ลินจันทร์เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าด้วยความเศร้าสร้อย หล่อนตัดสินใจหลบหน้าคนคุ้นเคย หากไม่ต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ จิตใจอาจจะดีขึ้น แต่อีกใจกลับกลัวปลายทางข้างหน้า ด้วยไม่รู้ว่ามีสิ่งใดรออยู่ ‘บ้านหนองใสดินงาม’ คือจุดหมายที่ลินจันทร์กำลังจะบ่ายหน้าไป
หลายปีก่อนหล่อนเคยพบสิ่งดีๆ ที่นั่น ถึงจะมีเรื่องน่ารังเกียจของผู้ชายบ้านนอกหื่นกามซึ่งสะกิดใจอยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเป็นเพียงส่วนน้อยนิด หากเทียบกับความสุขซึ่งเคยได้รับ การสร้างห้องสมุดให้ชุมชนในวันครั้งนั้น สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม หัวใจลินจันทร์อิ่มเอมสุขล้น กิจกรรมเล็กๆ ได้สานต่อให้หล่อนพร้อมเพื่อนในกลุ่มก่อตั้งชมรมสานเจตนารมณ์การเป็นผู้ให้จนถึงทุกวันนี้
หญิงสาวรวบรวมทุนสร้างโครงการจิตอาสา ‘พี่ช่วยน้อง’ โดย
ได้รับทุนส่วนหนึ่งจากบริษัทของรหัทตลอดมา เหตุผลที่หล่อนเป็นตัวตั้งตัวตีเดินหน้าทำงานด้านนี้ เพราะยากเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของชีวิต
หล่อนรูดซิปกระเป๋าช้าๆ สะเทือนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งชีวิตรักของตน จนถึงการปะทะคารมกับพี่สาว หลังจากพยายามพูดถึงสิ่งที่อัดอันในใจให้เธอฟัง แต่ความหลงสามีทำให้พุดตานอยู่ในอาการตาบอดสนิท มองไม่ออกว่าสมชายผู้เป็นพี่เขยคิดจะเคลมน้องเมียทุกครั้งที่มีโอกาส
แต่ลินจันทร์ก็รู้ถึงความทุกข์ของพุดตาน ตั้งแต่อยู่กินกับสมชายมาร่วมสิบปี ก็ไม่มีวี่แววมาจะท้อง ทั้งที่งัดกลเม็ดเด็ดพลายมาใช้อย่างนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าปั๊มลูกมาชั่วนาตาปี ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสมชายแก่จนไม่มีน้ำยา หรือด้วยความบกพร่องด้านสุขภาพของพุดตาน หากสุดท้ายก็ลงเอยว่าพวกเขาไม่สามารถมีโซ่ทองคล้องใจได้
จวบจนได้ปรึกษาหมอท่านหนึ่งการ‘อุ้มบุญ’ จึงผุดในหัวพุดตาน พอมีทางเลือกเธอก็เกิดความหวัง ทว่าสำหรับเมืองไทยการหาคนมาอุ้มบุญที่ไว้ใจได้ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร การอุ้มบุญจึงกลายเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับครอบครัวพุดตานอย่างเลี่ยงมิได้
พอไม่สามารถมีลูกให้สมชาย เ*******ูจึงหาทางกินเล็กกินน้อยไปทั่ว หนึ่งในนั้นก็คือลินจันทร์ เรื่องนี้ทำให้พุดตานกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
ลินจันทร์เงยหน้าขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นพี่สาวก้าวเข้ามาในห้อง
“ฉันบอกแกว่ายังไง ถามหน่อยเถอะจะแบกหน้าไปอยู่กับคนอื่นคิดดีแล้วหรือ ถ้าไม่อยากอยู่บ้านฉันก็ไปหาเช่าห้องสิ ทำตัวอย่างกับเป็นเด็กๆ ไม่พอใจอะไรก็เอาแต่หลบหน้า”พุดตานแว้ดใส่ใจจริงอยากจะสรรหาคำพูดดีๆ เพื่อรั้งน้องสาว แต่ก็เหมือนมีก้อนเหนียวหนืดติดอยู่ตรงลำคอ เธอเลยแสดงความโกรธเกรี้ยวเข้าหาแทน
“ขืนอยู่กับพี่คงได้เป็นเมียเฮียสมชายสักวัน”หล่อนปากคอสั่น กระดากใจไม่น้อยที่เอ่ยอย่างนั้น “เอาอะไรมาพูด เฮียเขาไม่ทำรุ่มร่ามแบบนั้นหรอก...”ผู้เป็นพี่สาวเนื้อเต้น ดวงตาแดงก่ำ
“ถ้ารักเฮียบ้ากามมากก็ไม่ต้องมาสนใจลูกจันทร์ ถึงเวลาที่ลูกจันทร์ต้องออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองแล้ว ให้มาแบมือขอเงินเขาใช้แบบนี้ ลูกจันทร์อาย ! “
หล่อนตอบเสียงสะบัด ใจเดือดปุดๆ หลายครั้งที่พี่เขยเข้ามาเกาะแกะตน พุดตานก็ไม่เคยห้ามปราม
ลินจันทร์จึงนึกครั่นคร้ามใจ กลัวว่าคนที่พี่สาวตั้งใจอยากให้อุ้มบุญคือหล่อน อนิจจา...หากเป็นความจริง แค่คิดหัวใจก็แตกสลาย
“โอ๊ย แค่ได้ยินคนอื่นบอกว่าเฮียไปนอนกับผู้หญิงอื่น ฉันก็จะบ้าตายอยู่แล้ว แกยังจะหาเรื่องให้กลุ้มใจไปถึงไหน”
“...ต่อไปนี้พี่น้ำตาลไม่ต้องกลุ้มใจเรื่องลูกจันทร์แล้ว พอฉันไม่อยู่ จะได้มีเวลาจับตาดูเฮียไงว่ามันไปทำระยำตำบอนที่ไหนบ้าง”
“ลูกจันทร์! รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่หน่อยเถอะ เฮียเขามีบุญคุณกับเราแค่ไหนหัดคิดบ้าง...ถ้าไม่เห็นว่าเป็นน้องคลานตามกันมา ฉันส่งแกให้พวกลูกเจ้าของเขียงหมูไปตั้งแต่เป็นสาวรุ่นๆ แล้ว”
“เป็นเมียพ่อค้าในตลาดก็ดี จะได้ไม่ต้องเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าใช้ผัวคนเดียวกันกับพี่สาว”สิ่งที่เอ่ยนั้นเจ็บเสียยิ่งกว่าการตบลงบนหน้าพุดตานเป็นร้อยเท่าพันทวี
ลินจันทร์ลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าใบเล็กที่จัดของใช้กระจุกกระจิก หล่อนแอบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความน้อยใจ แปลกนักเมื่อครั้งยังเด็กหล่อนกับพี่สาวรักกันมาก แต่พอเข็มชีวิตเดินทางมาถึงวันนี้ ลินจันทร์รับรู้ด้วยหัวใจว่าหล่อนกับพุดตานต่างสร้างกำแพงใจขึ้น
พุดตานนิ่งงันไปครูหนึ่ง เธอเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของลินจันทร์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเคยอดมื้อกินมื้อ ทุกข์ยากแค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งกัน กระทั่งได้มาใช้ชีวิตคู่กับชายซึ่งแก่คราวพ่อลินจันทร์จึงเกิดวิตกจริตหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคืออาการหวาดกลัวความเจ้าชู้ของสามี
“ถ้ายังรักคุณเชน ก็อภัยเขาเสีย รู้จักฟังเหตุผลบ้าง คนรักกันต้องให้อภัยกันอย่าหัวแข็งไปหน่อยเลย ชีวิตแกมีผู้ชายรวยๆ มาสนใจบุญเท่าไหร่แล้ว อยากกลับไปอยู่บ้านเท่ารูหนูเหมือนก่อนรึไง”
“ฮึ ต่อให้ต้องอยู่สลัมอดมื้อกินมื้อก็ดีกว่าอยู่กับผู้ชายที่ไม่ซื่อสัตย์!! ”ลินจันทร์เสียงแข็ง ‘ความซื่อสัตย์’ คำนี้มันกรีดก้องในใจ
“ฉันถามหน่อย ความซื่อสัตย์มันทำให้แกสุขสบายไหม?”
“มีความสุขที่ใจยังไงล่ะพี่น้ำตาล มันทำให้ลูกจันทร์รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า”
“ตามใจเถอะ...แต่ถ้าคิดจะเลิกกับคุณเชนจริงๆ ก็ไม่เห็นต้องหนีไปอยู่ที่อื่น เรามีกันแค่สองคนนะลูกจันทร์”
“แน่ใจนะว่ามีกันแค่สองคน แล้วเฮียละพี่เอามันไปไว้ที่ไหน”
“พูดดีด้วยก็แล้ว หัวดื้อไม่รู้จักฟัง...อย่างแกไปอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้นความทุกข์ที่ติดอยู่ในใจหรอก”
“ดูสิไม่ให้พรแล้วยังมาแช่งอีก ปากอย่างงี้ไงเด็กมันถึงไม่อยากมาอยู่ด้วย”ลินจันทร์หัวเราะขื่นๆ พลางใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“เฮ้อ...แล้วบ้านนอกคอกนาอย่างนั้นจะอยู่ได้ยังไง แล้วเพื่อนแกคนนั้นไม่เจอกันกี่ปีแล้ว จู่ๆ ไปอาศัยเขาทำตัวอย่างกับบ้านช่องไม่มีซุกหัว...เกิดไปพลาดท่าเสียตัวให้ผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าขึ้นมาแกจะทำยังไง”
“พี่น้ำตาล! พูดเหมือนไม่รู้จักน้องสาวตัวเอง ไปเลย ไปดูผัวดีกว่าไหม ป่านนี้คงวิ่งแก้ผ้าไล่ปล้ำหมาตัวเมียที่ไหนก็ไม่รู้”
“นังลูกจันทร์! ผัวฉันๆ รู้จักดี ตอนนี้คงทำงานงกๆ หาเงินมาให้แกเสวยสุขเป็นคุณนายลินจันทร์น่ะสิ”
“...เงินของเขาสักวันลูกจันทร์จะหามาคืนทุกบาททุกสตางค์รับรองไม่เอามาใช้ฟรีๆ แน่”
“ฉันไม่อยากให้แกคิดอย่างนั้นนะ…พี่ขอโทษ”เมื่อเห็นดวงตาคู่งามวาวโรจน์คนเป็นพี่ก็ใจอ่อน กลัวความคิดของหล่อนยิ่งนัก “ลูกจันทร์จะไม่ยอมเป็นหนี้เขา ขอจบกันแค่ชาตินี้ ไม่อยากตามไปชดใช้ชาติอื่นเป็นห่วงก็แต่พี่น้ำตาล เมื่อไหร่จะดูออกว่าเฮียมันหน้ามืดแค่ไหน ทั้งเสมียนที่โรงพิมพ์ ไหนจะสาวๆ ที่ร้านอาหารอีก ดูเอาเถอะระรี้ระริกทั้งตัวผู้ตัวเมีย!”
“ลูกจันทร์! หยุดพูดพล่อยๆเสียที”
“โอ๊ย! เมื่อไหร่จะเลิกทำเป็นหูหนวกตาบอดสักทีพี่น้ำตาล...”ไม่ทันที่ลินจันทร์จะเอ่ยจบประโยคเสียงประตูห้องก็ดังปังขึ้น การปรับความเข้าใจกับพุดตานพังลงไม่แพ้ชีวิตรักของหล่อนกับรหัท
ลินจันทร์ซุกหน้ากับหมอนด้วยใจที่ทุกข์หนัก คีรษะปวดตุบๆ เมื่อนึกถึงภาพในวันวานพุดตานพาหล่อนหนีออกมาจากครอบครัวใหม่ของพ่อ เพราะถูกกดขี่สารพัด และสิ่งที่จำได้ขึ้นใจในวัยสิบขวบก็คือคำกล่าวหาของแม่เลี้ยงที่บอกว่าแม่บัวของหล่อนขายตัวให้ชาวชายชาวต่างชาติ และหนีไปเสวยสุขที่ต่างประเทศ!