ต่อมาเป็นเวลาเลิกงาน ห้าโมงเย็นแล้วเบนจามินเซ็นเอกสารบนโต๊ะเสร็จพอดี ประจวบเหมาะกับอาทิตยาเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ทันได้เคาะ เพื่อจะเข้ามาบอกว่าเลิกงานแล้ว และพนักงานต่างทยอยกันกลับเช่นกัน
“คุณบี๋คะ ห้าโมงแล้ว รถจอดรถที่หน้าบริษัทแล้วนะคะ”
“อ๋อ ใช่พี่ลืมเวลาไปเลย อยากกลับแล้วล่ะสิ งั้นกลับพร้อมกันเดี๋ยวพี่จะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ซันนั่งแท็กซี่กลับเองได้ค่ะ ต้องไปเอารถที่คอนโดคุณโดมินิคด้วย” ไปเอารถที่คอนโดอย่างนั้นหรือ เกิดโดมินิครู้ว่าเธอจะไป ไม่รอดแน่ ทางที่ดีไม่ให้ไปจะดีกว่า เขาคิด
“เดี๋ยวพี่ไปส่งให้ถึงคอนโดเราอย่างปลอดภัยเลย”
“แต่ซันเป็นห่วงรถนะคะ”
“เอากุญแจมาเดี๋ยวให้คนขับรถไปจัดการให้” เบนจามินยืนยันเสียงแข็ง
“จะดีเหรอคะ ซันเกรงใจ” อาทิตยาดูท่าทางเกรงใจอย่างที่บอกนั่นแหละ แต่เจ้านายไปส่งเธอออกบ่อยเช่นกัน
“จะดีกว่านี้ถ้าไม่ขัดคำสั่ง ออกไปเก็บของได้แล้วไป” เขาออกปากไล่เสียงเรียบ ติดจะเค้นเสียงเล็กน้อยตามนิสัยของเจ้านาย
“ซันเก็บของเรียบร้อยแล้วค่ะ เหลือแต่จะมาเก็บของเจ้านาย” พูดจบอาทิตยาก็เก็บเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสียเลย เขาจึงต้องนั่งมองกระทั่งเก็บเสร็จ จากนั้นเธอจึงหยิบเอากระเป๋าเอกสารของเขาไปถือเอาไว้
“มีเอกสารอะไรอยากจะเอากลับไปทำที่บ้านไหมคะเจ้านาย” เธอถามอย่างรู้หน้าที่
“ไม่จ้ะ เอาไว้เสาร์อาทิตย์ดีกว่า รับรองได้เหนื่อยแน่” พูดราวกับว่าจะให้เธอเหนื่อยด้วยอย่างนั้นแหละ
“งั้นก็เชิญค่ะ” จบคำอาทิตยาก็เดินไปเปิดประตูห้องเอาไว้ให้ ซึ่งเป็นการกระทำกึ่งบังคับให้เจ้านายหนุ่มลุกจากเก้าอี้ จากนั้นเบนจามินก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยิ้มแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วตามไปพร้อมกับปรายตามองเธอและยิ้มอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าเป็นเลขาหรือเจ้านายกันแน่” เบนจามินว่า ติดจะแซวเสียมากกว่า จากนั้นจึงเดินผ่านไป ทว่าเธอไม่ได้ยิ้มรับสักเท่าไหร่ กลับตวัดหางตามองเขาอย่างงอนเง้าเสียอย่างนั้น
อาทิตยาจำเป็นต้องกลับรถคันเดียวกับเจ้านายหนุ่มรูปหล่อมาดขรึม ที่ใคร ๆ ต่างกลัวทุกครั้งที่เข้าใกล้ จะมีก็แต่เธอคนเดียวที่เข้าหน้าเบนจามินได้ติด กล้าต่อล้อต่อเถียงได้เป็นบางครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสวยหรือเพราะความสามารถที่ทำให้เจ้านายรักและเอ็นดูราวกับน้องสาว จนแทนตัวเองว่าพี่ได้ขนาดนี้ และแน่นอนว่ามันทำให้คนอิจฉา เพราะสาว ๆ หลายคนก็ตกหลุมรักเจ้านายจนอยากจะอยู่ใกล้บ้าง
เมื่อมาถึงรถ อาทิตยายังคงทำหน้าที่เลขานุการ ด้วยการเปิดประตูให้เจ้านายหนุ่มขึ้นไปนั่งก่อน จากนั้นจึงตามขึ้นไปนั่งเคียงข้าง พร้อมกับปิดประตูให้เรียบร้อย เสร็จแล้วรถจึงได้เคลื่อนออกไปจากหน้าบริษัท
“ซันชายน์ คิดยังไงเรื่องนายโดมเพื่อนพี่” อยู่เบนจามินก็ถามขึ้นขณะที่เธอนั่งเงียบ
“คิด? คิดเรื่องอะไรคะ” อาทิตยาแสร้งถามกลับราวกับไม่รู้ไม่ชี้
“เขาเป็นคนตรงไปตรงมา แล้วก็เปิดเผย ก็เห็นแล้วนี่” เบนจามินบอกเสียงเรียบพลางปรายตามองเธอเท่านั้น
“ยังค่ะ ซันยังไม่ได้คิดอะไรเลย เพิ่งรู้จักกันเอง แล้วที่เห็นซันยอมๆ เนี่ย ซันทำงานค่ะไม่ได้ทำเพราะว่าคิดเป็นอื่น”
“พี่ก็แค่ถาม ไม่เห็นต้องชักสีหน้าเลย เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยถามอีกที”
“ถามอีกครั้ง คำตอบก็เหมือนเดิมค่ะ คือซันไม่ได้คิดอะไร คุณบี๋ไม่ต้องมาทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อเลย”
“เปล่าซะหน่อย ไม่ได้เป็นพ่อสื่อแต่ถ้าซันอยากจะพิจารณานายโดมดูพี่ก็ไม่ว่าอะไร”
“ซันไม่รับพิจารณาคนเจ้าชู้ค่ะ ซันไม่ชอบ คุณบี๋ก็รู้”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่านายโดมเจ้าชู้ ยังไม่ได้คุยกันเลย”
“จะต้องให้ซันพูดตรง ๆ เหรอคะว่าเมื่อเช้าซันไปเจออะไรมาก”
“หือ ก็เอาสิที่พี่ให้ไปหาเจ้าโดมที่ห้องน่ะเป็นไง ขี้หลีกับเราอย่างนั้นเหรอ”
“เขาอยู่กับผู้หญิง ออกมาต้อนรับซันเนี่ยใส่แค่ผ้าเช็ดตัวทั้งคู่ คิดว่าเพิ่งมาเมืองไทยเนี่ยไม่ใช่แฟนแน่ ๆ ผู้ชายแบบนี้ คุณบี๋ยังจะกล้าให้จีบซันอีกเหรอคะ” คำบอกเล่าของอาทิตยาทำให้เขาอึ้งไปเลย แล้วเจ้าเพื่อนรักยังจะมีหน้าขอจีบได้อย่างหน้าตาเฉย
“อยู่กับผู้หญิงเลยเหรอ ให้ตายสิเสียภาพพจน์หมด ผู้ชายมันก็รักสนุกแบบนี้แหละ แต่เมื่อไหร่ที่เจอคนที่ใช่มันก็หยุดเอง”
“ซันยังไม่อยากมองใคร โดยเฉพาะคนแบบเพื่อนคุณบี๋”
“ไม่ได้ให้ลองคบเสียทีเดียว ดู ๆ กันไป” อะไรจะบังคับกันปานนี้ เธอคิด
“ดูเหมือนจะยัดเยียดนะคะ เอาล่ะซันจะไม่พูดเรื่องนี้กับคุณบี๋แล้ว เลิกถามซันได้แล้วค่ะ” ให้ตายเถอะ พูดอย่างกับเป็นเจ้านายเขาเสียเองอย่างนั้นแหละ เขาคิด ก่อนจะถอนหายใจทิ้งหนัก ๆ
“ก็... เอ่อ ไม่ถามตอนนี้ก็ได้” เบนจามินยังคิดถ้าว่ารอถามอีกครั้ง เธออาจจะเปลี่ยนใจอย่างนั้นสินะ
“ไม่มีตอนต่อไปค่ะ” พูดจบอาทิตยาก็สะบัดหน้ามองออกไปนอกรถ ทำทีเป็นไม่อยากคุยกับเขา พร้อมกับเงียบไปตลอดทาง ทว่าทำให้เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะคนขับรถยังขับออกนอกเส้นทางที่จะไปคอนโด ทำให้อดรนทนไม่ได้ต้องหันมามองหน้าเจ้านายหนุ่ม ราวกับจะตั้งคำถาม เพราะทางที่ไปคือบ้านเขาต่างหาก
“อะไร มองหน้าทำไม น่ารักเหรอมองหน้าเจ้านายแบบนี้น่ะ หือ” เบนจามินตำหนิเล็ก ๆ เมื่อเห็นว่าเธอขึงตาใส่แทนคำถาม
“ไม่ไปส่งซันที่คอนโดล่ะคะ ทางนี้จะไปบ้านคุณบี๋”
“อ๋อใช่ พี่ลืมบอกไป ไหน ๆ ก็นะ แวะไปทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนพี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวจะไปส่ง” เขาเจ้าเล่ห์ เธอคิดด้วยความหมั่นไส้
“ทำไมถึงไม่บอกซันตั้งแต่แรกคะ แล้วนี่จะให้ซันใส่ชุดทำงานแบบนี้จนกว่าจะทานมื้อเย็นเสร็จเลยใช่ไหม”
“อื้อ ก็น่ารักดี ซีเรียสทำไม” เบนจามินไม่ซีเรียสอย่างนั้นสินะ
“ซันก็กลัวคุณบี๋จะเหม็นกลิ่นตัวน่ะสิคะ แล้วอีกอย่างถ้าเหงา ทำไมไม่หาคุณผู้หญิงสักคนคะ ปีหน้าก็จะสี่สิบแล้วอีกอย่างจะได้มีลูกทันใช้ด้วย” ย้ำเหลือเกินกับคำว่าปีหน้าจะสี่สิบเนี่ย
“เรื่องอายุทำไมต้องย้ำกันขนาดนี้ด้วย หือ ถ้าเป็นคนอื่นนี่โดนดุไปแล้วนะ” เพราะอาทิตยา0รู้ตัวว่าพูดไปแล้วเขาไม่โกรธน่ะสิ เพราะรู้ว่าเขารักและเอ็นดูเธอมากแค่ไหน
“ยอมรับซะเถอะค่ะ ซันอยากเห็นคุณบี๋มีเพื่อนคุณคิด มีคนรู้ใจ เวลากลับมาบ้านก็จะได้มีคนทำอาหารอร่อยเอาไว้ให้ทาน ชีวิตจะได้มีความสุข ไม่ใช่ทำสีหน้าอมทุกข์เหมือนทุกวันที่ไปทำงาน เคร่งเครียดจนลูกน้องกลัวไปหมดแล้ว”
“ก็แล้วทำไมซันถึงไม่กลัวพี่ล่ะ”
“เพราะว่าซันเก่งน่ะสิคะ ได้มาทำงานก็เพราะว่าสวยและมีความสามารถที่คุณบี๋ต้องยอมรับ อีกอย่างหาเลขาที่รู้ใจคุณบี๋มาก ๆ แบบซันเนี่ย หายากนะคะ”
“อะไรจะชมตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย” เขาแซวพลางปรายตามองด้วยความหมั่นไส้
“ยอมรับเถอะค่ะ ซันรู้ใจคุณบี๋ทุกอย่าง ทุกเรื่องจนคุณบี๋ไม่กล้าไล่ซันออกแน่นอน ยังไม่ทันอ้าปากซันยังรู้เลยว่าจะสั่งอะไร หรือแม้กระทั่งแค่มองตา...” พูดจบอาทิตยาก็หันไปมองหน้าเขา และในจังหวะเดียวกันนั้นสายตาดันสบประสานกับเขาอย่างจัง ทำเอาเธอนิ่งไปเพราะไม่เคยจ้องเขาในระยะใกล้แบบนี้มาก่อน
“แล้วมองตาพี่ตอนนี้รู้ไหมว่าต้องการอะไร” เบนจามินแกล้งถามเพื่อแก้อาการเคอะเขินของตัวเองที่ก่อเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้
“เอ่อ คุณบี๋มีความลับบางอย่างที่เปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงคุณบี๋ก็ต้องการที่ปรึกษา เพื่อระบายความอึดอัดนั้น” ไม่รู้ว่าเธอคาดเดาจากอะไรแต่ถูกต้องเปะเลย
“ดูจากอะไรว่าพี่มีความลับ”
“ไม่บอกค่ะ” เธอยิ้มเยาะราวกับมีชัยเหนือกว่าเขา ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้คาดเดาหรอก แค่ประเมินสถานการณ์เมื่อตอนเที่ยงเท่านั้น เธอจำได้ที่โดมินิคพูดว่ามีเรื่องราวเมื่อสิบปีที่แล้ว เท่านี้ก็ทำให้เบนจามินมีอารมณ์ที่เปลี่ยนไป