ข่าวลือ

1993 Words
รุ่งเช้าฮองไทเฮาหรือก็คือพระมารดาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พระอัยยิกาของหวงไท่จื่อ รีบเร่งมาหาอวี้เม่ยทันทีที่ทรงทราบเรื่องทั้งหมดจากองค์ชายห้า “โธ่~อวี้เม่ยของข้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฮองไทเฮาผู้ที่ทั้งรักและหวงแหนอวี้เม่ยมาตั้งแต่เด็ก เนื่องด้วยอวี้เม่ยเป็นสตรีชั้นสูง ถูกวางตัวให้หมั้นหมายกับหวงไท่จื่อตั้งแต่เกิด ตระกูลฉางจึงส่งตัวนางให้เข้ามาใกล้ชิดกับเหล่าราชวงศ์อยู่บ่อยครั้ง ทั้งร่ำเรียนหรือกระทั่งเป็นเพื่อนเล่น อวี้เม่ยเป็นเด็กน่ารัก ร่าเริง ว่านอนสอนง่าย ฮองไทเฮารู้สึกถูกชะตากับนางตั้งแต่แรกพบ มักจะเรียกให้นางไปอยู่ที่ตำหนักกลางบ่อยครั้ง พูดคุยเล่นซน มอบขนมและของเล่นมากมาย อีกทั้งอวี้เม่ยเองก็เป็นเด็กฉลาดช่างพูดช่างเจรจา ขี้อ้อน ไม่นานก็ได้ชื่อว่าเป็นคนโปรดข้างกายฮองไทเฮาที่ใครๆ เป็นต้องยำเกรง “หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมากเพคะ ขอบคุณไทเฮาที่ทรงเป็นห่วง ลำบากพระองค์ต้องมาเยี่ยมถึงตำหนักจินเยว่” “ลำบากอะไรกันเล่า ที่เจ้าต้องมาบาดเจ็บก็เพราะช่วยองค์ชายน้อยไว้ ข้าสิต้องขอบใจเจ้าให้มาก” อวี้เม่ยซาบซึ้งกับน้ำพระทัยของฮองไทเฮา เพราะไม่เพียงแค่มาเยี่ยม ยังให้คนนำทั้งยาบำรุง ผลไม้และอาหารของโปรดของนางมามอบให้หลากหลายอย่าง “เมื่อวานหม่อมฉันไม่ได้ไปรับพระองค์ที่พิธีต้อนรับ...” “อวี้เม่ย เจ้าเจ็บหนักขนาดนี้ จะให้ข้ากล่าวโทษเจ้าได้อย่างไร อย่าคิดมากเลยนะ” ฮองไทเฮากล่าวยินดีที่อีกไม่นานอวี้เม่ยก็จะได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์ เป็นสิ่งทรงหวังมานาน อยากให้ทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองกัน “งั้นเจ้าพักผ่อนให้มากล่ะ ไว้เจ้าหายดี ไปหาข้าที่ตำหนักกลางนะ ข้ามีผ้าไหมสวยๆ จะให้เจ้าเยอะเลย จะได้นำไปตัดชุดใส่ในงานพิธีต่างๆ ในวัง” อวี้เม่ยถวายพระพรฮองไทเฮา กล่าวขอบคุณในความเมตตาที่ทรงมีให้ตลอดมา ไม่ว่าจะตอนนี้หรืออนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น ก็ทรงอยู่ข้างอวี้เม่ยจวบจนวินาทีสุดท้าย “ทรงรักและเมตตากับคุณหนูเสมอเลยนะเจ้าคะ” อวี้เม่ยพยักหน้าเห็นด้วยกับฮุยอิน คล้อยหลังฮองไทเฮาไปไม่เท่าไหร่ เสียงของขันทีหนุ่มก็ดังขึ้นอีกครั้ง “องค์ชายห้าเสด็จ!!!” องค์ชายห้าเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้สักใบใหญ่ เขาวางมันลงต่อหน้าอวี้เม่ยทันทีที่นางกล่าวถวายพระพรเสร็จ “นี่คือโสมภูเขาชั้นดีที่สุดที่มีในห้องเครื่อง ไว้ให้คนในตำหนักจินเยว่ต้มให้ดื่มนะ” อวี้เม่ยลังเลแต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจจึงกล่าวขอบคุณไป “ขอบพระทัยที่ทรงเมตตา” “เห้อ...ไม่ชอบที่เจ้าพูดแบบนี้เลย” อวี้เม่ยทำหน้าไม่เข้าใจ “ก็รู้ว่าเจ้าต้องวางตัว รักษามารยาทของว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท แต่คำพูดเจ้ามันดูห่างเหินชอบกล ยังกับเป็นคนอื่น” จะว่าไปก็จริง ตอนเด็กๆ ก็คุยกันเฉกเช่นคนธรรมดาสามัญ ไม่มีราชาศัพท์ ไม่มีการถวายพระพร ไม่รู้ว่ามันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร “ขาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” “หมอหลวงบอกว่าแค่ขาแพลง ตอนนี้กลับมาเดินได้ตามปกติแล้วเพคะ” ฮุยอินตอบแทน “งั้นก็ดี อีกเดี๋ยวไท่จื่อคงมาเยี่ยมเจ้า” “ไท่จื่อ...เยี่ยม...ทำไมต้องมาเยี่ยมหม่อมฉันด้วย” “เอ้า! ก็เจ้าทำคุณงามความดี ทั่วทั้งวังเขาก็ลือกันทั้งนั้นว่าพี่สะใภ้ข้าจิตใจงามขนาดไหน” “ลือกันเรื่องที่องค์ชายห้าอุ้มคุณหนูมาถึงตำหนักด้วยเจ้าคะ” ฮุยอินกระซิบบอก น่าขายหน้าจริงๆ ทั้งเรื่องที่เลี่ยงจะไม่ให้ใส่ชุดซ้ำกับกุ้ยเฟย เรื่องที่ไม่ล้มกลิ้ง และเรื่องที่จะไม่ขายหน้าต่อคนหมู่มาก ถึงสถานที่และวิธีการจะไม่เหมือนเดิม แต่มันก็เกิดขึ้นอยู่ดีสินะ “ข้าไม่อยากพบไท่จื่อ!!!” ในฝัน... วันพิธีต้อนรับ ข้าที่ล้มไม่เป็นท่าขอตัวกลับตำหนัก ทำให้ไม่ได้พบกับหวงไท่จื่อ หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้นหวงไท่จื่อจึงมาเยี่ยมข้าตามพระบัญชาฮ่องเต้ ทรงดูเฉยชาเเละไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ถามด้วยว่าบาดเจ็บหรือไม่ ช่างน่าโมโห! “พูดอะไรของเจ้า ตั้งแต่เด็กเจ้าติดไท่จื่อจะตาย เอะอะก็ร้องเรียกหาแต่ไท่จื่อ อืม...ข้าจะแต่งกับองค์ชายสาม จะเป็นพระชายาองค์ชายสาม” องค์ชายห้าดัดเสียงพูดล้อเลียนจนอวี้เม่ยเริ่มหน้าแดง “นั่นมันเรื่องสมัยเด็ก...” จริงอยู่ที่ว่าอวี้เม่ยเคยพูดอย่างนั้น นางรู้สึกปลาบปลื้มและใจจดใจจ่อที่จะได้เข้าวัง อยากมาอยู่ใกล้หวงไท่จื่อ อยากอภิเษกเป็นพระชายาของเขา “แต่ตอนนี้ข้าไม่ชอบไท่จื่อแล้ว” องค์ชายห้าหลุดขำ “จะโกหกอะไรก็ให้มันน่าเชื่อหน่อย” อวี้เม่ยตั้งท่าจะเถียงกลับแต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ “เราไปดูเทาจินกันดีกว่า” เทาจินหรือก็คือม้าทรงเลี้ยงขององค์ชายห้า เป็นม้าสีขาวสวยสง่า ฉลาดแสนรู้และวิ่งเร็วมากๆ อวี้เม่ยชอบม้ามาตั้งแต่เด็ก พอเข้าวังทีไรเป็นต้องขอให้หวงไท่จื่อและองค์ชายห้าพาไปที่คอกม้าอยู่เสมอ แต่ด้วยความที่เป็นสตรีและถูกสอนให้รู้จักการวางตัว การขี่ม้าจึงนับว่าไม่เหมาะสมและไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำ “ไปดูเทาจิน? ตอนนี้หรือ?! ไม่เหมาะมั่ง เจ้าเจ็บขาอยู่ แล้วไท่จื่อก็จะมาหาเจ้าด้วย ถ้าเจ้าไม่อยู่คอยที่ตำหนัก ไท่จื่อคงไม่สบอารมณ์” “ช่างสิ ข้าก็ไม่สบอารมณ์ที่จะพบพระองค์เหมือนกัน” ว่าแล้วอวี้เม่ยก็หันไปสั่งให้ฮุยอินอยู่รับหน้ากับหวงไท่จื่อที่ตำหนักก่อนจะเดินกะเผลกนำหน้าองค์ชายห้าออกไป “เจ้าแปลกจริงๆ” “ยังไงเพคะ” “ก็ดูเจ้าสิ แปลก” “หม่อมฉันก็ว่าแปลก ไม่รู้เพราะสวรรค์เห็นใจหรืออยากซ้ำเติมอะไรกันแน่ ถึงรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็หยุดไม่ได้ ใครคิดไม่ซื่อ หม่อมฉันก็พอรู้ แต่คนอยู่เบื้องหลังนี่สิ หม่อมฉันยังเดาไม่ถูก” “หือ… บ่นอะไรของเจ้า ข้าไม่เห็นเข้าใจสักอย่าง” อวี้เม่ยเหล่ตามององค์ชายห้าพลางคิดว่าถ้าบอกความจริงเรื่องที่นางมองเห็นอนาคต จะทรงเชื่อไหม เพราะองค์ชายห้าก็ได้ชื่อว่าสนิทสนมกับนางมากที่สุด น่าจะไว้ใจและเชื่อนางบ้าง แต่ก็ยังวางใจไม่ได้เพราะเต๋อเฟย เสด็จแม่ของพระองค์ก็ร้ายไม่ใช่เล่น ขณะอวี้เม่ยกำลังชั่งใจว่าจะบอกหรือไม่บอกองค์ชายห้าดี เหล่าองค์ชายองค์อื่นๆ ก็เดินเข้ามาทักคนทั้งคู่เสียก่อน “ฉางอวี้เม่ย ถวายพระพรองค์ชายรอง องค์ชายแปด องค์ชายสิบสี่” องค์ชายทั้งสามพยักหน้า “ไม่ได้เจอกันนานนะอวี้เม่ย” องค์ชายรองเอ่ยทักก่อน ทั้งสามเป็นเหล่าองค์ชายที่อวี้เม่ยรู้จักมาก่อนแล้ว เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะไม่ได้สนิทเท่าองค์ชายห้า แต่ก็ถือได้ว่าใกล้เคียงพี่น้องท้องเดียวกัน “พี่รอง พี่ต้องเรียกนางว่า ว่าที่พระชายาสิถึงจะถูก” องค์ชายแปดบอก “ใช่เเล้ว ท่านพี่ต้องให้เกียรตินางด้วย อีกไม่นานก็จะได้ดองกันเเล้ว” องค์ชายสิบสี่เสริม ฟังดูก็รู้ว่าประชดประชัน องค์ชายรอง องค์ชายแปด องค์ชายสิบสี่ พวกท่านเองก็ทำร้ายข้าไว้มิใช่น้อย หนึ่งในพวกท่านคิดการก่อกบฏ แถมยังส่งคนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ โยนความผิดให้ข้าฉางอวี้เม่ยรับโทษ พวกคนชั่วช้า! “แล้วนี่ไท่จื่ออยู่ไหน ทำไมไม่มาดูแลว่าที่พระชายา” “พี่รองล่ะก็ พูดเหมือนไม่รู้จักไท่จื่อ” “น้องสิบสี่พูดถูก ทำไมไท่จื่อต้องลดตัวลงมาหาอวี้เม่ยด้วยเล่า อวี้เม่ยสิต้องเป็นฝ่ายเข้าหา...” “พวกท่านหยุดเสียที!!” องค์ชายทั้งสามตกใจยืนนิ่ง มองหน้ากันไปมาด้วยความงงงวยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของอวี้เม่ย เพราะโดยปกตินางเป็นสตรีเรียบร้อย วางตัวสำรวม พูดจาไพเราะ แต่อยู่ๆ กลับระเบิดอารมณ์ตะโกนใส่หน้าพวกเขา “ทำไมข้าจะต้องไปเข้าหาคนพันธุ์นั้นด้วย ข้าฉางอวี้เม่ยก็มีศักดิ์ศรี โดนทำขนาดนั้นจะให้กลับไปดีด้วยได้อย่างไร พวกท่านก็เหมือนกัน พูดอะไรเกรงใจกันบ้าง อนาคตข้าคือพี่สะใภ้พวกท่าน ควรให้เกียรติกันด้วย” องค์ชายทั้งหมดมองหน้ากัน นี่นางไปกินรังแตนที่ไหนมาถึงได้โกรธเกรี้ยวเช่นนี้ แม้แต่องค์ชายห้าเองก็ไม่เข้าใจนาง “อวี้เม่ย เจ้าเป็นอะไร” สายตาโกรธเกรี้ยวของอวี้เม่ยทำองค์ชายทั้งสี่เสียวสันหลัง “ข้าเกลียดพวกท่าน เกลียดไท่จื่อ เกลียดวังหลวง” “เดี๋ยวๆ นี่พวกข้าแค่พูดแหย่เจ้าเอง ทำไมถึงได้อารมณ์เสียเช่นนี้” องค์ชายสิบสี่กล่าวถาม “ตั้งแต่รู้จักกันไม่ยักเห็นเจ้าขึ้นเสียงใส่ใคร” อวี้เม่ยได้แต่ทำหน้าบึ้ง ไม่ตอบอะไร องค์ชายห้าจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าอยากไปดูเทาจินมิใช่หรือ งั้นเรารีบไปกันดีกว่า” “ไปดูเทาจิน? ตอนนี้? จะเหมาะเหรอน้องห้า ตอนนี้ในวังซุบซิบเรื่องพวกเจ้ากันอยู่นะ” องค์ชายรองพูดเตือน “นั่นสิ ก็เล่นอุ้มนางต่อธารกำนัลตั้งมาก เจ้าสองคนไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ควรเว้นระยะห่างบ้าง ถ้ามีข่าวลือไม่ดีสั่นคลอนถึงตำแหน่งว่าที่พระชายาจะแย่เอานะ” อวี้เม่ยได้ยินดังนั้นก็พูดโต้องค์ชายแปดทันควัน “องค์ชายทั้งสามอย่าเป็นกังวล แค่เรื่องนินทาใส่ร้ายป้ายสี หม่อมฉันไม่ถือสาหรอก คนไม่รู้มีปากก็พูดไปเรื่อย ความจริงเป็นยังไงหม่อมฉันรู้ดีที่สุด ดูอย่างองค์ชายสิ เจอหน้ากันแทนที่จะถามหาความจริง หรือแสดงความเป็นห่วงข้าสักนิดก็ไม่มี เสียแรงที่โตมาด้วยกัน” อวี้เม่ยนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในฝัน ยิ่งทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก ทั้งๆ ที่เห็นพวกเขาเป็นเพื่อนพี่น้อง แต่เหตุใดกลับกระทำเรื่องร้ายกาจกับนางได้ลงคอ องค์ชายทั้งหมดยืนอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ต่างคนต่างคิดว่านี่ใช่อวี้เม่ยที่พวกเขารู้จักหรือไม่ หรือนางถูกผีเข้าหรืออย่างไร ทำไมถึงพูดจาพิลึกพิลั่น ไม่เกรงกลัวฟ้าดินได้ขนาดนี้ มุมปากองค์ชายรองยกยิ้ม ข้าชักสนใจแล้วสิ... ขณะนั้นฮุยอินที่เป็นพี่เลี้ยงของอวี้เม่ยก็ได้เดินทำสมาธิ สงบจิตอย่าตื่นตระหนก ทั้งที่ในใจกังวลจนใกล้จะประสาทเสียอยู่เต็มที นี่ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเสียที ถ้าเกิดไท่จื่อเสด็จมาแล้วไม่เจอคุณหนูและเกิดกริ้ว ข้ามิโดนโบยหรอกหรือนี่!!! ฮุยอินเดินวนไปวนมา ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่เป็นอันทำอะไร กระทั่งได้ยินเสียงประกาศของขันที นางก็ถึงกลับหน้าถอดสี เข่าอ่อนรีบก้มหมอบทันที พลางคิดในใจ ข้าตายแน่...  “หม่อมฉันฮุยอินถวายพระพรไท่จื่อ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD