ไอยวรินทร์เหยียบย่างสู่ดินแดนทะเลทรายโดยสวัสดิภาพ เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วหญิงสาวก็ส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือหาพี่ชายฝาแฝดว่าได้มาที่ประเทศแลตโกเวียและจะกลับภายในเจ็ดวัน เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงถ้าหากรู้ว่าหล่อนหายไปจากบ้าน...
หญิงสาวเดินออกมานอกอาคารแล้วรับรู้ได้ถึงอากาศร้อนและแห้งจัด สายตาตื่นเต้นเหลียวมองรอบข้างก็เห็นว่ามีคนมากมายหลายชาติหลายภาษาต่างเดินกันขวักไขว่เพื่อเรียกแท็กซี่และขึ้นรถเข้าสู่ตัวเมือง แต่กระนั้นประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นชาวอาหรับที่แต่งกายอย่างมิดชิดและสวมเสื้อคลุมปิดตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้ดูแปลกตากว่าคนธรรมดา... บ้างก็สวมสีขาวบ้างก็สวมสีดำ และสตรีบางคนก็สวมอาบาญ่าสีสดใส โผล่มาเพียงแค่ดวงตาคม นัยน์ตาหวานซึ้งกับสันจมูกที่โด่งตามชาติพันธ์ ดูมีเสน่ห์และลึกลับมาก... หล่อนนึกถึงตัวเองตอนสวม อาบาญ่าแล้วก็รู้สึกเสียดายที่หน้าตาตัวเองออกเค้าเป็นสาว หมวยเกินไปไม่เข้าพวกกับแขกสาวๆ เหล่านี้ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงจะปลอมตัวเป็นชาวแลตโกเวียให้แนบเนียนเหมือนตอนที่ไปญี่ปุ่น ที่ชาวเมืองเอาแต่พูดภาษาญี่ปุ่นกับหล่อน เพราะนึกว่าเป็นคนชาติเดียวกันจนหล่อนนึกขำ...
ดินแดนที่หล่อนเหยียบย่างอยู่นี้มิใช่เมืองหลวงของแลตโกเวีย แต่เป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด จึงเป็นแหล่งที่พัฒนาด้านการท่องเที่ยวมากที่สุด ดังนั้นสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่เมืองนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าทุกเมือง...
ราสอัลไมคาราฟ โอ ช่างเป็นถ้อยคำที่ขลังเหลือเกิน... สวัสดี ดินแดนทะเลทรายสีทอง... ฉันจะเที่ยวให้ฉ่ำปอดก่อนกลับเมืองไทย ไอยวรินทร์พูดกับตัวเองในใจ
ไอยวรินทร์ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กเดินไปยังประตูทางออกที่สี่ที่เป็นจุดนัดพบ เพื่อจะขึ้นรถลีมูซีนเข้าโรงแรมลักชัวรี่อินน์ โรงแรมห้าดาวที่ใหญ่ที่สุดและแพงที่สุดในราสอัลไมคาราฟ ตรงจุดนัดพบมีผู้คนอยู่ไม่มาก มีเพียงชายแต่งชุดสากลสีดำสนิทอยู่สี่ห้าคน และมีรถลีมูซีนติดฟิล์มกรองแสงรอบคันสีดำสนิทอยู่หนึ่งคัน และคงเป็นรถโรงแรมที่ส่งมาต้อนรับแขกพิเศษจากการส่งข้อความเข้าชิงโชคอย่างหล่อน มันค่อนข้างทำให้หล่อนรู้สึกดีที่ไม่ต้องรอนานนัก ไอยวรินทร์เดินเข้าไปที่ประตูรถและส่งกระเป๋าให้ชายคนหนึ่งที่ยืนเฝ้า และมองหล่อนด้วยสายตาสนใจ เพราะคงคิดว่าหล่อนเป็นแขกที่รอรับอยู่
“สวัสดีค่ะ ฉันมิสไอยวรินทร์ที่มาจาก ดารายาอินทผลัม” หล่อนแนะนำตัวและส่งเอกสารยืนยันสิทธิ์ให้ชายชาวอาหรับคนนั้น และเปิดประตูรถลีมูซีนเข้าไปอย่างเร่งรีบ เพราะไม่อยากได้รับไอแดดร้อนๆ นานนัก
ยังไม่ทันที่หล่อนจะก้าวเข้าไปนั่ง หล่อนก็ต้องผงะถอยเมื่อเห็นว่าคนบนรถที่กำลังบดจูบกันอย่างแนบชิดสนิทสนมและเร่าร้อน มือไม้กอดก่ายกันแนบแน่น ราวกับว่ากำลังจะผสานเป็นเนื้อเดียวกันนั้นต้องแตกกระเจิงออกจากกันทันทีที่หล่อนเปิดประตูเข้าไป...
ไอยวรินทร์ร้องกรี๊ดเสียงดัง พอๆ กับเสียงร้องตวาดของชายหนุ่มที่อยู่ในรถที่ดังก้อง หากแต่มันเป็นภาษาอาหรับที่หล่อนฟังไม่เข้าใจ... หล่อนตกใจแล้วก็ทำหน้าเหลอหลาและถอยออกมาจากรถ เพื่อถามชายชาวอาหรับที่หล่อนเพิ่งยัดกระเป๋าตัวเองใส่มือให้
“นอกจากฉันแล้วพวกคุณยังรับแขกคนอื่นอีกเหรอคะ”
“อะไรกัน” ชายหนุ่มผลักหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดออกห่าง แล้วหันมาถามไอยวรินทร์อย่างคุกคามและมีสีหน้าถมึงทึงจนน่ากลัว... ไอยวรินทร์เบะปากใส่เขา นึกค่อนขอดในใจ ที่เขามาฟัดกันกลางที่สาธารณะและแทนที่จะเกรงใจแต่กลับโกรธหล่อน... รถนี้ก็เป็นรถของโรงแรม เขาช่างไม่รู้จักเกรงใจบ้างเสียเลย...
“มิสคงเข้าใจผิดครับ... รถยนต์คันนี้ไม่ใช่รถที่มารับมิส แต่เป็นรถยนต์ส่วนตัว” ชายที่รับกระเป๋าและเอกสารจาก ไอยวรินทร์ไปด้วยความงงในตอนแรกบอกหล่อนละล่ำละลัก หลังจากที่อ่านจดหมายที่หล่อนให้มาลวกๆ แล้ว
ตอนแรกที่หล่อนมาและยื่นซองให้นั้นเขาไม่นึกว่าหล่อนจะเปิดประตูรถเจ้านายของเขา เขาใช้เวลาเพียงเสี้ยวเดียวเปิดเอกสารเพื่อเช็กดู แต่หล่อนก็อาศัยช่วงเวลานั้นเปิดประตูรถลีมูซีนที่เจ้านายของเขาใช้เวลาส่วนตัวอยู่จนเกิดเรื่องขึ้นมา...
“โอ... ไม่ใช่รถของโรงแรมลักชัวรี่อินน์เหรอคะ งั้นฉันขอโทษค่ะ” ไอยวรินทร์ทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะค้อมหัวเอ่ยขอโทษคนที่ยืนทำหน้าเจื่อนอยู่ แล้วโผล่หัวเข้าไปให้รถ แล้วค้อมศีรษะขอโทษชายที่ทำหน้ายักษ์และหญิงสาวที่ทำหน้าเซ็งๆ อยู่ข้างเขา พร้อมประโยคที่เอ่ยแบบรู้สึกผิดเพียงเล็กน้อย...
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันเข้าใจผิดนึกว่าเป็นรถที่มารับ ฉันจึงถือวิสาสะเปิดประตู เชิญพวกคุณต่อเลยค่ะ” แล้วหล่อนก็ถอยออกมา พร้อมกับปิดประตูให้เขาและเธออย่างเรียบร้อยและนุ่มนวล...
“ตามสบายค่ะ” หล่อนบอกพร้อมกับดึงกระเป๋าเดินทางและซองจดหมายเดินห่างออกมาจากรถคันนั้น เพื่อรอคอยอยู่อีกจุดหนึ่งที่โดดเด่นแก่การมองเห็น เพื่อรอรถคันที่มารับตัวเองจริงๆ
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ข้างประตูรถมองหล่อนหน้าเหลอหลา ที่หล่อนมาแบบงงๆ แล้วก็ไปแบบงงๆ เขามองเข้าไปในรถที่ติดฟิล์มสีดำสนิท ไม่รู้ว่าเจ้านายเขาจะว่าอะไรหรือเปล่าที่หล่อนไปขัดจังหวะของเขา... แต่ขอให้ท่านชีคไม่ได้โกรธเคืองอะไร เพราะถ้าโกรธคนที่โดนก็เป็นเขา เพราะคนก่อเรื่องเดินหนีไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่โน่นแล้ว
“โอย บ้าที่สุดเลยยัยอัยย์ หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ดีที่มาคนเดียว ถ้าเกิดเพื่อนแกรู้เข้านะ คงได้เก็บเรื่องน่าอายนี้ไว้ประจานแกไปสามปีไม่ลืมแน่” ไอยวรินทร์พูดกับตัวเองแล้วยักไหล่ก่อนจะหัวเราะพรืดออกมาด้วยความขำกับอาการโก๊ะเปิ่นของตัวเองที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง... แต่ครั้งนี้มันสนุกและตื่นเต้นจริงๆ
หล่อนมองไปที่รถลีมูซีนสีดำมันปลาบนั้นแล้วก็ทำท่าขนลุกขึ้นมา เมื่อนึกถึงคนที่กำลังนัวเนียกันอยู่ในรถ... หน้าตาผู้ชายหนวดเคราเฟิ้มพอจะมองออกว่าหื่นมาก แต่ผู้หญิงนั้นออกจะสวยและน่าเสียดายที่ยอมมาเล่นวิปริตกันกลางแจ้ง... โธ่ถัง คนสมัยนี้นึกอย่างไรมาทำบัดสีกันอย่างนี้ที่ลานรับส่งผู้โดยสารที่สนามบิน โรงแรมก็มีออกเกลื่อนเมือง ไม่รู้จักไป... ถ้าตาหล่อนเป็นกุ้งยิงละก็ไม่ต้องสงสัย มันคงเป็นเพราะเห็นสองคนนี้นั่นแหละ...
“หยี ลามกจกเปรต... ไม่อายฟ้าดิน เลยโดนลงโทษให้เราไปขัดจังหวะ” หล่อนบ่นให้คนในรถแล้วก็หัวเราะอยู่คนเดียว โดยไม่นึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความผิดของตัวเองแม้แต่น้อย...