นางคือมารดาที่ถูกนำพา

1219 Words
“ข้าไม่เคยมีใจให้เจ้า!!” คำพูดที่ดังก้องมาตามลมทำให้เหยียนน่าแทบจะลงไปทรุดกายนั่งแล้วเอามืออุดหูของตน แต่นางก็ไม่ได้ทำ ยามนี้สิ่งที่นางกำลังทำอย่างตั้งใจก็คือการจับจ้องไปยังหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างเช่อหลางผู้นั้นอย่างเคียดแค้น เพราะมัน!!นางจึงได้ไม่มีค่าในสายตาของเขา จากนั้นนางก็สะบัดหน้าเดินจากไปปล่อยให้เหยียนเชียนยืนหน้าซีดอยู่เพียงผู้เดียว “ท่านป้ารอง ท่านควรจะต้องเตรียมคำพูดไปอธิบายให้ท่านย่าฟังเสียหน่อยแล้ว ว่าเหตุใดท่านและหลานสาวของท่านถึงได้กล้ามาทำกิริยาเสียมารยาทต่อว่าที่ฮูหยินของข้าที่เป็นแขกของท่านย่า เชิญ!” ชายหนุ่มพยักหน้าให้บ่าวหญิงมากุมตัวของผู้เป็นป้าสะใภ้นำไปพบผู้เป็นย่า ก่อนจะหันมามองสำรวจร่างบางในอ้อมแขนอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดจึงได้ละมือจากท่อนแขนกลมกลึงอย่านึกเสียดายอยู่ลึกๆ “ข้าว่าท่านควรจะไปปรับความเข้าใจกับนางเสียหน่อยนะเจ้าคะ ว่าข้าไม่ได้คิดที่จะแย่งชิงท่านมาจากนาง เพราะหากมีครั้งหน้าที่นางมาหาเรื่องข้าเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจอีก” เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาด้วยอากัปกิริยาที่จ้องมองมายังเขานิ่งๆแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที “ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดกับนาง ไม่เคยคิดและไม่มีวันคิดด้วย และที่สำคัญข้ากำลังจะมีฮูหยินแล้ว จะไปคิดถึงหญิงอื่นได้เช่นไร” เห็นท่าทางที่ร้อนรนของคนตรงหน้า หญิงสาวพาลให้รู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก ‘หึ!เสน่ห์แรงเสียจริงนะ’ “อ้อ แล้วอาซู่อยู่ไหนหรือ” “ข้าอยู่นี่ขอรับท่านพ่อ” เสียงเล็กๆเอ่ยตอบขึ้นมาทันควันอย่างยินดีเมื่อได้ยินผู้เป็นบิดาเอ่ยถึง ร่างเล็กจ้ำม่ำปรากฎกายขึ้นต่อหน้าบิดาก่อนจะวิ่งไปจูงมือหนา “ท่านพ่อ คิดถึงอาซู่หรือขอรับ” ใบหน้ากลมราวกับซาลาเปาลูกน้อยๆแหงนขึ้นมาถามด้วยรอยยิ้ม “ใช่พ่อคิดถึงเจ้า อีกทั้งอยากจะขอบใจเจ้าที่ไปบอกให้พ่อมาช่วยมารดาของเจ้าด้วย เก่งเสียจริงอาซู่ของพ่อ” ร่างหนาย่อกายลงไปนั่งก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวน้อยๆนั้นอย่างรู้สึกรักใคร่ “เข้าไปข้างในกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ว่านถิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามีบ่าวเดินผ่านไปมาหน้าห้องโถงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างโจ่งแจ้ง แต่ย่อมจะต้องเงี่ยหูฟังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ นางจึงชักชวนให้สองพ่อลูกเข้าไปพูดคุยกันต่อยังด้านในห้องพัก สองพ่อลูกจึงเดินจูงมือกันเข้าไปอย่างมีความสุขจนผู้ที่จับพลัดจับผลูเป็นมารดาอย่างนางยังอดที่จะยกยิ้มขึ้นมาจนเต็มใบหน้าไม่ได้ ด้วยตั้งแต่ที่นางสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของดวงวิญญาณของบุตรชายตัวน้อยเมื่อเกือบสามปีก่อน เขาก็มักจะพร่ำบ่นคิดถึงบิดาอยู่เสมอ ในบางครั้งที่นอนหลับยังถึงกับละเมอเอ่ยออกมาว่าตนพบมารดาแล้วเหลือแต่บิดาเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อสี่เดือนก่อนที่นางได้หลับฝันไปว่า ’มีเสียงที่ดังมาจากบนท้องฟ้าบอกว่านางจะต้องช่วยบุตรชายตามหาผู้เป็นบิดาก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดที่ในทุกร้อยปีจะมีหนึ่งครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกหกเดือนข้างหน้า มิเช่นนั้นเขาอาจจะต้องประสบพบกับความยากลำบากในการจุติอีกครั้ง’ ยามนั้นเมื่อตื่นขึ้นนางจึงเรียกวิญญาณของบุตรชายมาและเล่าถึงสิ่งที่นางฝันให้เขาฟัง ไม่นึกว่าเด็กน้อยจะรู้อยู่แล้ว เขาจึงมักจะล่องลอยออกไปตามหาผู้เป็นบิดาอยู่ในทุกค่ำคืนโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวให้นางรู้ ทำให้หญิงรู้สึกผิดยิ่งนักที่ในยามนั้นนางไม่ได้ใส่ใจในความเป็นไปของวิญญาณบุตรชายมากมายนัก ด้วยเพราะนางคิดไปเองว่าเขาอาจจะเป็นดั่งเช่นกุมารทองเฉกเช่นในยุคปัจจุบันที่ผู้คนมักจะนับถือและกราบไหว้บูชากันเท่านั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจมากมาย แต่เมื่อได้รู้ถึงความจริง นับจากวันนั้นนางจึงพาเขาออกเดินทางไปจนเกือบทั่วแคว้นเพื่อตามหาบิดาที่มีธาตุหยางลึกล้ำตามที่เขาต้องการ ใช่แล้ว! เพราะก่อนที่นางจะหลุดมาอยู่ในยุคนี้ นางมาจากอีกยุคหนึ่งที่มีวิวัฒนาการที่ทันสมัยล้ำหน้ากว่าในยุคนี้มาก และเหตุผลที่นางได้หลุดมาอยู่ที่นี่ก็เป็นเพราะว่าบุตรชายผู้นี้เป็นคนดึงดูดให้นางมา ซึ่งนางยังจำได้ดีว่ายามนั้นนางกำลังต่อสู้อยู่กับคนร้ายที่เข้ามาก่อจราจลในเมือง และคิดที่จะกระชากกระเป๋าถือของหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งในยามนั้นนางพึ่งจะกลับมาจากการฝึกเพื่อที่จะปฏิบัติงานในกองกำลังปฏิบัติภารกิจลับ ของหน่วยพิเศษทางน้ำของรัฐบาล ในระหว่างการต่อสู้นั้น คนร้ายที่เป็นหัวโจกได้เล็งปืนมายังนาง แต่ในขณะที่ยิงออกมากลับมีเด็กคนหนึ่งโผล่มาขวางทางลูกกระสุนเอาไว้ ก่อนจะฉุดดึงมือของนางให้ถลาตกลงไปในหลุมอากาศก่อนจะมาโผล่ที่แคว้นอันไกลโพ้นนี้ นับจากนั้นมานางก็เลยต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็นับว่ายังดี ที่บุตรชายของนางยังรับผิดชอบในการกระทำด้วยการมอบทรัพย์สมบัติก้อนหนึ่งให้นางสามารถทำทุนในการตั้งกิจการเลี้ยงตัวอยู่ในเมืองนั้น จนกระทั่งได้พากันออกมาตามหาบิดาของเขาจนถึงวันนี้ “ท่านพ่อ คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่ทั้งสามคนเลยใช่มั้ยขอรับ” แว่วเสียงเอ่ยถามจากอาซู่ที่ดังขึ้นมา ทำให้นางหลุดออกจากภวังค์ความคิด ก่อนที่จะรู้สึกราวกับว่าตื่นเต็มตาเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของชายหนุ่ม “เอ อาซู่ต้องการอย่างนั้นหรือ ย่อมได้อยู่แล้ว” “ไม่ได้หรอกอาซู่ ทำเช่นนั้นไม่ได้” เสียงหวานเอ่ยขัดขึ้นมา ก่อนจะหันไปแง้มประตูเอาไว้เล็กน้อยอย่างไม่ให้น่าเกลียด ก่อนจะก้าวเข้าไปหาสองพ่อลูก โดยหญิงสาวหลงลืมไปว่า ยุคนี้หนุ่มสาวที่ยังไม่ได้ตบแต่งเป็นสามีภรรยากันย่อมไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันสองต่อสองในที่ลับตาได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD