนักก็มีเสียงทุ้มอีกเสียงพูดขึ้น
“นึกว่าขึ้นตึกกันไปแล้ว แล้วคุยอะไรกันอยู่” เจตเป็นเพื่อนของทั้งคู่เรียนคณะเดียวกัน เมื่อถามมาแบบนั้นก็หย่อนก้นลงนั่งข้างๆ เฌอเอมพร้อมรอยยิ้ม
“เปล่าหรอก กำลังจะขึ้นพอดี แล้วทำไมวันนี้มาสายละ” เฌอเอมถามกลับ พร้อมรอยยิ้มของเธอที่ส่งให้เพื่อนชายคนนี้
“วันนี้รถติดอีกอย่างไม่ได้เอารถมา พอดีพ่อเราเอารถเข้าศูนย์ตั้งแต่วันศุกร์แล้ว”
“เอ้า แบบนี้ตอนเย็นก็ไม่มีราชรสไปส่งนะสิ งั้นยายเอมแกก็นั่งแท็กซี่กลับละนะ”
สิ่งที่เหมี่ยวพูดหมายความว่าทุกครั้งหรือต้องเรียกว่าแทบทุกวัน การกลับบ้านของเอมจะมีเจตเป็นคนไปส่ง แน่นอนว่าเจตไม่ได้มองเอมเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้น แต่มองไปไกลถึงอนาคต แม้ว่าเจตยังไม่ได้ขอคบถึงขั้นแฟน แต่เพื่อนอย่างเหมียวก็รู้ดีว่าความรู้สึกที่เจตมีให้เพื่อนในกลุ่มคืออะไร
หลังจากที่คุยกันสักพักก็ชวนกันเดินขึ้นตึกคณะ ระหว่างทางที่เดินก็คุยกันบ้างเรื่องทั่วไป จนกระทั่งสายตาของเอมเหลือบไปเห็นผู้ชายตัวสูงที่นั่งคุยกับเพื่อน แต่มันเป็นจังหวะเดียวกันที่ขุนเขาหันมาสบตากับเฌอเอมพอดี
“เดี๋ยวกูมานะ”
“มึงจะไปไหนไอ้เขา” ขุนเขาไม่ได้ตอบเขาบอกกับเรย์และ เฟรนเท่านั้นก็ลุกออกจากที่ ส่วนเอมเธอรู้ว่าพี่ขุนเขากำลังจะมุ่งหน้ามาทางนี้ เธอจึงรีบบอกเพื่อนทันที
“เดินเร็วๆ หน่อยสิ”
“เป็นอะไรของแก ยังไม่ถึงเวลาเรียนนะ ทำไมต้องรีบวะ”
ยังไม่ทันที่เท้าของเอมจะสาวก้าวยาวออกไป มือหนาก็รีบรั้งแขนของเอมไว้แน่น
“เดี๋ยว มีอะไรจะคุยด้วยไปคุยกันหน่อยสิ”