“อ้าว ณี มาอยู่นี่เอง ทำไมไม่เข้าไปทานอะไรสักหน่อยในงานล่ะ...มาแอบอยู่ในห้องพักนี่ทำไม”
“ไม่หิวหรอกบี....” เสียงที่ตอบเบาโหวง
“บีก็ตามหาณีตั้งนาน ไม่รู้หายไปไหน แล้วทำไมแอบมาอยู่นี่ล่ะ” เพื่อนสาวยังคงห่วงใย
“บีมาก็ดีแล้ว เดี๋ยวณีว่าจะลากลับก่อนเดี๋ยวจะดึก” เธอลุกขึ้นแต่ยังไม่กล้ามองสบตากับเพื่อนรักนัก
“อ้าว...ตายจริงจะกลับแล้วหรือ...งั้นเดี๋ยวนะ....ขอถามคุณธาดาแป้บมีใครไปส่งได้มั่ง”
“ไม่ต้องบี... เรามาได้ก็กลับได้” ธาริณีรีบแย้งเสียงรัวเร็ว
“กลับด้วยชุดนี้น่ะนะ...อย่าเลยให้คนไปส่งดีที่สุด”
เป็นจังหวะเดียวกับที่สองพี่น้องเดินเข้ามาสมทบในห้องนั้นพอดิบพอดี ธาดามองมาที่ธาริณี
“อ่อ คุณณีอยู่นี่เอง บีเขาตามหาแทบแย่ครับ...ได้ทานอะไรรองท้องบ้างหรือยัง”
“ต้องขอโทษด้วยค่ะคุณธาดา....ณีแค่อยากจะพักค่ะ”
“เอ้อ...ธาดาคะ” แฟนสาวรีบเรียกขัดไว้พร้อมลุกเดินมาหา
“อ้าวคุณเล็ก คางไปโดนอะไรมาค่ะถึงได้แปะปาสเตอร์”
“อ๋อถูกคนสติไม่ค่อยดีเอาอะไรฟาดเอาน่ะหลบไม่ทัน” เขาพูดลอย ๆ ให้อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ได้ยินด้วย
“ใครกันสติไม่ดี...ที่งานเราก็เรียบร้อยดีนี่คะ” ว่าที่พี่สะใภ้นิ่วหน้า
“อย่าสนใจเลยครับแผลนิดเดียวไกลหัวใจตั้งเยอะ” เขาบอกเสียงประชดน้อย ๆ
“บีจะพูดอะไรกับผมเมื่อครู่” สามีหมาด ๆ หันกลับมาถามอีก
“เอ่อ..ธาริณีเขาจะกลับแล้วค่ะ บีอยากถามว่ามีใครที่คุณพอจะให้ขับรถไปส่งได้ไหมคะ บีไม่อยากให้กลับคนเดียวด้วยชุดแบบนี้ค่ะ”
“เอ....เดี๋ยวผมคิดก่อนนะ เด็กที่บริษัทผมกำลังสนุกกันด้วยสิจะมีใครว่างไหมหนอ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณธาดา...ณีกลับแท็กซี่เองได้ค่ะขอบคุณมาก ที่ณีรอนี่ก็เพื่ออยากบอกลาด้วยตัวเองน่ะค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงปกติ และพยายามที่จะจัดกระโปรงให้เข้าที่
“เออเล็ก...” ธาดาหันมาทางน้องชายที่ยืนนิ่งอยู่ “นายบอกจะกลับอยู่พอดีไม่ใช่เหรอวะ”
“ก็ใช่ แต่มันอาจจะคนละทางนะ...แต่ ...” เขาเหลือบตามองอีกฝ่าย
“ไม่ค่ะไม่...ณีกลับเองค่ะแท็กซี่เยอะ” ธาริณีเตรียมที่จะไป แล้วหันมาบอกเพื่อนอีกที
“ณี ณี...อย่าเพิ่งไปมันดึกแล้วนะ คนเดียวไม่อยากให้ไปน่ะ” หญิงสาวดึงแขนเพื่อนไว้
“ตาเล็กนายแวะส่งคุณณีก่อนแล้วกันนะ”
“ถามเจ้าตัวเขาสิจะไปกับผมไหม”
“ไปสิคะคุณเล็ก” เปล่าหรอกคนที่พูดกลับเป็นบีเพื่อนสาวรีบดันหลังธาริณีให้เดินตามทันที
พอทั้งคู่กลับมาในลิฟต์ตัวเดียวกันอีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกว่าไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรอีกหล่อนเลยเงียบเอาไว้ดีที่สุด จะบอกว่าไม่ไปด้วยก็เกรงจะเป็นจุดสนใจของเพื่อนและสามีเพื่อน จำใจต้องรับคำ คือไปทั้งที่ในหัวใจมันแอบกลัวลึก ๆ และสั่นไหวเล็กน้อย เพียงแอบภาวนาในใจว่าอย่าให้เขาทำอะไรอีกเลย แต่ดูท่าทางเข้าสิน่าหมั่นไส้เหลือเกินและเหมือนจะมาหาเรื่องพูดอยู่นั่นแหละ
“น่าเสียดายช่อดอกไม้สวย ๆ แทนนะ ไม่น่าถูกทำลายขนาดนั้นเลย"
ที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อนเมื่อกลับมาอยู่ในลิฟต์เพียงสองต่อสองอีกครั้ง
“คงไม่ได้เป็นเจ้าสาวอย่างที่วาดหวังแล้วละมั้ง”
“ฉันจะกลับเอง” หล่อนแทรกขึ้นไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันกับเขา
“ไม่ได้หรอกทั้งพี่ชายพี่สะใภ้ฝากมาขนาดนี้ผมทำตกหล่นไม่ได้” เขาว่าเสียงเย็น
“ไม่จำเป็นหรอกฉันจับแท็กซี่ไปไม่นานหรอก...เสียเวลาคุณเปล่าๆ”
“ยินดีเสียเวลา....” เสียเขาเรียบ ๆ
“คุณไม่ต้องมาทำเป็นหน้าเนื้อใจเสือกับฉันหรอก...คนอื่นไม่รู้ฉันรู้ดี ถอยออกไป”
ตอนท้ายหล่อนยังระมัดระวังตัวอยู่และพยายามถอยห่างจากร่างสูงของเขา ทำให้เจ้าของร่างสูงยิ้มหยันที่มุมปากขยับเข้าใกล้อีก ร่างบางต้องรนรานถอยชิดผนังลิฟต์
“คุณรู้ไว้ด้วย ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครทำให้ผมเสียเลือดได้ มีคุณคนเดียว ซึ่งคุณก็ต้องรับผิดชอบ...”
“รับผิดชอบ!” เกือบจะเป็นเสียงตะโกน ร่างหล่อนเกร็งมองหน้าเขาเขม็ง
“แล้วสิ่งที่คุณทำกับฉันล่ะ!” หล่อนหน้าเชิดขึ้นใส่เขาถามด้วยความคับแค้นใจ
“เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่โตมาก็ไม่มีใครมาทำกักขฬะกับฉันเท่ากับคุณเหมือนกัน แล้วอย่างนี้ใครจะรับผิดชอบ”
ชายหนุ่มอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดเวลาอยู่ใกล้ผู้หญิงปากร้ายคนนี่แล้วเขารู้สึกกระชุ่มกระชวยอยากต่อล้อต่อเถียง ยิ่งเห็นท่าทางตั้งรับของหล่อนแล้วยิ่งทำเขาอยากจะแกล้งมากขึ้น เขาเองก็ยอมรับว่าไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย แม้กับใครทั้งนั้น นอกจากยายปากร้ายคนนี้คนเดียว
“ผมทำอะไร” เขาแสร้งถาม
“คุณ......”
“ไหนลองสาธิตให้ผมดูสักหน่อยสิ เผื่อรื้อฟื้นความทรงจำได้มั่ง...” เขาว่ายิ้มๆ
“ตาบ้า คนบ๊อง บ้าบอที่สุดเลย”
“เอ๋าพูดแค่นี้หาว่าบ้าบอ ...แล้วถ้าทำแบบนี้ล่ะจะเรียกว่าอะไร"
“อุ๊ย ไม่นะ ปล่อย”
หล่อนร้องได้เท่านั้นจริง ๆ เมื่อเขาดึงร่างบางเข้าไปหาและกอดเอาไว้จรดจมูกโด่งลงมาที่ซอกคอ
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
ธาริณีพยายามเปล่งเสียงออกมา ร้องห้ามอีกครั้ง เมื่อมีจังหวะเหมาะ แต่ดูเหมือนคำขอกับการกระทำของอีกฝ่ายมันสวนทางกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่ฟังเธอหรือไม่ก็ไม่ได้เข้าโสตปราสาทของเขาเลย
“ลองดูซิว่าไม่มีอาวุธในมือแล้วจะทำอะไรได้”
เขาเลื่อนริมฝีปากมาประกบปากของหล่อนอย่างจงใจอีกครั้ง
“จูบตอบยังไม่เป็นเลยนะนี่ แล้วอย่างนี้อยากได้ช่อกุหลาบไปทำไม ฝึกให้คล่องเสียก่อนซี”
“อื้อ อื้อ”
ทำอะไรไม่ได้เลยสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของหล่อนตอนนี้ทำให้หล่อนรอโอกาส ธาริณีหยุดการดิ้นรนทำให้อีกฝ่ายหัวเราะในลำคออย่างพอใจ แล้วบทขยี้ริมฝีปากนั้นค่อยผ่อนแรงลงสอดลิ้นอุ่น ๆ เข้าหาอย่างต้องการความหวานหอมของอีกฝ่าย ยังไม่ทันที่เขาจะตวัดปลายลิ้นซอนไซลุกล้ำเข้าไปลึกอีก เขาก็รู้สึกเจ็บแปล็บที่ลิ้นทันที่ รีบผลักร่างบางออกจากตัวแล้วใช้มือคลำป้อย ๆ ที่ปาก
“ฤทธิ์เยอะจังนะ ตัวแค่นี้...มันต้องอย่างนี้สิ!” เขาจ้องอย่างพอใจ
“ก็ลองทำกับฉันอีกสิ..คิดเหรอว่าฉันจะไม่สู้”
นี่หล่อนมาเพื่อเจอซาตานเถื่อนให้เขาได้ลิ้มลองความหอมหวานจากร่างกายเธองั้นหรอ...
ธาริณีรู้สึกสมองปวดหนึบ พยายามเอ่ยถามตัวเองในใจ น้ำตารื้นคลอเบ้า สมองมึนชาสายตาเริ่มฝ่าฟางเพราะม่านตาเริ่มเอ่อด้วยน้ำใส ก่อนจะไหลอาบสองแก้มนวล
“เสียใจ... ร้องไห้... มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ ยังไม่ได้เสีย... สักหน่อย”
“ก็ลองถึงขั้นเสียสิ..ต้องข้ามศพฉันไปก่อนนั่นแหละ”
“โอ้โฮ....อย่าบอกนะว่ายังจิ้นอยู่”
“อะ อะ ไอ้คนบ้า!”
เหลืออดเสียแล้วตอนนี้ ทำไมเขาถึงตามระรานหล่อนอยู่ได้นะมีผู้หญิงอีกตั้งมากมายในงานนั้นมีสวย ๆ ก็เยอะแต่ทำไมเขาไม่ทำจ้องที่หล่อนคนเดียว
คราวนี้หล่อนแทบไม่ได้ตั้งตัวที่เขาคว้าร่างเข้าหาอ้อมกอดอีกครั้งก่อนจะจรดจมูกที่ซอกคอและริมฝีปาก หน้าผากไปทั่วหน้าก็ว่าได้จนเขาพอใจถอนหน้าออกไป
“บอกแล้วว่าอย่าหยาบคาย....ต้องถูกทำโทษ”
เสียงทุ้มแต่แผ่วเบาพอได้ยิน เอ่ยย้ำชัดและช้า ๆ ข้างติ่งหูขาวสะอาด พอใจกับการกระทำของตัวเอง
ใบหน้าหวานเอียงหลบ สายตาปิดสนิท ชาวาบไปทั้งกาย รับรู้ลมหายใจอุ่นร้อนใกล้ซอกคองามระหง แต่อาการนั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มอย่างเขา รับรู้ถึงความรังเกียจจากอีกฝ่าย กับกวาดสายตาลงไปกลางลำตัว พร้อมปล่อยให้ร่างบางเป็นอิสระจากการกระทำของตัวเอง
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแม้จะไม่เห็นหน้าคนพูด แต่ธาริณีสัมผัสได้แน่ชัด ว่าเป็นการเอ่ยอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะตัดสินใจปาดม่านน้ำตาทิ้งไปและหันมาเผชิญหน้า จ้องตอบอย่างแค้นเคือง แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาว่า
“กลัวตายละ”
เมื่อเจอสายตาคมที่มองมา คนตัวโตเอาแต่ใจแกล้งทำเป็นกลัว ขยับร่างหนาออกห่างไปหนึ่งก้าว