การประลองของผู้ชายในหมู่บ้านที่อยากจะแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้ากองโจรเริ่มขึ้นทันที หลังอี้เวยชิงประกาศสละตำแหน่ง มีผู้เข้าร่วมการประลองเพียงไม่กี่คน เพราะกลัวตายพวกเขารู้ดีว่าหากชนะจะต้องนำกองทัพโจรออกไปปล้น และต่างก็เห็นกันแล้วว่าผู้มีฝีมือในการต่อสู้ของหมู่บ้านที่ออกไปปล้นครั้งล่าสุด ไม่มีใครได้กลับมาเลยนอกจากครอบครัวของอดีตหัวหน้ากองโจรคนก่อน และอีกเหตุผลที่ไม่ค่อยมีผู้ร่วมท้าประลองก็เพราะไม่กล้าสู้กับฉูเทียนจิง
ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีผู้เข้าร่วมท้าประลองที่มุ่งมั่นจะพิสูจน์ฝีมือของตัวเอง ว่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำกองโจรคนต่อไป พวกเขามารวมกันที่ใจกลางหมู่บ้าน ซึ่งจัดเป็นสนามการประลองชั่วคราว
การประลองรอบแรกเป็นการทดสอบความแข็งแกร่งและความอดทน ผู้เข้าประลองต้องแบกของหนักข้ามสนามและกลับมาภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ที่ไม่ผ่านตามกำหนดเวลาจะถูกตัดสิทธิ์ทันที
เมื่อรอบต่างๆ ดำเนินไป ความท้าทายก็ยากขึ้น โดยการทดสอบแต่ละครั้งออกแบบมาเพื่อผลักดันขีดจำกัดของความสามารถทางร่างกายและจิตใจของผู้เข้าประลอง ความท้าทายบางอย่างรวมถึงการยิงธนู การต่อสู้แบบประชิดตัว และการทดสอบการวางแผนเชิงกลยุทธ์
แม้ว่าการประลองจะเข้มข้น แต่ผู้ชมบางส่วนก็ยังอยู่ในห้วงของความเศร้าโศกจากการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว และมีอีกส่วนที่สนุกสนานกับการประลอง พวกเขาเชียร์ผู้เข้าประลองที่พวกเขาชื่นชอบ วางเดิมพันว่าใครจะได้เป็นอันดับหนึ่ง ความตึงเครียดแฝงอยู่ในอากาศเนื่องจากทุกคนรู้ว่าเดิมพันสูง ผู้ชนะจะไม่เพียงเป็นผู้นำการรบแบบกองโจรคนใหม่เท่านั้น แต่ยังต้องรับผิดชอบในการเป็นผู้นำการต่อต้านกองกำลังทหารที่ถูกส่งมาจากวังหลวงเพื่อปราบโจรด้วย
เมื่อรอบสุดท้ายใกล้เข้ามา ผู้เข้าประลองเพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มชื่อจางเว่ย เขาเคยเป็นชาวนามาก่อนเข้าร่วมขบวนการกองโจร อีกคนคือนักสู้ที่ช่ำชองชื่อฉูเทียนจิงซึ่งใช้เวลาหลายปีในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ เขามีฝีมือเทียบเท่าอี้มู่จ้าว และที่เขาไม่ได้ร่วมปล้นเมื่อวานนี้ก็เพราะต้องเป็นกองกำลังสำรอง
ความท้าทายสุดท้ายคือการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสอง การต่อสู้ด้วยดาบแบบตัวต่อตัว นักสู้ทั้งสองโคจรรอบกันและกัน ดวงตาของพวกเขาจ้องเขม็งอย่างดุดัน ฝูงชนเงียบลงเมื่อการโจมตีครั้งแรกเกิดขึ้น และเสียงเหล็กกระทบเหล็กดังก้องไปทั่วสนามประลอง
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดและโหดเหี้ยม โดยนักสู้ทั้งสองแลกหมัดกันและหลบเลี่ยงการจู่โจมที่ถึงตายของกันและกันได้อย่างหวุดหวิด ในท้ายที่สุด ฉูเทียนจิงเป็นผู้ได้รับชัยชนะ ชายหนุ่มมองจ้องไปที่อี้เหม่ยหลิงด้วยสายตาเย้ยหยัน เขาตั้งใจเอาไว้แล้วหลังพิธีแต่งตั้งหัวหน้ากองโจรเกิดขึ้นเขาจะประการแต่งตั้งนางขึ้นมาเป็นภรรยาทันทีเช่นกัน
ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องขณะที่อี้เวยชิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อมอบปลอกแขนสีแดงแบบดั้งเดิมของผู้นำกองโจรให้จางเว่ย
“เจ้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเหมาะสมจะเป็นหัวหน้ากองโจรคนต่อไป” อี้เวยชิงพูดพร้อมกับยื่นปลอกแขนให้หัวหน้ากองโจรคนใหม่
อี้เหม่ยหลิงไม่อาจจะทนอยู่ดูทุกอย่างต่อไปได้ นางแทรกตัวออกมาจากผู้คนในสนามประลองด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว หญิงสาวเดินหายเข้าไปในป่าขณะที่ฉูเทียนจิงพยายามมองหาหญิงสาวที่เขาหมายตา และไม่พบว่านางอยู่บริเวณนั้น ความตั้งใจของเขาจึงต้องละไว้เสียก่อน
อี้เหม่ยหลิงเป็นผู้หญิงที่มีความเฉลียวฉลาดและกล้าหาญ นางใฝ่ฝันมาตลอดว่าจะเป็นผู้นำกองโจรตามรอยพ่อของตัวเอง แต่เพราะกฎของหมู่บ้านไม่ยอมรับให้สตรีเป็นผู้นำได้ อี้มู่จ้าวพี่ชายของนางจึงกลายเป็นความหวังและตัวแทน แม้อี้เหม่ยหลิงจะเป็นนักสู้ที่เก่งกาจมาโดยตลอด และนางก็เข้าร่วมการปล้นหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ได้ถูกยอมรับด้วยความที่เป็นสตรี
ด้วยความโกรธที่เห็นว่าฉูเทียนจิงได้รับชัยชนะ อี้เหม่ยหลิงตัดสินใจหนีออกจากหมู่บ้านและมุ่งหน้าไปยังเมืองจินหลิง นางตั้งใจจะสอดแนมเมืองและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของศัตรู หญิงสาวตั้งใจว่าจะหลบอยู่ในเมืองจนกว่าพี่ชายของนางหายจากอาการบาดเจ็บก่อน แล้วจะขอให้เขาท้าให้เขาดวลกับฉูเทียนจิงเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้ากองโจรกลับคืนมา
ขณะที่อี้เหม่ยหลิงเดินทางไปยังเมืองจินหลิง นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น หญิงสาวรู้ดีว่าเมืองนี้เต็มไปด้วยอันตรายและการผจญภัย และนางก็มีความสุขกับโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นนักรบฝีมือดี
เมื่ออี้เหม่ยหลิงมาถึงชานเมืองจินหลิง เพียงแค่มองด้วยสายตาก็เห็นว่าว่าเมืองนี้มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ศัตรูได้วางกองทหารไว้รอบกำแพงเมือง และดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปข้างในโดยไม่ถูกตรวจพบ
ฉินฝานหรู เจ้าหัวเมืองคนใหม่ของเมืองจินหลิง เขามาจากตระกูลสูงส่งเป็นบุตรชายของฮ่องเต้และสนมลำดับที่สาม เขาได้รับการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งยังต่อสู้ในสงครามใหญ่มาหลายครั้งและได้รับชัยชนะเสมอเขาได้รับความเคารพและชื่นชมจากคนรอบข้างในฐานะนายกองมาก่อน
หลังจบสงครามการป้องกันการรุกรานจากศัตรูครั้งล่าสุด บิดาของเขาตระหนักว่าบุตรชายผู้นี้สมควรได้รับรางวัลสำหรับความกล้าหาญและการอุทิศตัวรับใช้จักรวรรดิ ฮ่องเต้จึงมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้เขา นั่น นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับฉินฝานหรู หัวหน้าคนใหม่ของเมืองจินหลิงมุ่งมั่นที่จะทำตามความคาดหวังของฮ่องเต้
ภารกิจแรกของเขาคือกำจัดโจรทั้งหมดในเมืองจินหลิงและเขตชายแดน มันเป็นความท้าทายที่น่ากลัว เพราะเมืองจินหลิงแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องโจรเป็นที่สุด เนื่องจากเป็นเมืองหน้าด่านที่พ่อค้าต่างแดนจะต้องสัญจรผ่าน แต่เจ้าหัวเมืองคนใหม่ก็มั่นใจในความสามารถของตัวเองว่าจะสามารถปราบโจรได้จนหมด เขาเริ่มรวบรวมกำลังพลและวางแผนกลยุทธ์ทันที
กลุ่มโจรในเมืองจินหลิงเป็นกลุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านในท้องถิ่นและพ่อค้าจากต่างแดน พวกเขาขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี พวกโจรเหล่านั้นสามารถหลบเลี่ยงการจับกุมได้เป็นเวลาหลายปี
“พวกมันไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรเลยท่านเจ้าหัวเมือง” ขุนนางผู้หนึ่งรายงานกับฉินฝานหรู หลังจากพยายามบีบให้โจรที่พวกเขาเพิ่งจับกุมมาได้เมื่อวานนี้เปิดปากพูดที่ซ่อนของพวกมัน
“ทรมานมันแล้วหรือยัง” ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา นับตั้งแต่มาประจำการอยู่ที่นี่เขาปราบโจรกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยไปได้จำนวนมากแล้ว เหลือเพียงกลุ่มใหญ่ๆ อีกไม่กี่กลุ่มเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกมันฉลาดและมีฝีมือพอควร นายหัวเมืองหนุ่มจึงรู้ว่างานนี้ไม่ง่ายเลย
“ทหารเฆี่ยนตีมันเจียนจะตายอยู่แล้ว ข้าวสักคำ น้ำสักหยดก็ไม่ให้มันกิน แต่มันก็ยังปิดปากเงียบ”
ฉินฝานหรูขมวดคิ้วเขารู้ว่ากลุ่มโจรเหล่านี้ไม่ใช่โจรธรรมดา พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและเหมือนจะรักพวกพ้องเท่าชีวิต ไม่แปลกที่สามารถหลบเลี่ยงการจับกุมได้เป็นเวลาหลายปี
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากบัลลังก์และเดินไปหาขุนนางที่เพิ่งมารายงานข่าว
“เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับโจรเหล่านี้บ้าง” เขาถามเสียงแข็ง ขุนนางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
"ไม่มากนัก พวกมันออกปล้นกันเป็นกลุ่มเล็กๆ และซ่อนตัวอยู่ในป่ากลางหุบเขาเขตชายแดน" ฉินฝานหรูพยักหน้าก่อนจะถามต่อ
“เช่นนั้นเจ้าช่วยตอบข้าที ว่าหุบเขาในป่าของจินหลิงมีจำนวนมากเท่าใด และผืนป่าในจินหลิงกว้างใหญ่เพียงใด” ขุนนางตัวสั่นด้วยความกลัว เขารู้ว่าฉินฝานหรูเป็นคนเด็ดขาด และมุ่งมั่นที่จะปราบโจรเป็นอย่างมาก แต่พวกโจรภูเขาก็เก่งกาจเกินกว่าที่จะปราบได้โดยง่าย
"ขออภัยท่านเจ้าหัวเมือง แต่พวกมันระวังตัวมาก และไม่ยอมให้ใครเข้าไปถึงรังโจรของพวกมันเลย" ฉินฝานหรูมองขุนนางหนุ่มด้วยสายตาคาดโทษ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่โจรถึงได้ชุกชุมขนาดนี้
"เห็นทีว่าก่อนจะปราบโจรให้สำเร็จ ขาคงจะต้องส่งคนไปทำแผนที่เมืองมาให้ได้เสียก่อน และจะต้องบอกพิกัดทั้งหมดของแผ่นดินจินหลิงห้ามขาดตกแม้แต่ตารางวาเดียว" ขุนนางพยักหน้าเข้าใจความหนักหน่วงของสถานการณ์ ฉินฝานหรูพูดถูก พวกเขาจำเป็นต้องคิดนอกกรอบหากจะเอาชนะโจรเหล่านี้ให้ได้สักครั้ง
ฉินฝานหรูเรียกหลิวเจิ้งที่ปรึกษาที่ไว้ใจที่สุดของเขาเข้ามาปรึกษา หลิวเจิ้งเป็นนักยุทธศาสตร์ที่มีประสบการณ์และเคยช่วยเหลือ ฉินฝานหรูในการต่อสู้มาแล้วหลายครั้ง ชายทั้งสองหารือกันถึงแผนการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มโจรและทำแผนที่เมือง
“ตามที่ข้าได้เล่าไปทั้งหมด ปัญหาตอนนี้คือมีโจรประมาณ 2 กลุ่มใหญ่ที่เก่งกาจ และมีที่ซ่อนที่แน่นหนา ข้าเรียกขุนนางในเมืองมาถามเรื่องแผนที่ของเมือง ก็ได้มาแค่ผังเมืองส่วนในกำแพงเมืองเท่านั้น ส่วนที่อยู่นอกเขตถูกตีว่าเป็นป่าและภูเขาแต่ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย”
“อืม...การรบโดยไม่รู้จักสนามรบ ถือเป็นจุดอ่อนที่ทำให้พ่ายแพ้ได้โดยง่าย” ชายมีอายุพูดขึ้น เขานิ่งเงียบหลังจากนั้นและใช้ความคิด
“เราต้องขอกองกำลังจากทัพหลวง แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งส่งไปสอดแนมในป่า พร้อมกับสำรวจพื้นที่ อีกส่วนเป็นหน่วยจู่โจมเดินทัพเข้าป่าเพื่อปะทะกับพวกโจรโดยตรง จากที่ข้าเห็นพวกที่ถูกจับตัวมาและศพของพวกมันที่ทหารนำกลับมาเผานอกกำแพงเมือง ถือว่ามีจำนวนไม่น้อย โจรกลุ่มนี้คงเสียกำลังพลมากแล้ว หากปะทะกันจริงๆ ก็คงจัดการพวกมันได้ไม่ยาก” ฉินฝานหรูเห็นด้วยกับแผนของหลิวเจิ้ง และเริ่มดำเนินการขอกองกำลังจากทัพหลวงทันที เขารู้ว่างานนี้จะไม่ง่าย แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะกำจัดกลุ่มโจรป่าโจรภูเขาให้หมดสิ้น
เมืองหลิวเจิ้งนี้เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของแคว้นต้าเฉิง หลายปีมานี้พ่อค้าต่างแดนลดจำนวนลงไปมากเพราะไม่สามารถสัญจรผ่านเส้นทางนี้ได้จำต้องเดินทางไปค้าขายกับแคว้นอื่น
ในตลาดนอกกำแพงเมืองชั้นกลางอี้เหม่ยหลิงเดินซื้อข้าวของอย่างสบายใจ นางไม่ได้มีเพียงความสามารถในการปล้นเท่านั้น แต่ยังมีวิชาล้วงกระเป๋าที่อี้มู่จ้าวสั่งสอนให้หญิงสาวมั่นใจว่าตัวเองคงจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกสักระยะ
“ได้ยินเรื่องที่เจ้าเมืองคนใหม่จับพวกโจรภูเขากลับมาได้ตั้ง 10 คนหรือเปล่า” เสียงแม่ค้าคนหนึ่งพูดขึ้น ขณะที่อี้เหม่ยหลิงกำลังนั่งกินหมั่นโถวอย่างสบายใจ เมื่อบทสนทนาที่น่าสนใจดังขึ้นนางจึงได้ตั้งใจฟัง และหวังว่ามันจะมีประโยชน์กับนาง
“ได้ยินสิ เห็นว่าโจรพวกนี้เป็นกลุ่มใหญ่เสียด้วย จับมาได้ทั้งแบบจับเป็นแล้วก็จับตายเลยนะ” แม่ค้าอีกคนพูดตอบ
“เจ้าหัวเมืองคนนี้นับว่ามีฝีมือยิ่ง นี่ก็ได้ยินมาอีกว่าปราบพวกโจรไปจนเกือบหมดแล้ว เห็นว่ากำลังจะไปตั้งค่ายทหารที่ชายแดนด้วย ไอ้พวกโจรที่อยู่ในป่าเห็นทีจะอยู่กันไม่ได้แล้ว” อี้เหม่ยหลิงเงี่ยหูฟังเมื่อกล่าวถึงเจ้าเมืองคนใหม่และกลุ่มโจร นางสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองนี้อยู่เสมอ และนี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนางเป็นพิเศษ นางตัดสินใจเข้าร่วมการสนทนาและเข้าหาพ่อค้าทั้งสอง
“ขอโทษนะ แต่คุณรู้อะไรอีกไหมเกี่ยวกับพวกโจรและเจ้าเมืองคนใหม่” อี้เหม่ยหลิงแสร้งถามด้วยรอยยิ้ม นางพยายามทำเสียงเป็นมิตรและเข้าถึงได้อย่างที่สุด
แม่ค้าทั้งสองมองนางครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ก็ไม่รู้อะไรมากนัก แต่ได้ยินมาว่าเจ้าเมืองคนใหม่นั้นค่อนข้างเชี่ยวชาญการรบ เพราะเป็นนักรบมาก่อน แล้วก็ปราบโจรในจินหลิงไปหลายกลุ่มแล้ว” แม่ค้าผู้หนึ่งกล่าว
“ท่านพอจะรู้หรือไม่ ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน” อี้เหม่ยหลิงถามต่อ
“รู้แค่ว่าเป็นนักรบของกองทัพหลวง ที่ฮ่องเต้ส่งมาประจำการที่นี่ แต่ก็คงจะเก่งเอาเรื่องไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นถึงเจ้าหัวเมืองหรอก” แม่ค้ามองหน้ากันก่อนที่คนหนึ่งจะพูดขึ้น
‘อย่างนี้เองสินะ พวกทหารกลุ่มนั้นถึงได้เก่งกาจนัก’ หญิงสาวคิดในใจก่อนจะเดินหายไปจากตลาด นางออกไปวางแผนสอดแนมเงียบๆ คนเดียวและตั้งใจจะติดตามดูเจ้าหัวเมืองที่คนพูดถึงกันไปอีกสักระยะ