เมื่อข่าวการปราบโจรแพร่สะพัดไปทั่วเมือง ประชาชนก็โล่งใจ อย่างไรก็ตาม กลุ่มโจรของอี้เหม่ยหลิงยังคงเงียบและไม่ได้ออกปล้น เพราะต้องรอดูสถานการณ์ก่อน พวกเขายังไม่ได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่เพราะเชื่อมั่นในที่ซ่อนของตัวเอง แต่พวกเขาก็ต้องอดทนกับการหาของป่ามาประทังชีวิตเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เนื่องจากไม่สามารถขโมยหรือปล้นสะดมได้ เพราะมันเสี่ยงที่จะถูกจับโดยกองกำลังทหารซึ่งเพิ่มขึ้นในพื้นที่
อี้เหม่ยหลิงที่แฝงตัวเข้ามาสืบเรื่องการปราบโจร ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้สืบอะไรนัก เพราะต้องทำงานแทบตลอดทั้งวัน ทีแรกนางเข้าใจว่าจะได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ทาสก็คือทาส หญิงสาวจึงคิดที่จะหาโอกาสเข้าใกล้ฉินฝานหรูให้มากกว่านี้
อี้เหม่ยหลิงวางแผนโดยการสังเกตพฤติกรรมของฉินฝานหรู และพบว่าเขามักจะนั่งอยู่ที่ห้องหนังสือเพียงลำพังในช่วงเวลาใกล้ค่ำ วันนี้อี้เหม่ยหลิงจึงได้ทำทีมาปรากฏตัวให้เขาเห็น และนั่งเศร้าเหม่อมองท้องฟ้า หญิงสาวพยายามแอบมองว่าเป้าหมายมองเห็นตัวเองหรือไม่ แน่นอนว่าชายหนุ่มสนใจในตัวของนางอยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นว่ามีสตรีงามมานั่งเหม่อเพียงลำพัง ก็วางหนังสือแล้วเดินออกไปหานางทันที
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ผู้เดียวซินฟาง” เหยื่อของอี้เหม่ยหลิงติดกับดักตามแผน หญิงสาวขยับตัวหันมองผู้ที่เข้ามาทักทาย เขามองนางด้วยสายตาชื่นชม เมื่ออาบน้ำแต่งตัวใหม่ความงดงามของนางก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เหมือนกับเขาเด็ดดอกไม้ป่ากลับมาใส่แจกันอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าคิดถึงท่านพ่อท่านแม่ คิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องเหนื่อยทำงานตรากตำทั้งวันแบบนี้ ข้าอยากกลับไปอยู่ในป่าเหมือนก่อน ตอนเก็บฟืนขายถึงจะไม่ได้กินดีอยู่ดีเท่านี้แต่ก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไร” ฉินฝานหรูได้ฟังดังนั้นก็นึกสงสาร เขาเข้าใจว่าหญิงสาวตรงหน้าคงไม่ชินกับการทำงานในเมือง
“กลับไปเจ้าจะไปอยู่อย่างไร บ้านเจ้าถูกเผาไปหมดแล้วมิใช่หรือ อีกอย่างกลับไปก็อันตรายเกิดพวกโจรมันมาเจอเข้าอีกเจ้าจะทำอย่างไร” เขาว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างหญิงสาว นางทำท่าครุ่นคิดก่อนจะหันมองหน้าเขาด้วยสายตาสุดน่าสงสาร
“ข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้เจ้าค่ะ แต่คิดว่าคงดีกว่าอยู่ที่นี่ จะว่าข้าขี้เกียจก็ได้ แต่ข้าทำงานไม่ไหวจริงๆ”
“เช่นนั้นข้าจะให้เจ้ามาเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัวของข้าดีหรือไม่ อะไรที่ข้าไม่ได้สั่งเจ้าก็ไม่ต้องทำ คอยอยู่ใกล้ๆ ข้ารับคำสั่งจากข้าเท่านั้น” หญิงสาวตาลุกวาวเรื่องงานหนักของนางไม่ใช่ปัญหาเท่าไรนัก แต่สิ่งที่นางต้องการก็คืออยากจะเข้าไปใกล้ชิดฉินฝานหรูและตอนนี้ก็ทำสำเร็จอีกขั้นหนึ่งแล้ว
ฉินฝานหรูสงสารจึงได้สั่งหัวหน้าบ่าว ว่าห้ามใช้งานอี้เหม่ยหลิงอีก นางเป็นคนสนิทของเขา และมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้กับอี้เหม่ยหลิง ให้คอยติดตามรับใช้แต่เขาคนเดียว
“นับแต่นี้ไปซินฟางจะคอยติดตามรับใช้ข้าเท่านั้น” ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวที่ถูกกล่าวถึง มีบางคนที่รู้สึกไม่พอใจนัก ที่หญิงสาวผู้นี้ได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่น นอกจากได้ทำงานน้อยลงก็ยังได้ห้องพักใหม่ เสื้อผ้าใหม่ เพราะฉินฝานหรูต้องการให้เกิดความแตกต่างที่ชัดเจน
อี้เหม่ยหลิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย นางรู้ว่าตัวเองกำลังได้รับการปฏิบัติแบบพิเศษที่คนอื่นไม่ได้รับ แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นทางเดียวที่นางจะได้ใกล้ชิดกับเจ้าหัวเมืองฉินฝานหรู และสอดแนมแผนการปราบปรามกลุ่มโจรของเขา
“ต่อไปเจ้าก็ย้ายมาพักที่นี่ จะได้อยู่ใกล้กับข้ามากขึ้น ตำหนักตรงนั้นเป็นที่พักของข้า ตื่นเช้าขึ้นมาเจ้าก็ไปในครัวรอให้พวกแม่ครัวจัดสำรับอาหารมื้อเช้าให้เรียบร้อยทั้งของเจ้าและของข้า จากนั้นก็นำพวกบ่าวห้องเครื่องมาตั้งสำรับที่นั่น แล้วเราจะกินอาหารเช้าพร้อมกัน”
“ข้าเกรงใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ให้ข้ากินข้าวพร้อมกับบ่าวคนอื่นๆ เหมือนเดิมจะดีกว่า” อี้เหม่ยหลิงแย้งขึ้น แค่เขาแยกนางให้ออกมานอนคนเดียวในเขตที่พักของเขา บ่าวรับใช้คนอื่นก็เกลียดนางจนเกือบจะทุกคนอยู่แล้ว ถ้าต้องมานั่งกินข้าวร่วมกับฉินฝานหรูอีกคนโดนเกลียดจนถูกจับตามองแน่ๆ
“ข้าไม่อยากกินข้าวคนเดียวแล้ว นี่คือหน้าที่ใหม่ของเจ้า นั่งกินข้าวเป็นเพื่อนข้า” สิ้นคำสั่งชายหนุ่มก็เดินจากไปทันทีโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร
ในคืนนั้นอี้เหม่ยหลิงแอบไปสืบการประชุมของฉินฝานหรูและคนสนิทของเขาพูดคุยกัน หญิงสาวตั้งใจฟังการสนทนาของเขากับที่ปรึกษาและพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ เกี่ยวกับการปราบปรามกลุ่มโจร
“ตอนนี้ทหารเจอหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกจำนวนมาก บางที่ก็เป็นหมู่บ้านธรรมดาที่ชาวบ้านหาของป่าขาย แต่บางที่ก็เป็นรังโจรแต่พวกมันก็ไม่อยู่แล้ว ส่วนใหญ่หมู่บ้านโจรจะอยู่ลึกลับ อยู่ใต้เหว อยู่ในถ้ำ แต่ก็ไม่มีที่ไหนจะตรงกับไอ้พวกที่เราจับมาได้เลย”
หัวใจของอี้เหม่ยหลิงพลันโล่ง อย่างน้อยก็ยังมั่นใจได้ว่าเขายังหาที่ตั้งของหมู่บ้านตัวเองไม่เจอ แต่ก็นึกเสมอว่าพวกพ้องที่ถูกขังอยู่ที่คุกยังรอคอยการช่วยเหลืออยู่ และต้องหาทางช่วยพวกเขา
“ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่ามันเป็นพวกไหน” หลิวเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะฉินฝานหรูยังไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา
“ที่ดาบของโจรกลุ่มนี้สลักลายภูเขาและน้ำตกเอาไว้ตรงด้ามดาบ แต่โจรกลุ่มอื่นไม่มีอาวุธอื่นข้าก็ไม่รู้ว่ามีสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ แต่ดาบทั้งหมดที่ยึดมาได้ ล้วนแต่สลักลายเดียวกัน” อี้เหม่ยหลิงเบิกตากว้าง นี่เป็นจุดอ่อนอย่างนั้นสินะ หญิงสาวตระหนักได้ทันที และรีบหลบหนีกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง เพื่อเก็บสร้อยคอประจำกลุ่มซ่อนให้มิดชิดที่สุด เพราะหากฉินฝานหรูเห็นสร้อยนี้เข้า แผนของนางอาจจะไม่สำเร็จเอาได้
การหายตัวไปของอี้เหม่ยหลิงสร้างความเดือดร้อนใจให้กับบิดาและคนในครอบครัวของนางเป็นอย่างมาก ลูกสาวหายไปนานหลายสัปดาห์โดยไม่ส่งข่าวอะไรมาเลย อี้เวยชิงพยายามเข้ามาสืบในเมืองจินหลิงอยู่หลายหนแต่ก็ไร้วี่แวว เพราะเขาสามารถตามหาลูกสาวได้แค่ในเขตตลาดเท่านั้น จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วลูกสาวแฝงตัวอยู่ในเขตตำหนักชั้นใน
“หลิงเอ๋อร์คงจะไม่พอใจผลการประลอง เทียนจิงเคยพูดเอาไว้ ว่าถ้ามันได้เป็นหัวหน้ากองโจร มันจะแต่งตั้งหลิงเอ๋อร์เป็นนายหญิง” อี้มู่จ้าวพูดขึ้นอาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมาก แต่ก็ยังต้องพักรักษาตัวอีกระยะ
“พ่อไม่คิดว่าหลิงเอ๋อร์จะหนีไปแบบนี้ หนีไปโดยไม่บอกอะไรสักคำ” ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวพูดด้วยหัวใจที่เจ็บปวด เขารู้สึกว่าตัวเองทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความรู้สึกผิดมันท่วมท้นตั้งแต่ครั้งที่ออกปล้นแล้วล้มเหลว มาคราวนี้ลูกสาวมาหนีหาย ก็ปฏิเสธไม่ได้อีก ว่านี่เป็นความผิดของเขา
“ท่านพ่ออย่าคิดมากไปเลย หลิงเอ๋อร์นางเป็นเด็กฉลาด ย่อมเอาตัวรอดได้เป็นแน่ หากข้าหายดีแล้วจะออกไปตามหาน้องกลับมาให้ได้ข้าสัญญา” อี้เวยชิงพยักหน้าให้กับลูกชาย แต่ความรู้สึกไม่สบายใจยังสุมอยู่เต็มอก
“เรื่องออกปล้นของหัวหน้ากองโจรคนใหม่ ข้าบอกตามตรงว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ท่านพ่อเก่งกาจขนาดนี้ก็ยังพลาดท่ามาแล้ว อีกทั้งกองกำลังของเราก็มีน้อยเกินไป คนมีฝีมือก็...มีไม่มาก ข้าคิดว่า”
“หากเป็นการตัดสินใจของหัวหน้ากองโจรคนใหม่ เราก็ต้องทำตาม” เพราะเคยเป็นหัวหน้ามาก่อน อี้เวยชิงจึงไม่อยากกระทำเรื่องที่เป็นการต่อต้านหัวหน้า เขาเข้าใจดีว่าการนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ต้องแบกรับอะไรไว้มากมาย
“แต่คนส่วนมากก็ไม่อยากออกไปเสี่ยงตายนะท่านพ่อ” แม้ว่าอี้มู่จ้าวจะออกไปเจอใครไม่ได้ แต่ผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมเขาต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน และเขาก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะแก่การออกปล้นแม้แต่น้อย ฉูเทียนจิงอาจจะมีฝีมือในการต่อสู่และมีพละกำลังที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังอ่อนประสบการณ์และยังมีความเป็นผู้นำไม่มากพอ นั่นจึงทำให้กองกำลังโจรไม่ไว้วางใจการนำทัพของเขา
“อามู่ เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก เจ้าเจ็บขนาดนี้กองทัพของเราไม่บังคับเจ้าไปด้วยอยู่แล้ว”
“ท่านพ่อ...ข้าปล้นเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านมาตั้งกี่ครั้ง ลูกไม่เคยกลัวตาย แต่ที่ลูกบอกเช่นนี้ก็เพราะเป็นห่วงพวกเราทุกคน” อี้มู่จ้าวพูดขึ้น เขาอยากจะลุกขึ้นให้ได้เสียตอนนี้ หากพ่อของเขาจะเข้าใจไปว่าอย่างนั้น
“พ่อรู้ว่าเจ้าไม่เคยกลัวตาย แต่การตัดสินใจของผู้นำควรจะเด็ดขาด ยิ่งอาเทียนยังไม่เคยนำกองทัพออกไปปล้นถ้าไปขัดการตัดสินใจของเขาก็จะยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือน้อยลงไปด้วย”
“ตอนที่ท่านพ่อเป็นผู้นำก่อนท่านจะนำทัพออกปล้น ท่านประเมินก่อนหรือไม่ว่าเมีโอกาสปล้นสำเร็จมากแค่ไหน” คำพูดของอี้มู่จ้าวกระทบกับอี้เวยชิงพอสมควร เขาจำได้ถึงช่วงเวลาที่ตัวเขายังเป็นหัวหน้ากลุ่มกองโจร วิธีที่เขานำกองโจรออกไปปล้นแล้วประสบความสำเร็จนั้นก็เป็นเพียงอดีต แต่เขาก็มักจะประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างรอบคอบก่อนเสมอ จนกระทั่งเขาพลาดติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ความมั่นใจของหัวหน้าผู้นี้ก็ไม่เหลืออีกเลย อี้เวยชิงตระหนักว่าความลังเลใจและการขาดความมั่นใจของเขามีผลต่อการออกปล้น จึงได้ตัดสินใจลงจากตำแหน่ง
“ถึงอย่างไรพ่อก็ไปด้วยขอให้เจ้าวางใจเถิด เพียงแค่พ่อไม่ได้ไปในฐานะของผู้นำก็เท่านั้น” อี้เวยชิงพูดตัดบท เขาไม่อยากต่อความยาวเรื่องนี้ให้มันมากความ ในตอนนี้เขาไม่มีอำนาจตัดสินอะไรอีกแล้ว ผู้นำคนใหม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องว่าอย่างนั้นไปด้วย
“แล้วเรื่องหลิงเอ๋อร์พ่อก็จะออกไปตามหานางเรื่อยๆ อย่างไรพ่อก็ยังเชื่อว่านางคงไปไหนไม่ไกล คงจะไม่พอใจผลการประลองอย่างที่เจ้าว่า แต่จินหลิงในเวลานี้กองกำลังทหารแน่นหนานัก พ่อกลัวว่านางจะถูกจับตัวไปก็เท่านั้น” เพราะเห็นความเก่งกาจของเจ้าหัวเมืองคนใหม่แล้ว อี้เวยชิงจึงเริ่มเชื่อแล้วว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เขาเก่งทั้งบู๊และบุ๋นถ้าไม่รีบตามตัวลูกสาวให้เจอ ก็หวั่นว่าอาจจะเกิดเรื่องเอาได้