Ding Dong! ~
ออดเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนทยอยกลับบ้านอย่างไม่มีใครลังเล ยกเว้นคนที่ต้องอยู่ทำกิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียน และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ฉันสังกัดชมรมดนตรีเช่นเดียวกับบลายธ์ แต่อยู่คนละแผนก เครื่องดนตรีที่ฉันเล่นไม่ใช่เปียโนเพราะฉันไม่อยากโดนเปรียบเทียบเวลาอยู่บ้าน เพราะงั้นฉันจึงเลือกเล่นดนตรีไทยแทน ถึงจะเป็นชมรมดนตรีเหมือนกันแต่เราก็ซ้อมกันคนละห้อง
เสียงเปียโนแว่วมาตามสายลมระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินไปห้องซ้อม พลางนึกสงสัยว่าอะไรกันนะที่ทำให้บลายธ์หลงใหลในเปียโนมากขนาดนี้ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยปากถามเธออย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักครั้ง...
ฟึ่บ!
ฉันชะงักกึก! เมื่อเดินอยู่ดีๆ ก็มีมือใครบางคนยื่นมือออกมาขวาง
“เมฆ!” ฉันเรียกชื่อหมอนั่นออกมาอย่างตกใจ ทำไมเขามาอยู่นี่ได้ล่ะ วันนี้ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรสักหน่อย
ปกติเมฆจะเป็นคนขับรถมาส่งบลายธ์ที่โรงเรียน ส่วนตอนกลับฉันกับบลายธ์จะนั่งแท็กซี่กลับด้วยกันเพราะต้องอยู่ซ้อมดนตรีเวลากลับบ้านเลยไม่แน่นอน หมอนี่จะมารับก็เฉพาะวันที่มีธุระสำคัญอย่างเมื่อวานเท่านั้น
“เธอดูสบายใจจังเลยนะ” หมอนั่นจ้องหน้าฉันนิ่ง
ฉันขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อยากจะพูดอะไรกันแน่ แล้วมาเนี่ยมีธุระอะไร”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน บอกใครหรือเปล่า”
“เปล่า” ฉันตอบเสียงปัดๆ พลางเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรำคาญ
“ก็ดี! ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนั้น”
ฉันหันขวับกลับมามองหน้าเมฆทันที
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่นายเป็นลูกอีกคนของ...” ฉันชะงักรู้สึกอึดอัดที่จะพูดมันออกมาก่อนจะข้ามไปพูดอีกประโยคหนึ่งที่ยังค้างในใจ “...หรือเรื่องที่แม่นายติดหนี้พวกยากูซ่ากันล่ะ”
เมฆหน้าตึงขึ้นมาทันที แววตาที่ดูเย็นชาอยู่แล้วยิ่งเย็นชาเข้าไปใหญ่
“ช็อกมากเหรอที่รู้ว่าฉันเป็นพี่”
“เปล่า... ไม่ใช่แบบนั้น” ฉันพูดออกมาด้วยความรู้สึกอ่อนใจ
“หึ! ฉันแค่จะมาบอกว่ามันไม่คุ้มหรอกที่จะไปเล่นตามเกมของยากูซ่า เธออย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า เพราะเท่าที่ได้ยินมาคิเรย์น่ะร้ายกาจกว่าเก็นริวเป็นร้อยเท่า! ส่วนเรื่องเงินฉันจะรีบหาทางรวบรวมไปคืนมันเอง”
“เป็นห่วงฉันเหรอ”
เมฆชะงัก... หมอนั่นมองฉันด้วยสายตาราบเรียบ
“ใช่! เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอฉันเองก็จะเดือดร้อนไปด้วย!”
ที่แท้ก็ห่วงตัวเอง เหอะ!
“เข้าใจใช่ไหม!? ถ้าไม่อยากถูกเผาก็อย่าไปเล่นกับไฟ!”
“แล้วถ้าไฟมันวิ่งเข้ามาหาเราเองล่ะ นายจะทำยังไง!?” ฉันนึกถึงฉากที่คิเรย์ไปส่งบลายธ์ที่บ้านเมื่อวานแล้วรู้สึกแปลกๆ ฉันไม่ไว้ใจคิเรย์ และไม่ชอบที่ตัวอันตรายอย่างหมอนั่นมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ บลายธ์ด้วย
“หมายความว่ายังไง!?”
“ดูเหมือนว่าคิเรย์จะถูกใจบลายธ์เข้าแล้วน่ะสิ” ไม่ผิดแน่... สายตาที่หมอนั่นมองบลายธ์เมื่อคืน ฉันมั่นใจว่าเขาต้องคิดอะไรแน่นอน
“บ้าเอ๊ย!” เมฆสบถอย่างไม่สบายใจ เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรพล่อยๆ ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ฉันก็คงไม่พูดมันออกมาและส่วนใหญ่เรื่องที่ฉันสงสัยก็มักจะเป็นจริงทั้งหมดด้วยสิ
“ฉันว่าถ้าเก็นริวรู้เข้าหมอนั่นคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ๆ และตอนนั้นบางทีคนที่จะเดือดร้อนจริงๆ อาจไม่ใช่แค่ฉันกับนายแต่มันจะรวมถึงบลายธ์ด้วย ฉันว่านายคงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรอกใช่ไหม”
“แล้วจะทำยังไง” เมฆเหลือบมองหน้าฉันด้วยแววตาร้อนใจ
“ฉันจะทำให้หมอนั่นมาสนใจฉันแทนบลายธ์เอง!”
“....”
ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าอะไรคือการสร้างจุดอ่อนที่เก็นริวพูดถึง... ถ้าหมอนั่นยังไม่มีผู้หญิงที่ชอบ ก็ทำให้เขาชอบฉันซะก็จบเรื่อง จากนั้นก็ค่อยทรมานเขาให้เจ็บปวดด้วยความรัก เป็นวิธีดัดหลังที่แยบยลและโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรซะอีก
ฉันที่คิดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยชักเริ่มกลัวตัวเองซะแล้วสิ
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันยังไม่รู้วิธีเข้าหาคิเรย์เลย
เวลาแบบนี้หมอนั่นจะยังอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่านะ หรือว่าจะม้วนหางกลับบ้านไปตั้งแต่ออดเลิกเรียนดังแล้ว หึ! ช่างมันก่อนเถอะ ฉันควรรีบไปที่ห้องชมรมก่อนจะสายไปมากกว่านี้
“มานา เพิ่งมาเหรอ?” เสียงจิลเพื่อนในชมรมเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่ฉันย่างเท้าเข้ามาข้างใน
“อืม... อ้าวแล้วนี่ทุกคนไปไหนหมด?” ฉันเหลือบมองรอบๆ ห้องที่ไร้เงาของสมาชิกคนอื่นๆ อย่างสงสัย
“คงไม่มีใครมาแล้วล่ะ”
“อ้าวทำไมล่ะ!?”
“ไม่ได้ยินข่าวเหรอ” จิลมองหน้าฉันนิ่ง
“ข่าวไร?”
“ก็เรื่องที่ดนตรีไทยกำลังจะถูกนำไปบริจาคให้กับโรงเรียนอื่นไง”
“ไหงงั้นล่ะ?”
“เธอนี่จริงๆ เลย ไม่รู้อะไรสักนิดหรือไง” จิลส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“ถ้าเอาเครื่องดนตรีไปบริจาคพวกเราจะเล่นอะไรล่ะ?”
“ก็ไม่มีไง”
“อ้าว”
จิลสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“นโยบายของโรงเรียน อะไรที่ไม่มีประโยชน์ก็ต้องโละออก ก็นะ... ในโรงเรียนอินเตอร์แบบนี้ไม่มีพื้นที่ให้กับดนตรีโบราณแบบนั้นหรอก เคยเห็นเดี่ยวระนาดบนเวทีที่เป็นทางการบ้างไหมล่ะ!?” จิลทำเสียงประชดประชัน
ฉันยืนนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก พูดอะไรไม่ออกไปสักพัก ก่อนจะนึกขึ้นมาได้
“แล้วทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ!?”
“ก็รอเธออยู่ไง” จิลมองสบตาฉัน
“เอ่อ... เหรอ... งั้นแบบนี้เราก็ไม่ต้องมาที่ห้องนี้อีกแล้วน่ะสิ”
“ใช่ไง อีกไม่นานห้องนี้ก็คงจะมีเครื่องดนตรีสากลอีกชุดมาลงนั่นแหละ ถึงเวลานั้นค่อยมาคิดกันว่าพวกเราจะเล่นอะไรหลังจากไม่มีเครื่องดนตรีไทยให้เล่นแล้ว”
ตลอดเวลาที่จิลพูด เรื่องดนตรีไม่ได้อยู่ในหัวฉันสักนิด ตอนนี้ฉันเอาแต่คิดว่าอะไรมันจะเป็นใจขนาดนี้ ไม่ต้องซ้อมดนตรีหลังเลิกเรียนแล้วแถมยังมีเวลาไปตามล่าคิเรย์อีก
เห็นทีว่าฉันจะถอยไม่ได้แล้วสิ
“งั้นฉันไปที่ห้องซ้อมอีกห้องก่อนนะจิล”
“อ้าวเฮ้”
ฉันเดินออกมาทันทีโดยไม่รีรอ ถึงจะรู้สึกผิดกับจิลนิดหน่อยที่เขาอุตส่าห์อยู่รอฉันแต่ฉันกลับไม่ได้สนใจ แต่... ก็ใช่ว่าฉันเป็นคนขอร้องให้เขารอสักหน่อย!
เสียงเปียโนยังคงดังคลอมากับสายลมเบาๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายอารมณ์อย่างไม่รู้ตัว ฉันเดินเข้ามาในห้องเป็นจังหวะเดียวกับที่เพลงจบลงพอดี
“อ้าวมานา” บลายธ์หันมามองหน้าฉันพร้อมกับยิ้มละไม “วันนี้ไม่ซ้อมตีระนาดเหรอ?”
“ไม่ล่ะ”
“ถ้างั้นก็กลับบ้านกันเถอะ”
“อ้าว! แล้วไม่ซ้อมต่อล่ะ?” ฉันมองหน้าบลายธ์อย่างนึกแปลกใจ แต่เธอกลับไม่ตอบ ลุกออกจากม้านั่งแล้วเดินไปหยิบกระเป๋า
“วันนี้กลับเร็วหน่อยก็ดี ที่โรงเรียนชักจะน่าเบื่อเกินไปแล้ว” บลายธ์บ่นพลางยิ้มขี้เล่น แต่ฉันว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ นี่เพิ่งจะผ่านเวลาซ้อมมาแค่ยี่สิบนาทีเอง ปกติเธออยู่ซ้อมเป็นชั่วโมงๆ
แกร๊บ...
“บลายธ์มีอะไรร่วงหรือเปล่า?” ฉันก้มลงมองตามเสียงที่เหมือนมีอะไรร่วงออกมาจากกระเป๋าสะพายของบลายธ์ ก่อนจะเห็นกระดาษก้อนหนึ่งที่ถูกขยำจนเละ และกำลังจะหยิบมันขึ้นมาก็ถูกบลายธ์ชิงเก็บตัดหน้าไปซะก่อน
อะไรกัน! ? ฉันมองหน้าบลายธ์อย่างสงสัย
“กระดาษทดเลขน่ะ ไม่มีอะไรหรอก รีบไปกันเถอะ” บลายธ์ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ ท่าทางน่าสงสัยแฮะ! ฉันเลยแกล้งแหย่ไปอีกหน่อย
“แค่กระดาษทดเองเหรอ?”
“อืม”
“ขอดูหน่อยสิ”
“อย่าดูเลย”
ผิดปกติแล้ว มันต้องมีอะไรแน่ๆ ฉันจ้องหน้าบลายธ์อย่างหยั่งเชิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาพร้อมกับรีบฉกกระดาษมาจากมือเรียวๆ นั่นอย่างรวดเร็ว!
“แค่กระดาษทดจะหวงทำไมนักหนา ขอดูหน่อยเถอะน่า”
“มานา!” บลายธ์แผดเสียงดังลั่นเมื่อถูกฉันแย่งกระดาษมาจากมืออย่างง่ายดาย
หึ! ถ้าจะวัดความคล่องแคล่วล่ะก็ฉันเหนือกว่ายัยคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมกว่าเธอเยอะ!
ฉันยักไหล่อย่างไม่แคร์ท่าทางร้อนรนของบลายธ์ก่อนจะคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกดูอย่างสงสัย
‘ฉันจะรอที่ดาดฟ้าหลังซ้อมเสร็จ เรามีนัดเดทกันอย่าลืมซะล่ะ ...คิเรย์’
“เดท!? คิดเรย์!?” ฉันหันขวับไปมองหน้าบลายธ์ด้วยแววตาตื่นตระหนก
ยัยบลายธ์รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน! “ฉันไม่รู้เรื่องเลยนะ จู่ๆ หมอนั่นก็เอากระดาษนี่มาหย่อนไว้ในล็อกเกอร์เก็บของ แล้วก็ตีโพยตีพายไปเองน่ะ”
บลายธ์มองฉันด้วยแววตาใสซื่อหวิดน้ำตาคลอหน่อยๆ ฉันมั่นใจว่าเธอไม่ได้แกล้งทำ
“แล้วเมื่อคืน... ทำไมเธอปล่อยให้หมอนั่นมาส่งที่บ้านล่ะ”
บลายธ์เบิกตากว้าง ท่าทางตกใจน่าดู “รู้ด้วยเหรอ! ?”
“รู้สิ”
“ก็เจอที่งานเลี้ยงน่ะ เราถูกแนะนำให้รู้จักกันผ่านทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย”
ผู้ใหญ่เหรอ.... นี่คงไม่ได้หวังจะคลุมถุงชนสองคนนี้หรอกนะ... ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ คิดอะไรอยู่กันนะถึงได้อยากให้ลูกสาวตัวเองไปข้องเกี่ยวกับยากูซ่าน่ากลัวแบบนั้น! ขอแค่เป็นผลประโยชน์จะแลกกับอะไรก็ได้งั้นเหรอ หึ! เป็นความคิดที่น่ารังเกียจที่สุด!
“แล้ว... บลายธ์คิดยังไงกับคิเรย์ล่ะ?” ฉันถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
บลายธ์ส่ายหน้าแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้วนะ จะให้คิดอะไรกับใครได้อีกล่ะ ไม่ใช่นางเฮเลนแห่งทรอยสักหน่อย!”
ยัยนั่นทำเสียงจิกกัดฉันนิดหน่อยก่อนจะสะบัดหน้าเดินตูดงอนออกจากห้องซ้อมไป... ฮึ่ม!! แล้วจะเอายังไงกับกระดาษแผ่นนี้ดีเนี่ย...
อยู่ดีๆ ความคิดบรรเจิดก็สว่างวาบเข้ามาในหัวฉันอย่างรวดเร็ว!
ถ้าแว้งกัดคิเรย์ไม่ได้ทำไมไม่เข้าไปชนกับหมอนั่นตรงๆ เลยล่ะ ก็มีใบเบิกทางอยู่ในมือแล้วนี่ไง...
หึๆ คอยก่อนเถอะคิเรย์! ดูสิว่าระหว่างกระต่ายกับสิงโตใครจะพ่ายก่อนกัน!!