ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์แล้ว กานต์ฟื้นตัวจนหายดี คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่มีงานเลี้ยงวันเกิดของมิ่งที่จัดขึ้นที่สำนักงาน คนงานมากมายต่างพากันมาเข้าร่วมงาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เสียงหัวเราะ ร้องเพลง และการดื่มกินรอบกองไฟ
มิ่งนั่งชิดกับกานต์ หัวเราะพูดคุยและดื่มอย่างไม่ขาดสาย เสียงเพลงและเสียงหัวเราะของพวกเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่ามกลางความครึกครื้นนั้น บางคนกลับไม่รู้สึกสนุกไปด้วย ธนินยืนมองภาพนั้นจากที่ห่างออกมา ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา เขามองเห็นมิ่งที่นั่งใกล้ชิดกับกานต์มากเกินไป และท่าทางที่เป็นกันเองระหว่างพวกเขาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
นายหัวลมออกหูแล้ว ความอิจฉาและความโกรธที่ถูกกักเก็บมานานเริ่มปะทุขึ้นในใจของเขา เขาไม่สามารถทนดูภาพนั้นได้อีกต่อไป
ความคิดก็แล่นเข้ามาในหัวทันที
“คงต้องรีบรวบหัวรวบหางซะแล้วสินะ”
เขาคิดในใจ รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง ก่อนที่มิ่งจะคิดไม่ซื่อกับกานต์ ความใกล้ชิดและการหยอกล้อกันระหว่างมิ่งและกานต์ทำให้ธนินรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้ดีว่าตัวเองจะต้องลงมือก่อนที่อะไรจะเกินควบคุมไปมากกว่านี้ และแล้วภาพต่อไป
กานต์ที่เริ่มเมาได้ที่ คุยเล่นหัวกับมิ่งอย่างสนุกสนาน จู่ๆ กานต์ก็ลุกขึ้นยืนแต่โซเซไปมาอย่างคนไม่มีสติ ร่างของเขาเสียการทรงตัวจนเกือบล้ม มิ่งเห็นดังนั้นรีบคว้าตัวกานต์ไว้ แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งสองล้มลงไปด้วยกัน กานต์ทับร่างมิ่งเข้าอย่างจัง
ธนินที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล ลมออกหูทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความหึงหวงและโกรธเกรี้ยว ความอดทนของเขาถูกทดสอบอีกครั้ง เมื่อกานต์อยู่ในอ้อมกอดของคนอื่นแบบนั้น
“มึงวอนตายมากนะ ไอ้มิ่ง!”
ธนินขบเคี้ยวฟันพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ร่างสูงก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้ ก่อนจะกระชากแขนกานต์ขึ้นมาอย่างแรง ทำเอากานต์เซเล็กน้อยจากแรงดึง สายตาดุดันของธนินฉายแววหึงหวงและโกรธจนแทบคุมไม่อยู่ ราวกับไฟที่กำลังลุกโชนเผาไหม้อยู่ในอก
“กลับกันเถอะ คุณเมามากแล้ว!”
ธนินพูดเสียงเข้มก่อนจะกระชากร่างเมาของกานต์ที่เซถลาไปตามแรงดึงของเขาอย่างไม่ออมแรง ใบหน้าของธนินเคร่งเครียด สายตาคมจับจ้องกานต์ที่พยายามตั้งหลัก แต่ดูเหมือนแรงของธนินจะมากเกินไป จนกานต์ไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยให้เขาลากตัวไปตามใจ
“ไม่ไหวแล้วครับ...เดินไม่ไหวแล้วครับ ผมเวียนหัว...”
กานต์พูดเสียงอ้อแอ้ เอาแต่ใจ ก่อนจะนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
ธนินหันกลับมามองคนที่นั่งพับลงกับพื้น ถอนหายใจหนักๆ อย่างขัดใจ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากตวัดแขนขึ้นมาอุ้มกานต์แนบอก ก้าวยาวๆ พากานต์กลับไปบ้านพัก โดยไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ความหงุดหงิดและห่วงใยปนเปกันอยู่ในใจตลอดทาง
ในอ้อมแขนของธนิน ร่างขาวบอบบางของกานต์เมาไม่รู้เรื่อง เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาหม่นมัวจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ มือเล็กๆ ของกานต์โอบรอบคอของธนินอย่างอ่อนแรง แต่แล้วมืออีกข้างของเขาก็หย่อนลงไปอย่างไร้สติ มือเล็กๆ ของเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดก็ค่อยๆ สอดเข้าไปในคอเสื้อของธนินและสัมผัสกับแผงอกกว้างกำยำแสนเซ็กซี่นั้น
แผงอกของนายหัวหนุ่มที่มีรอยสักยันต์ขนาดใหญ่ปรากฏออกมา ชั่วขณะนั้น กานต์ที่เมาหมายตาไปที่แผงอกของธนิน ร่างเล็กในอ้อมแขนเขาขยับมือไปที่คอเสื้อของเขา มือเรียวขาวเล็กๆ ลูบไล้รอยสักบนแผงอกของธนินอย่างช้าๆ
ธนินมองดูมือที่ลูบไล้ไปตามแผงอกและยันต์บนร่างกายของเขา รู้สึกถึงความรู้สึกที่ร้อนแรงจากการสัมผัสนั้น ความรู้สึกของมือที่สัมผัสรอยสักทำให้ธนินรู้สึกสั่นไหวทั้งร่าง มันเป็นการยั่วยวนที่ทำให้เขาแทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ไหว
ธนินพยายามอย่างมากในการอุ้มร่างบางของกานต์ที่เมามายไปยังห้องนอน เขาค่อยๆ วางกานต์ลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะนอนเคียงข้างกับร่างที่นอนหลับอยู่
“โอ้ย! ร้อน! ร้อน!”
กานต์เริ่มรู้สึกอึดอัดและร้อนจัด จนลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่สบายตัวและเริ่มถอดเสื้อผ้าออกจากร่างขาวเนียนนั้นอย่างรุนแรง
ธนินมองลงไปที่เตียงโดยไม่สามารถละสายตาจากร่างบางที่เปลือยเปล่าตรงหน้า กานต์นอนอยู่ในท่าที่เปิดเผยร่างกายของเขาอย่างเต็มที่ ความเย้ายวนใจที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านั้นสร้างความรู้สึกที่ยากจะควบคุม
ร่างขาวโพลนของกานต์ดูนุ่มนวลและละเอียด สีแดงอ่อนๆของผิวที่แทบจะกลายเป็นสีชมพูเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ตัวของกานต์สะท้อนแสงในห้องให้เห็นถึงความละเอียดของผิว หัวนมเล็กๆ ที่ตั้งชูชันอย่างเย้ายวนและท้าท้ายนั่นก็ ดูน่าหลงใหลจนทำให้เขาแทบอดใจไม่ไหว
กานต์นอนอยู่ในท่าที่โบกมือไปมาบนเตียง ความร้อนที่รู้สึกได้จากร่างของเขา และการที่เขาไม่สามารถควบคุมการกระทำของตัวเองได้ สายตาของธนินเห็นความเซ็กซี่เกินจะห้ามใจในท่าทางนั้น เสียงของกานต์ครางเบาๆอ้อแอ้พลิกตัวไปมา ทำให้ธนินรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กำลังเพิ่มขึ้น
ธนินกลืนน้ำลายอีกครั้ง สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่กานต์ รู้สึกถึงความท้าทายที่ไม่สามารถละสายตาไปจากความเย้ายวนใจที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า การกระทำที่ไม่มีการควบคุมทำให้เขาต้องดึงตัวเองออกไปชั่วขณะเพื่อพยายามเย็นลงและคิดให้รอบคอบก่อนที่จะทำอะไรที่อาจจะทำให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น
“ไอ้เด็กบ้านี่”